ข่าวธนาคารแห่งประเทศไทย
ฉบับที่ 52/2541
เรื่อง แนวทางการฟื้นฟูสถาบันการเงินที่ถูกแทรกแซงในวันที่ 14 สิงหาคม 2541
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้แถลงให้ทราบทั่วกันแล้วเมื่อเช้านี้ (14 สิงหาคม2541)ว่า ธนาคารได้เข้าแทรกแซงกิจการของธนาคารพาณิชย์ 2 ราย และบริษัทเงินทุน5 ราย ได้แก่
1. ธนาคารแหลมทอง จำกัด (มหาชน)
2. ธนาคารสหธนาคาร จำกัด (มหาชน)
3. บริษัทเงินทุนธนสยาม จำกัด (มหาชน)
4. บริษัทเงินทุนเฟิสท์ซิตี้อินเวสเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
5. บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไอเอฟซีที จำกัด (มหาชน)
6. บริษัทเงินทุนวชิระธนทุน จำกัด
7. บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไทยซัมมิท จำกัด
โดยสั่งให้ลดทุนเพื่อตัดความสูญเสียแล้วให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าเพิ่มทุนให้เพียงพอที่จะดำเนินกิจการต่อไปได้รวมทั้งเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง ความละเอียดแจ้งแล้ว นั้น
บัดนี้คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบที่จะดำเนินการฟื้นฟูกิจการของสถาบันการเงินที่ถูกแทรกแซงแล้วตามที่จะกล่าวถึงต่อไปแนวทางนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการแก้ไขระบบสถาบันการเงินที่กระทรวงการคลังนำเสนอในช่วงบ่ายวันที่14 สิงหาคม 2541 และได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วเช่นกัน
ธนาคารแห่งประเทศไทยขอเรียนว่า การเข้าแทรกแซงในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินและปรับโครงสร้างการบริหารงานของธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนที่ถูกทางการแทรกแซงให้มีสมรรถนะเพียงพอที่จะฟื้นฟูลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่มีอยู่เป็นจำนวนมากและดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการประหยัดภาระของทางการดังต่อไปนี้
1. ธนาคารแหลมทอง ต่อไปจะรวมกิจการเข้ากับธนาคารรัตนสินและอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ลงทุนต่างชาติโดย
(1) ผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ของธนาคารแหลมทองจะเป็นผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ตามระยะเวลาและเงื่อนไขเดิมเมื่อเงินฝากหรือหนี้สินครบกำหนดแล้วการจ่ายดอกเบี้ยจะเป็นไปตามที่ธนาคารประกาศกำหนด
(2) ฝ่ายจัดการของธนาคารรัตนสินจะบริหารธนาคารแหลมทองซึ่งจะเปลี่ยนชื่อเป็นธนาคารรัตนสิน
ทั้งนี้รัฐบาลได้ให้ความเห็นชอบที่จะออกพระราชกำหนดแก้ไขกฎหมายการธนาคารพาณิชย์เพื่อรองรับการรวมกิจการระหว่างธนาคารแหลมทองกับ ธนาคารรัตนสิน แล้วพนักงานของธนาคารแหลมทองในปัจจุบันยังคงปฏิบัติหน้าที่และได้ค่าตอบแทนเช่นเดิมส่วนการว่าจ้างในอนาคตจะขึ้นอยู่กับผลการพิจารณาของผู้ร่วมทุนรายใหม่
2. ธนาคารสหธนาคาร และบริษัทเงินทุนที่ถูกแทรกแซงครั้งนี้ 5 บริษัทรวมทั้งที่ถูกแทรกแซงก่อนหน้านี้ 7 บริษัท รวมทั้งสิ้น 12 บริษัทจะรวมกิจการกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ (KTT)ในลักษณะเดียวกับการรวมกิจการของธนาคารแหลมทองกับธนาคารรัตนสินและจะมีสถานะเป็นธนาคารพาณิชย์
พนักงานของธนาคารสหธนาคารและบริษัทเงินทุนที่ถูกแทรกแซงจะยังคงปฏิบัติงานและได้รับค่าตอบแทนเช่นเดิมในระหว่างนี้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจได้ว่าจ้างธนาคารต่างประเทศแห่งหนึ่งเพื่อเป็นที่ปรึกษาในการเชื่อมโยงระบบการบริหารและระบบประมวลผลของธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดตลอดจนการกำหนดโครงสร้างและวิธีปฏิบัติงานของธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่
ธนาคารแห่งประเทศไทยขอเรียนยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนที่ถูกแทรกแซงทุกรายยังคงได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินการและทำธุรกรรมติดต่อกับลูกค้าตามปกติและที่สำคัญคือผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ทุกรายจะได้รับชำระเงินคืนเมื่อครบกำหนดตามข้อบังคับการรับประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
จึงแถลงมาเพื่อทราบ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
14 สิงหาคม 2541
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ฉบับที่ 52/2541
เรื่อง แนวทางการฟื้นฟูสถาบันการเงินที่ถูกแทรกแซงในวันที่ 14 สิงหาคม 2541
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้แถลงให้ทราบทั่วกันแล้วเมื่อเช้านี้ (14 สิงหาคม2541)ว่า ธนาคารได้เข้าแทรกแซงกิจการของธนาคารพาณิชย์ 2 ราย และบริษัทเงินทุน5 ราย ได้แก่
1. ธนาคารแหลมทอง จำกัด (มหาชน)
2. ธนาคารสหธนาคาร จำกัด (มหาชน)
3. บริษัทเงินทุนธนสยาม จำกัด (มหาชน)
4. บริษัทเงินทุนเฟิสท์ซิตี้อินเวสเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
5. บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไอเอฟซีที จำกัด (มหาชน)
6. บริษัทเงินทุนวชิระธนทุน จำกัด
7. บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไทยซัมมิท จำกัด
โดยสั่งให้ลดทุนเพื่อตัดความสูญเสียแล้วให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าเพิ่มทุนให้เพียงพอที่จะดำเนินกิจการต่อไปได้รวมทั้งเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง ความละเอียดแจ้งแล้ว นั้น
บัดนี้คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบที่จะดำเนินการฟื้นฟูกิจการของสถาบันการเงินที่ถูกแทรกแซงแล้วตามที่จะกล่าวถึงต่อไปแนวทางนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการแก้ไขระบบสถาบันการเงินที่กระทรวงการคลังนำเสนอในช่วงบ่ายวันที่14 สิงหาคม 2541 และได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วเช่นกัน
ธนาคารแห่งประเทศไทยขอเรียนว่า การเข้าแทรกแซงในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินและปรับโครงสร้างการบริหารงานของธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนที่ถูกทางการแทรกแซงให้มีสมรรถนะเพียงพอที่จะฟื้นฟูลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่มีอยู่เป็นจำนวนมากและดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการประหยัดภาระของทางการดังต่อไปนี้
1. ธนาคารแหลมทอง ต่อไปจะรวมกิจการเข้ากับธนาคารรัตนสินและอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ลงทุนต่างชาติโดย
(1) ผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ของธนาคารแหลมทองจะเป็นผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ตามระยะเวลาและเงื่อนไขเดิมเมื่อเงินฝากหรือหนี้สินครบกำหนดแล้วการจ่ายดอกเบี้ยจะเป็นไปตามที่ธนาคารประกาศกำหนด
(2) ฝ่ายจัดการของธนาคารรัตนสินจะบริหารธนาคารแหลมทองซึ่งจะเปลี่ยนชื่อเป็นธนาคารรัตนสิน
ทั้งนี้รัฐบาลได้ให้ความเห็นชอบที่จะออกพระราชกำหนดแก้ไขกฎหมายการธนาคารพาณิชย์เพื่อรองรับการรวมกิจการระหว่างธนาคารแหลมทองกับ ธนาคารรัตนสิน แล้วพนักงานของธนาคารแหลมทองในปัจจุบันยังคงปฏิบัติหน้าที่และได้ค่าตอบแทนเช่นเดิมส่วนการว่าจ้างในอนาคตจะขึ้นอยู่กับผลการพิจารณาของผู้ร่วมทุนรายใหม่
2. ธนาคารสหธนาคาร และบริษัทเงินทุนที่ถูกแทรกแซงครั้งนี้ 5 บริษัทรวมทั้งที่ถูกแทรกแซงก่อนหน้านี้ 7 บริษัท รวมทั้งสิ้น 12 บริษัทจะรวมกิจการกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ (KTT)ในลักษณะเดียวกับการรวมกิจการของธนาคารแหลมทองกับธนาคารรัตนสินและจะมีสถานะเป็นธนาคารพาณิชย์
พนักงานของธนาคารสหธนาคารและบริษัทเงินทุนที่ถูกแทรกแซงจะยังคงปฏิบัติงานและได้รับค่าตอบแทนเช่นเดิมในระหว่างนี้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจได้ว่าจ้างธนาคารต่างประเทศแห่งหนึ่งเพื่อเป็นที่ปรึกษาในการเชื่อมโยงระบบการบริหารและระบบประมวลผลของธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดตลอดจนการกำหนดโครงสร้างและวิธีปฏิบัติงานของธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่
ธนาคารแห่งประเทศไทยขอเรียนยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนที่ถูกแทรกแซงทุกรายยังคงได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินการและทำธุรกรรมติดต่อกับลูกค้าตามปกติและที่สำคัญคือผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ทุกรายจะได้รับชำระเงินคืนเมื่อครบกำหนดตามข้อบังคับการรับประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
จึงแถลงมาเพื่อทราบ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
14 สิงหาคม 2541
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--