กระทรวงคมนาคมในฐานะที่เป็นกระทรวงหลักทางด้านการคมนาคมขนส่ง ภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งมีผลต่อการ พัฒนาประเทศ และกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ ภายหลังจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วยว่าการทั้ง 3 ท่าน ได้เข้ามารับตำแหน่ง และปฏิบัติหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายตามหน่วยงานที่ตนรับผิดชอบตาม นโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ สำหรับนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้รับมอบหมายให้ กำกับดูแล 4 หน่วยงานหลักคือ กรมการบินพาณิชย์ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย บริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่ง ใหม่ จำกัด และการรถไฟแห่งประเทศไทย การปฏิบัติงานในระยะเวลา 4 เดือน (17 พฤศจิกายน 2540 - 17 มีนาคม 2541) ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นการปฏิบัติงานตามนโยบายรัฐบาลนี้ แถลงต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 20 - 21 พฤศจิกายน 2540 และสอดคล้องกับแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540 - 2544) ผลงานที่นำเสนอนี้เป็นเพียงการสรุปในเรื่องงานหลัก ๆ ที่สำคัญ เพื่อนำเสนอต่อสาธารณชนได้ทราบถึงความพยายามและความมุ่งมั่นของกระทรวงคมน าคม ที่จะบริการให้กับพี่น้องประชาชน โดยมีผลงานสรุปได้ดังนี้ ด้านกรมการบินพาณิชย์ (บพ.) ชะลอ 3 โครงการ สามารถปรับลดลงงบประมาณปี 2541 เป็นเงิน 18.425 ล้านบาท และงบ ผูกพันปีต่อ ๆ ไป เป็นเงิน 437.575 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการพัฒนาท่าอากาศยานอุบลราชธาน ี โครงการพัฒนา ท่าอากาศยานหัวหิน (ระยะที่ 2) และโครงการพัฒนาท่าอากาศยานหลวงพระบาง ระยะที่ 2 การปรับแผนพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยานกรุงเทพ (ปีงบประมาณ 2540 - 2543) ซึ่งเดิม ครม. ได้มี มติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2540 เห็นชอบให้การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) ขยายท่าอากาศยานกรุงเทพ (ดอนเมือง) เพื่อรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศได้ต่อไปอีก 10 ปี ข้างหน้าในวงเงิน 11,960 ล้านบาท โดยวิธีดำเนินการให้มีการออก แบบควบคู่ไปกับการก่อสร้าง เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว และสามารถใช้ได้ทันปี 2543 โดยที่รัฐบาลชุดปัจจุบันมีนโยบายชัดเจนที่จะพัฒนาท่าอากาศยานกรุงเทพ แห่งที่ 2 (หนองงูเห่า) ให้เป็นท่าอากาศยาน หลักของประเทศ และมีเป้าหมายเปิดดำเนินการในปี 2547 ดังนั้น คค. จึงได้พิจารณาทบทวนแผนพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความ สามารถของท่าอากาศยานกรุงเทพ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของการลงทุนในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน และดำเนินการเฉพาะ ในส่วนที่จำเป็น และรักษาสถานภาพความเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศ (HUB) ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดย เน้นการรักษามาตรฐานท่าอากาศยาน ตามข้อกำหนดขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และการแก้ไข ปัญหาคอขวดด้านกายภาพของการใช้บริการในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าการลงทุนภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดย คค. เห็นควรให้มีการลงทุนใหม่ในวงเงิน 5,040 ล้านบาท ซึ่งรวมโครงการก่อสร้างหอบังคับการบิน วงเงิน 196 ล้านบาท และการก่อสร้างถนนสายรอง (Local Road) ในเขตทางรถไฟจากรังสิต - หัวหมาก ระยะทาง 135.8 กิโลเมตร วงเงิน 700 ล้านบาทด้วยแล้ว ทำให้สามารถลดงบประมาณลงทุนได้ทั้งสิ้น 6,920 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณานำเสนอ ครม. พิจารณาอนุมัติ สำหรับงบประมาณลงทุนปี 2541 โดยเฉพาะในส่วนแผนพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยาน กรุงเทพ จะต้องพิจารณาปรับปรุงให้สอดคล้องกับมติ ครม. ในเรื่องการปรับลดวงเงินลงทุนใหม่ต่อไป ดำเนินการก่อสร้างท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งที่ 2 (หนองงูเห่า) เพื่อให้เป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศ ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยร่วมมือกับกระทรวงการคลังชักชวนให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ในการลงทุนก่อสร้างและบริหาร งาน ซึ่ง คค. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการการศึกษาแนวทางการเพิ่มบทบาทภาคเอกชน ในการพัฒนาท่าอากาศยานสากลกรุงเทพ แห่งที่ 2 ขึ้น โดยมี ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เป็นประธาน ขณะนี้ได้ข้อสรุปแล้ว มีสาระสำคัญคือ 1. ให้ก่อสร้างท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งที่ 2 (หนองงูเห่า) ให้มีขนาดรับผู้โดยสาร ได้ 30 ล้านคน/ปี โดยมี 2 ทางวิ่ง (Runway) ค่าก่อสร้างประมาณ 120,000 - 140,000 ล้านบาท กำหนดให้เปิดสนามบินได้ 1 ทางวิ่ง ในปี พ.ศ. 2547 และเต็มรูปแบบ 2 ทางวิ่งในปี พ.ศ. 2548 2. ให้คงการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยไว้ และจัดตั้งบริษัท ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย จำกัด บริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพ จำกัด บริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด และบริษัท ท่าอากาศยานภูมิภาค จำกัด โดยบริษัท ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย จำกัด จะถือหุ้นจาการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย และเอกชนในสัดส่วน 70:30 และให้มี Management Contract สำหรับ Terminal และ 10 กิจกรรมของบริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพ จำกัด และ บริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด สำหรับบริษัท ท่าอากาศยานภูมิภาค จำกัด ให้บริษัทท่าอากาศยานแห่ง ประเทศไทย จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 25 บาท 1 หุ้น แก้ไขปัญหาโครงการระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับใน กทม. (โครงการ โฮปเวลล์) ซึ่งโครงการดังกล่าว ได้ใช้เวลาดำเนินการมาถึง 6 ปีแล้ว แต่ผลงานต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนมาก แม้ว่ารัฐได้เร่งรัดและให้การสนับสนุนมา โดยตลอดก็ตาม และหากมีความล่าช้าออกไปอีก โดยไม่สามารถคาดได้ว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด ก็จะมีผลกระทบต่อแผนงานการแก้ ไขปัญหาการจราจรของ กทม. และปริมณฑล อันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยส่วนรวม คค. และ รฟท. ในฐานะคู่สัญญาฝ่ายรัฐ ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาสัมปาทานกับบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2541 โดย คค. มีแผนรอง รับการบอกเลิกสัญญาคือ 1. ก่อสร้างถนนเลียบทางรถไฟ (Local Road) เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรของ กทม. โดยจะช่วยระบายการจราจรเข้า-ออก กทม. ไปสู่ด้านทิศเหนือและทิศตะวันออก เป็นการแบ่งเบาภาระ การจราจรแออัดในถนนวิภาวดีรังสิต ทางยกระดับดอนเมือง โทลล์เวย์ และถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ซึ่งการจราจรคับคั่งในช่วงเวลาเร่งด่วน ดังนั้นถนนเลียบทางรถไฟนี้ จะช่วยให้การไหลเวียน ของการจราจรในเส้นทางที่มาเชื่อมต่อมีความคล่องตัวดีขึ้นด้วย คค. จึงได้ให้ ทล. ดำเนินการสำรวจและออกแบบถนนเลียบทาง รถไฟ โดยก่อสร้างเป็นทางขนาด 4 ช่องจราจร ผิวลาดยาง แอสฟัลท์ติคคอนกรีต จำนวน 2 เส้นทาง คือ สายเหนือ จากถนน ศรีอยุธยาไปรังสิต ระยะทาง 26.4 กม. และสายตะวันออก จากมักกะสันไปหัวหมาก ระยะทาง 9.4 กม. รวมระยะทาง 35.8 กม. ค่าก่อสร้างประมาณ 700 ล้านบาท ซึ่ง ครม. ได้อนุมัติให้ดำเนินการแล้ว เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2541 โดย คค. จะได้เร่งรัดให้ทล. ดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จก่อนการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 2. ในส่วนของโครงการตามรูปแบบของโฮปเวลล์เดิม ขณะนี้กำลังศึกษารูปแบบของทางการที่จะทำต่อไป โดยยึดโครง สร้างเดิมของโฮปเวลล์ที่ได้มีการลงทุนไปแล้ว จากผลการศึกษาเบื้องต้น คงจะต้องมีการลดขนาดของโครงการลง ในขณะเดียว กันองค์ประกอบของโครงการจะมีการเปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ ในเส้นทางในเมืองจากบางซื่อถึงหัวลำโพง และยมราชถึง หัวหมากอาจจะเป็นการเดินรถในลักษณะรถไฟเบา (Light Rail) เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการจราจรในเมือง ส่วนเส้นทางชานเมือง ยังคงเป็นลักษณะทางรถไฟยกระดับแต่ปรับให้เหลือเฉพาะทางรถไฟเท่านั้น อย่างไรก็ ตามรูปแบบของโครงการที่ชัดเจน ยังคง ต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาของคณะกรรมการพิจารณาดำเนินการตามแผนรองรับฯ ซึ่ง คค. ได้แต่งตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาหา แนวทางเลือกที่เหมาะสม ซึ่งผลการศึกษาจะได้นำเสนอให้ ครม. พิจารณาในเร็ว ๆ นี้--จบ--