กรุงเทพ--8 ต.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
ตามที่ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับการส่งกองกำลังไทยไปร่วมกองกำลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออกนั้นกระทรวงการต่างประเทศ ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ดังนี้
1. ไทยส่งกองกำลังไทยไปตามคำขอของสหประชาชาติและอินโดนีเซียรัฐบาลไทยได้สนับสนุนการแก้ไขปัญหาติมอร์ตะวันออกในกรอบของสหประชาชาติมาหลายสมัยแล้วตั้งแต่ปี 2526 และได้ส่งคณะเจ้าหน้าที่จำนวน 9 นายร่วมภารกิจของปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก (United Nation Assistance in East Timor-UNAMET) เพื่อสังเกตการณ์และประสานเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งในติมอร์ตะวันออกและเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีมติที่ 1264/1999 กำหนดให้จัดตั้งกองกำลังนานาชาติเพื่อเข้าไปปฏิบัติการในติมอร์ตะวันออก (International Forces in East Timor-INTERFET) และอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกันได้แจ้งความประสงค์ผ่านทั้ง ฯพณฯ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีที่เมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคและผ่าน ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขอให้ประเทศไทยและประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปร่วมในกองกำลังนานาชาติให้มากที่สุด กับทั้งเลขาธิการสหประชาชาติก็ได้แจ้งขอความร่วมมือโดยตรงต่อ ฯพณฯ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีให้ไทยส่งกองกำลังเข้าร่วมในกองกำลังนานาชาติและกองกำลังรักษาสันติภาพที่สหประชาชาติจัดตั้งขึ้น ประเทศไทยจึงตกลงใจเข้าร่วมในกองกำลังนานาชาติเพื่อเสริมสร้างสันติภาพและเสถียรภาพในติมอร์ตะวันออกเพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามขยายตัวออกไปโดยตอบสนองคำร้องขอของสหประชาชาติและอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศที่ได้เคยให้ความช่วยเหลือแก่ไทยในยามยาก
2. ความเร่งด่วนของการส่งกองกำลังไทยแม้สถานการณ์ในติมอร์ตะวันออกจะถือเป็นเรื่องฉุกเฉินและเงื่อนเวลาเป็นปัญหาสำคัญที่สุดที่จะต้องคำนึงแต่ ฯพณฯ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้หารือกับผู้บัญชาการทหารทั้งสามเหล่าทัพและผู้บัญชาการทหารสูงสุดก่อนแล้วดังนั้นการส่งกองกำลังไทยไปจึงถือว่าเป็นเรื่องที่ได้มีการพิจารณากันล่วงหน้าอย่างถ่องแท้
3. การหารือระหว่างประเทศอาเซียนก่อนที่ประเทศไทยจะตัดสินใจส่งกองกำลังไทยเข้าร่วมในกองกำลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออกนั้นประเทศไทย โดย ฯพณฯ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เข้าร่วมยังได้มีการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศเอเปกเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2542 อีกด้วย
4. รัฐบาลไทยไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อการส่งกองกำลังไทยไปร่วมกับกองกำลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออกเลขาธิการสหประชาชาติได้ย้ำกับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 17 กันยายน 2542 ว่า ประเทศต่าง ๆ
ที่ส่งกองกำลังเข้าร่วมในครั้งนี้สามารถเบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุน (Trust Fund) ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยเลขาธิการสหประชาชาติเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายของกองกำลังนานาชาติโดยประเทศไทยและประเทศอาเซียนมีสิทธิที่จะเบิกจ่ายได้ก่อนประเทศอื่นขณะนี้ กองทุน (Trust Fund) สามารถจัดตั้งขึ้นได้แล้วโดยมีงบประมาณจัดตั้งในชั้นนี้เป็นเงิน 105 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 รัฐบาลญี่ปุ่นได้บริจาคเงินเข้ากองทุนเป็นจำนวน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และประเทศโปรตุเกสได้บริจาคเป็นเงิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ
5. ตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติการดำเนินการในการส่งกองกำลังไทยที่เป็นขั้นเป็นตอนมาตั้งแต่ต้นไม่ควรนำไปโยงกับข่าวลือเรื่องสหรัฐฯ เตรียมจะมอบตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติให้แก่ ฯพณฯ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด--จบ--
ตามที่ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับการส่งกองกำลังไทยไปร่วมกองกำลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออกนั้นกระทรวงการต่างประเทศ ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ดังนี้
1. ไทยส่งกองกำลังไทยไปตามคำขอของสหประชาชาติและอินโดนีเซียรัฐบาลไทยได้สนับสนุนการแก้ไขปัญหาติมอร์ตะวันออกในกรอบของสหประชาชาติมาหลายสมัยแล้วตั้งแต่ปี 2526 และได้ส่งคณะเจ้าหน้าที่จำนวน 9 นายร่วมภารกิจของปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก (United Nation Assistance in East Timor-UNAMET) เพื่อสังเกตการณ์และประสานเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งในติมอร์ตะวันออกและเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีมติที่ 1264/1999 กำหนดให้จัดตั้งกองกำลังนานาชาติเพื่อเข้าไปปฏิบัติการในติมอร์ตะวันออก (International Forces in East Timor-INTERFET) และอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกันได้แจ้งความประสงค์ผ่านทั้ง ฯพณฯ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีที่เมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคและผ่าน ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขอให้ประเทศไทยและประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปร่วมในกองกำลังนานาชาติให้มากที่สุด กับทั้งเลขาธิการสหประชาชาติก็ได้แจ้งขอความร่วมมือโดยตรงต่อ ฯพณฯ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีให้ไทยส่งกองกำลังเข้าร่วมในกองกำลังนานาชาติและกองกำลังรักษาสันติภาพที่สหประชาชาติจัดตั้งขึ้น ประเทศไทยจึงตกลงใจเข้าร่วมในกองกำลังนานาชาติเพื่อเสริมสร้างสันติภาพและเสถียรภาพในติมอร์ตะวันออกเพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามขยายตัวออกไปโดยตอบสนองคำร้องขอของสหประชาชาติและอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศที่ได้เคยให้ความช่วยเหลือแก่ไทยในยามยาก
2. ความเร่งด่วนของการส่งกองกำลังไทยแม้สถานการณ์ในติมอร์ตะวันออกจะถือเป็นเรื่องฉุกเฉินและเงื่อนเวลาเป็นปัญหาสำคัญที่สุดที่จะต้องคำนึงแต่ ฯพณฯ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้หารือกับผู้บัญชาการทหารทั้งสามเหล่าทัพและผู้บัญชาการทหารสูงสุดก่อนแล้วดังนั้นการส่งกองกำลังไทยไปจึงถือว่าเป็นเรื่องที่ได้มีการพิจารณากันล่วงหน้าอย่างถ่องแท้
3. การหารือระหว่างประเทศอาเซียนก่อนที่ประเทศไทยจะตัดสินใจส่งกองกำลังไทยเข้าร่วมในกองกำลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออกนั้นประเทศไทย โดย ฯพณฯ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เข้าร่วมยังได้มีการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศเอเปกเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2542 อีกด้วย
4. รัฐบาลไทยไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อการส่งกองกำลังไทยไปร่วมกับกองกำลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออกเลขาธิการสหประชาชาติได้ย้ำกับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 17 กันยายน 2542 ว่า ประเทศต่าง ๆ
ที่ส่งกองกำลังเข้าร่วมในครั้งนี้สามารถเบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุน (Trust Fund) ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยเลขาธิการสหประชาชาติเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายของกองกำลังนานาชาติโดยประเทศไทยและประเทศอาเซียนมีสิทธิที่จะเบิกจ่ายได้ก่อนประเทศอื่นขณะนี้ กองทุน (Trust Fund) สามารถจัดตั้งขึ้นได้แล้วโดยมีงบประมาณจัดตั้งในชั้นนี้เป็นเงิน 105 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 รัฐบาลญี่ปุ่นได้บริจาคเงินเข้ากองทุนเป็นจำนวน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และประเทศโปรตุเกสได้บริจาคเป็นเงิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ
5. ตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติการดำเนินการในการส่งกองกำลังไทยที่เป็นขั้นเป็นตอนมาตั้งแต่ต้นไม่ควรนำไปโยงกับข่าวลือเรื่องสหรัฐฯ เตรียมจะมอบตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติให้แก่ ฯพณฯ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด--จบ--