โครเอเชีย เริ่มบังคับใช้กฎหมายศุลกากรฉบับใหม่ (New Law on Customs Tariff) เมื่อต้นปี 2539 โดยนำเอาวิธีปฏิบัติ ในการกำหนดข้อจำกัดทางการค้า และการนำเข้า-ส่งออก ที่สอดคล้องกับหลักการพื้นฐาน และความต้องการของ World Trade Organization (WTO) มาบังคับใช้ โดยตั้งความหวังว่าจะสามารถเข้าเป็นสมาชิก WTO ในระยะเวลาอันใกล้ กฎหมายฉบับใหม่นี้ ได้ปรับปรุงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าให้เหมาะสมกับความจำเป็นและสภาวะตลาด เช่น ลด หรือยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าวัตถุดิบบางรายการ และสินค้าสำเร็จรูปที่ไม่มีการผลิตภายในประเทศ และปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าหลายรายการที่มีการผลิตในประเทศ ส่งผลให้อัตราภาษีที่จัดเก็บสูงขึ้นจากระดับเดิม 0-18% ในปี 2534 เป็น 0-25% ตามกฎหมายฉบับนี้ โดยมีอัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยทุกสินค้าประมาณ 10.68% และประมาณ 75% ของสินค้าที่นำเข้า อยู่ในบัญชีที่ต้องเสียภาษี
อัตราภาษีที่จัดเก็บ จำแนกออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
วัตถุดิบ (raw material) ที่ไม่มีในประเทศ ได้รับยกเว้นภาษีนำเข้า (0%)
สินค้ากึ่งสำเร็จรูป (Semi-manufactured and intermadiate product)
สินค้าสำเร็จรูป (Final products) ซึ่งไม่มีการผลิตภายในประเทศ เก็บภาษีอัตรา 20%
สินค้าสำเร็จรูป ที่มีการผลิตในประเทศ เก็บภาษีระหว่าง 20%-25% ภาษีและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ในการนำเข้า ประกอบด้วย
1. Special Excise Tax เก็บจากสินค้านำเข้าในอัตรา 10% ของมูลค่าภาษี ยกเว้นสินค้าบางรายการ ซึ่งรัฐบาลจะกำหนดอัตราภาษีพิเศษไว้ต่างหาก โดยมีทั้งที่ได้รับยกเว้น (0%) และที่เก็บในอัตราต่ำหรือสูงกว่า เช่น 2-5% และ 15-20% เป็นต้น
สินค้าที่ได้รับยกเว้นจาก Special excise tax ได้แก่ อุปกรณ์ที่นำเข้าไปใช้ในโครงการลงทุน (โดยต้องมีอายุการใช้งานมาแล้วไม่เกิน 7 ปี) วัตถุดิบที่นำเข้ามา สำหรับการผลิตเพื่อส่งออก อุปกรณ์และส่วนประกอบที่นำเข้าเพื่อซ่อมแซม หรือทดแทนของเดิมที่เสียหายจากสงคราม เครื่องใช้ในครัวเรือนของผู้อพยพ และเครื่องมือที่นำเข้าโดยผู้อพยพกลับถิ่นฐานเดิม
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) โครเอเชียเริ่มนำภาษีมูลค่าเพิ่มมา บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2541 ในอัตรา 22% กับทุกสินค้า และทุกขั้นตอนการแลกเปลี่ยน คำนวนโดยใช้ฐานราคา CIF บวกภาษีนำเข้า
3. Custom Handing fee อัตรา 3% ของมูลค่าภาษีที่ต้องจ่าย
มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี
1. โควต้านำเข้า (Quantitative import quota) โครเอเชีย ได้นำมาตรการควบคุมปริมาณนำเข้ามาใช้เพื่อคุ้มครองผู้ผลิตภายในประเทศ โดยยึดถือหลักปฏิบัติตาม The Safeguard Agreement of World Trade Organisation
2. ใบอนุญาตนำเข้า (Import Licenses) กรณีการนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ และสินค้าที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อม เช่น อาวุธ อุปกรณ์ที่ใช้ในกิจการทหารและตำรวจ เครื่องมือสื่อสาร อุปกรณ์การก่อสร้าง แทรกเตอร์ โลหะ weste products และสินค้าที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีกระทรวงเศรษฐกิจ (Ministry of Economy) เป็นผู้พิจารณา และออกใบอนุญาต
3. มาตรการห้ามนำเข้า มีรายการเดียว คือรถยนต์ใช้แล้ว ที่มีอายุการใช้งานเกินกว่า 7 ปี
4. การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานสินค้าสินค้านำเข้าหลายชนิด ต้องผ่านการควบคุมคุณภาพ (quality control) โดยเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ณ ด่านศุลกากร ซึ่งสังกัดกระทรวงการเศรษฐกิจ (Ministry of Economy)
ข้อสังเกตุ
1. อัตราภาษีนำเข้าสินค้าส่งออกสำคัญของไทยที่มีลู่ทางขยาย ส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าสูงได้แก่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป (ภาษีนำเข้า 25%) ผลิตภัณฑ์ยาง (15%) รองเท้า (20%) ดอกไม้ประดิษฐ์ (15%) เครื่องเดินทาง (15%) อาหารแปรรูป (10-20%) ปลากระป๋อง (20%) และเครื่องประดับ (10-20%) เป็นต้น
2. อาหารทะเล และอาหารแปรรูป เป็นสินค้าที่มีลู่ทางขยายสูง หลายชนิดไม่มีการผลิตภายในโครเอเชีย แต่การนำเข้าไปจำหน่าย นอกจากต้องเผชิญกับภาษี และค่าใช้จ่ายนำเข้าสูงแล้ว ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคอื่นๆ เช่น โควต้า และกฏระเบียบที่ยุ่งยากในการตรวจสอบ เช่น ข้อกำหนดเรื่อง Pre-customs quality inspection เป็นการเพิ่มภาระ และค่าใช้จ่าย ที่ทำให้ต้นทุน และราคาสินค้าสูงขึ้นด้วย
3. ปัจจุบัน หน่วยงานตรวจสอบของโครเอเชีย ยังไม่มีการทำความตกลงรับรองผลการตรวจสอบคุณภาพ และการตรวจสอบทางเทคนิค ที่จัดทำและออกให้โดยรัฐบาล หรือหน่วยงานตรวจสอบของประเทศอื่น ทำให้สินค้านำเข้าต้องเข้ารับการตรวจสอบ ณ ด่านศุลกากรที่โครเอเชียอีกครั้ง ในเรื่องนี้เชื่อว่า Croatian State Office for Standards and Measures มีอำนาจ และสามารถพิจารณาจัดทำข้อตกลงรับรองเอกสารตรวจสอบคุณภาพ ที่ออกโดยหน่วยงาน ที่ได้การรับรองจากรัฐบาลของประเทศผู้ส่งออกได้ ดังนั้น หากประเทศไทยสามารถผลักดันให้ มีการรับรองเอกสารที่ออกให้โดยหน่วยงานตรวจสอบของไทย ก็จะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายของสินค้า และทำให้การนำเข้าคล่องตัวขึ้น
ที่มา : สำนักงานพาณิชย์ ณ กรุงบูดาเปสต์
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 13/15 ธันวาคม 2541--
อัตราภาษีที่จัดเก็บ จำแนกออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
วัตถุดิบ (raw material) ที่ไม่มีในประเทศ ได้รับยกเว้นภาษีนำเข้า (0%)
สินค้ากึ่งสำเร็จรูป (Semi-manufactured and intermadiate product)
สินค้าสำเร็จรูป (Final products) ซึ่งไม่มีการผลิตภายในประเทศ เก็บภาษีอัตรา 20%
สินค้าสำเร็จรูป ที่มีการผลิตในประเทศ เก็บภาษีระหว่าง 20%-25% ภาษีและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ในการนำเข้า ประกอบด้วย
1. Special Excise Tax เก็บจากสินค้านำเข้าในอัตรา 10% ของมูลค่าภาษี ยกเว้นสินค้าบางรายการ ซึ่งรัฐบาลจะกำหนดอัตราภาษีพิเศษไว้ต่างหาก โดยมีทั้งที่ได้รับยกเว้น (0%) และที่เก็บในอัตราต่ำหรือสูงกว่า เช่น 2-5% และ 15-20% เป็นต้น
สินค้าที่ได้รับยกเว้นจาก Special excise tax ได้แก่ อุปกรณ์ที่นำเข้าไปใช้ในโครงการลงทุน (โดยต้องมีอายุการใช้งานมาแล้วไม่เกิน 7 ปี) วัตถุดิบที่นำเข้ามา สำหรับการผลิตเพื่อส่งออก อุปกรณ์และส่วนประกอบที่นำเข้าเพื่อซ่อมแซม หรือทดแทนของเดิมที่เสียหายจากสงคราม เครื่องใช้ในครัวเรือนของผู้อพยพ และเครื่องมือที่นำเข้าโดยผู้อพยพกลับถิ่นฐานเดิม
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) โครเอเชียเริ่มนำภาษีมูลค่าเพิ่มมา บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2541 ในอัตรา 22% กับทุกสินค้า และทุกขั้นตอนการแลกเปลี่ยน คำนวนโดยใช้ฐานราคา CIF บวกภาษีนำเข้า
3. Custom Handing fee อัตรา 3% ของมูลค่าภาษีที่ต้องจ่าย
มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี
1. โควต้านำเข้า (Quantitative import quota) โครเอเชีย ได้นำมาตรการควบคุมปริมาณนำเข้ามาใช้เพื่อคุ้มครองผู้ผลิตภายในประเทศ โดยยึดถือหลักปฏิบัติตาม The Safeguard Agreement of World Trade Organisation
2. ใบอนุญาตนำเข้า (Import Licenses) กรณีการนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ และสินค้าที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อม เช่น อาวุธ อุปกรณ์ที่ใช้ในกิจการทหารและตำรวจ เครื่องมือสื่อสาร อุปกรณ์การก่อสร้าง แทรกเตอร์ โลหะ weste products และสินค้าที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีกระทรวงเศรษฐกิจ (Ministry of Economy) เป็นผู้พิจารณา และออกใบอนุญาต
3. มาตรการห้ามนำเข้า มีรายการเดียว คือรถยนต์ใช้แล้ว ที่มีอายุการใช้งานเกินกว่า 7 ปี
4. การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานสินค้าสินค้านำเข้าหลายชนิด ต้องผ่านการควบคุมคุณภาพ (quality control) โดยเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ณ ด่านศุลกากร ซึ่งสังกัดกระทรวงการเศรษฐกิจ (Ministry of Economy)
ข้อสังเกตุ
1. อัตราภาษีนำเข้าสินค้าส่งออกสำคัญของไทยที่มีลู่ทางขยาย ส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าสูงได้แก่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป (ภาษีนำเข้า 25%) ผลิตภัณฑ์ยาง (15%) รองเท้า (20%) ดอกไม้ประดิษฐ์ (15%) เครื่องเดินทาง (15%) อาหารแปรรูป (10-20%) ปลากระป๋อง (20%) และเครื่องประดับ (10-20%) เป็นต้น
2. อาหารทะเล และอาหารแปรรูป เป็นสินค้าที่มีลู่ทางขยายสูง หลายชนิดไม่มีการผลิตภายในโครเอเชีย แต่การนำเข้าไปจำหน่าย นอกจากต้องเผชิญกับภาษี และค่าใช้จ่ายนำเข้าสูงแล้ว ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคอื่นๆ เช่น โควต้า และกฏระเบียบที่ยุ่งยากในการตรวจสอบ เช่น ข้อกำหนดเรื่อง Pre-customs quality inspection เป็นการเพิ่มภาระ และค่าใช้จ่าย ที่ทำให้ต้นทุน และราคาสินค้าสูงขึ้นด้วย
3. ปัจจุบัน หน่วยงานตรวจสอบของโครเอเชีย ยังไม่มีการทำความตกลงรับรองผลการตรวจสอบคุณภาพ และการตรวจสอบทางเทคนิค ที่จัดทำและออกให้โดยรัฐบาล หรือหน่วยงานตรวจสอบของประเทศอื่น ทำให้สินค้านำเข้าต้องเข้ารับการตรวจสอบ ณ ด่านศุลกากรที่โครเอเชียอีกครั้ง ในเรื่องนี้เชื่อว่า Croatian State Office for Standards and Measures มีอำนาจ และสามารถพิจารณาจัดทำข้อตกลงรับรองเอกสารตรวจสอบคุณภาพ ที่ออกโดยหน่วยงาน ที่ได้การรับรองจากรัฐบาลของประเทศผู้ส่งออกได้ ดังนั้น หากประเทศไทยสามารถผลักดันให้ มีการรับรองเอกสารที่ออกให้โดยหน่วยงานตรวจสอบของไทย ก็จะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายของสินค้า และทำให้การนำเข้าคล่องตัวขึ้น
ที่มา : สำนักงานพาณิชย์ ณ กรุงบูดาเปสต์
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 13/15 ธันวาคม 2541--