ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. ปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่กระทบเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่า
การ ธปท. เปิดเผยถึงภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายของไทยหลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.50 เมื่อ
วันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า ไม่ได้ส่งผลทำให้เงินทุนระยะสั้นไหลเข้ามาในประเทศ เพราะที่ผ่านมา ธปท. ได้ดูแล
เรื่องเงินทุนอย่างดีแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมีผลทำให้มีเงินไหลเข้ามาเพิ่มขึ้นในลักษณะ
ของสินเชื่อการค้าในสินค้านำเข้าหลายประเภท ซึ่งจากข้อมูลของ ธปท. พบว่าสินเชื่อการค้าในช่วง 7 เดือนแรก
ของปีนี้ มีเงินทุนไหลเข้าสุทธิ 2,230.63 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยเป็นการไหลเข้ามา 17,107.95 ล้าน
ดอลลาร์ สรอ. และไหลออกไป 14,877.32 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นการไหลเข้าเพิ่มขึ้นสุทธิ 1,741.63
ล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนจำนวนเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิรวมช่วง 7 เดือน
แรกปีนี้ มีเงินทุนไหลเข้าสุทธิ 4,080 ล้านดอลลาร์สรอ. โดยเป็นเงินทุนไหลเข้าจากภาคเอกชน 3,427.29 ล้าน
ดอลลาร์ สรอ. และเงินทุนของทางการ 653 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเงินทุนจากภาคเอกชนแยกเป็นเงินทุนจาก
ภาคธนาคารไหลออกสุทธิ 2,296 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในขณะที่เงินทุนไหลเข้าจากภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารใน
ช่วง 7 เดือนแรกปีนี้มีจำนวน 5,723 ล้านดอลลาร์ สรอ. แยกเป็นเงินเข้ามาลงทุนโดยตรงสุทธิ 1,673.12 ล้าน
ดอลลาร์ สรอ. ลงทุนในหลักทรัพย์ 3,314.04 ล้านดอลลาร์ สรอ. และเงินทุนไหลเข้าจากส่วนอื่นอีก 1,716
ล้านดอลลาร์ สรอ. ขณะที่เงินกู้ยืมมีการไหลออกทั้งสิ้น 980.67 ล้านดอลลาร์ สรอ. (กรุงเทพธุรกิจ, มติชน, เดลินิวส์)
2. IMF คาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะเติบโตเพียงร้อยละ 3.5 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
ออกรายงานการทบทวนภาวะเศรษฐกิจไทยล่าสุดระบุว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 48 จะอยู่ที่
ร้อยละ 3.5 เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 4.2 และเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.5 โดยคาดว่าไทยจะขาดดุลบัญชี
เดินสะพัด 4.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หรือติดลบร้อยละ 2.5 ของจีดีพี ส่วนการส่งออกจะมีมูลค่า 1.069 แสน
ล้านดอลลาร์ สรอ. และการนำเข้ามีมูลค่า 1.163 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. ขณะที่ดุลการชำระเงินรวมจะขาดดุล
1.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนเงินสำรองทางการ ณ สิ้นปี จะอยู่ที่ 4.82 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. หรือร้อย
ละ 216.1 ของหนี้ต่างประเทศที่ครบกำหนด โดยหนี้ต่างประเทศจะอยู่ที่ 5.04 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. หรือร้อย
ละ 30.1 ของจีดีพี สำหรับการเติบโตในระยะยาวขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจในบางภาคที่ยัง
อ่อนแอ โดยเฉพาะภาคเอกชนและการธนาคาร แม้ธนาคารหลายแห่งจะปรับปรุงระบบการเงินให้ดีขึ้นในช่วง 2-3
ปีที่ผ่านมา ทว่าหนี้เสียของธนาคารยังอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ IMF สนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวด
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีความเหมาะสมในการกำกับสถาบันการ
เงิน ด้านนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจตามงบประมาณปีนี้ถือว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับแรงกดดันใน
เรื่องเงินเฟ้อ อีกทั้งยังเห็นด้วยที่ปีหน้าจะจัดทำงบประมาณแบบสมดุล อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ตัว
เลขประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะรายงานในแนวโน้มเงินเฟ้อวันนี้จะสูงกว่าร้อยละ 3.5 ตามที่ IMF
ประเมินไว้ (โพสต์ทูเดย์, มติชน, เดลินิวส์)
3. ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนปีนี้ไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาท นายสาธิต ศิริรังคมานนท์
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ยอดคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนปีนี้คาดว่าจะ
อยู่ในระดับ 7 แสนล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากไทยเป็นฐานการลงทุนที่จะสามารถกระจายไปยัง
ภูมิภาคเอเชียได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างจีนและอินเดีย ประกอบกับไทยมีการทำข้อตกลงเขตการค้า
เสรีจึงเป็นช่องทางในการค้าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ยอดขอส่งเสริมการลงทุนได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 3 ไตร
มาสของปีนี้ได้ปรับสูงขึ้นมาก มีมูลค่า 561,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี
ก่อนที่มีมูลค่าเพียง 373,600 ล้านบาท โดยมีทั้งหมด 966 โครงการ โดยกิจการในกลุ่มบริการและสาธารณูปโภค
เป็นกิจการที่นักลงทุนให้ความสนใจสูงสุด ยื่นขอรับการส่งเสริม 182 โครงการ วงเงิน 156,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บีโอไออยู่ระหว่างปรับกลยุทธ์ที่จะดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่ม โดยอุตสหกรรมที่
จะเน้นเป็นอุตสาหกรรมที่แปลกใหม่ เช่น อุตสาหกรรมแอนิเมชั่น หรือ ไอทีดีไซน์ รวมทั้งอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
(ผู้จัดการรายวัน, เดลินิวส์, บ้านเมือง)
4. เงินฝากสถาบันการเงินไหลเข้ากองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น นายศุภกร สุนทรกิจ ผช.กก.
ผจก. บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า ในช่วงที่เหลือของปี 48 จนถึงปีหน้าจะมีเงินออมจากสถาบันการเงินโยกเข้ามาลง
ทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นมากขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น เนื่องจากผลตอบแทนของของตราสาร
หนี้ระยะสั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ดอกเบี้ยเงินฝากยังมีแนวโน้มปรับขึ้นตามนโยบายของ ธปท. ที่เข้ามา
ดูแลอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงกลางปีหน้าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในภาวะที่นิ่ง ดังนั้น
ความนิยมในตราสารหนี้ระยะยาวจะเริ่มเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง (แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเยอรมนีแข็งแกร่งขึ้นในเดือน พ.ย.48 รายงานจากเบอร์ลินเมื่อ 27
ต.ค.48 The GfK market research group เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเยอรมนีใน
เดือน พ.ย.48 ซึ่งทำการสำรวจจากชาวเยอรมนี 2,000 คน พบว่า ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ 3.4 เหนือ
ความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าดัชนีจะไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.1 บ่งชี้ว่า
ภาวะเศรษฐกิจของเยอรมนีกำลังฟื้นตัวขึ้น ทั้งนี้ GfK กล่าวว่า การสำรวจดังกล่าวได้จัดทำขึ้นหลังจากที่มีความ
ชัดเจนว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลผสมระหว่างพรรค Social Democrats และพรรคอนุรักษ์นิยม หลังจากการเลือก
ตั้งเมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งการที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ปรับตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งบ่งชี้ได้ว่าผู้บริโภคเยอรมนีมีมุมมอง
ที่ดีต่อรัฐบาลใหม่ นอกจากนี้ ดัชนีความคาดหวังของผู้บริโภคเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคต ได้ปรับตัว
เพิ่มขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในช่วงเดือน ต.ค.48 หลังจากการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในช่วงฤดูร้อนของปี 46 ขณะที่ส่วนประกอบ
ที่เกี่ยวกับการคาดหวังด้านวัฏจักรธุรกิจของดัชนีเพิ่มขึ้นที่ระดับ 1.4 ซึ่งส่งผลให้ค่าเฉลี่ยดัชนีฯ ดังกล่าวอยู่เหนือ
ระดับ 0 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ก.พ.47 (รอยเตอร์)
2. คาดว่าธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่า
เป้าหมาย รายงานจากลอนดอนเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 48 The National Institute of Economic and
Social Research — NIESR คาดว่าธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกมากกว่าที่จะปรับลดลง
เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายอีกหลายปี รวมทั้งอาจจะมีการปรับเพิ่มภาษีหรือลดการ
ใช้จ่ายภาครัฐลงเพื่อลดการขาดดุลการคลัง โดยรายได้ที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ฐานะการคลังฟื้นตัวในในระยะเวลาอัน
ใกล้นี้ ทั้งนี้ระดับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและกำลังการผลิตที่ค่อนข้างจะเต็มกำลังจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่า
เป้าหมายที่ตั้งไว้ร้อยละ 2.0 และจะสูงถึงร้อยละ 2.6 ในปลายปีหน้า โดยการคาดการณ์ดังกล่าวอยู่บนสมมติฐาน
ว่าผู้ดำเนินนโยบายการเงินของธ.กลางอังกฤษตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.5 (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.2 ต่อเดือนต่ำกว่าที่คาด
ไว้ รายงานจากโตเกียว เมื่อ 28 ต.ค.48 ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ
0.2 จากเดือนก่อน ต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 2.0 ต่อเดือน ทำให้เกิดความกังวลว่าการฟื้นตัวทาง
เศรษฐกิจจะประสบกับภาวะชะงักงัน ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานในเดือน ก.ย.48 ลดลงเพียงร้อยละ 0.1
ต่อปี ดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะลดลงร้อยละ 0.2 ต่อปี ทำให้คาดกันว่าภาวะเงินฝืดที่ยาวนานมากว่า 7 ปีกำลังจะสิ้นสุด
ลง เช่นเดียวกับตัวเลขอัตราการว่างงานที่ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 4.2 ดีกว่าที่คาดไว้ที่ร้อยละ 4.3 อย่างไรก็ดี
การใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครัวเรือนที่มีรายได้จากเงินเดือนหรือค่าจ้างลดลงร้อยละ 0.4 ในเดือน ก.ย.48 เมื่อเทียบกับ
ปีก่อน (รอยเตอร์)
4. ผลผลิตอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าผู้
บริโภคลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 รายงานจากโซล เมื่อ 28 ต.ค.48 สำนักงานสถิติเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ผล
ผลิตอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ในเดือน ก.ย.48 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 จากเดือน ส.ค.48 ซึ่งสูงกว่าที่ผล
สำรวจรอยเตอร์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 และหากเทียบต่อปีขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 เทียบกับที่
คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 ขณะที่ดัชนีการขายสินค้าผู้บริโภคในเดือน ก.ย.48 ลดลงร้อยละ 2.5 เทียบ
ต่อเดือน (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาล) ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.9
ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ การส่งออกของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของเกาหลีใต้ในรอบ
มากกว่า 2 ปีที่ผ่านมาในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9 เทียบจากปีก่อนหน้า เช่นเดียวกับในเดือน ส.ค.48
ที่การส่งออกขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบ 9 เดือน อย่างไรก็ตาม ผลผลิตอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ในปีนี้
ยังมีความผันผวนอยู่ เนื่องจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของเกาหลีใต้จากต่างประเทศชะลอลง ขณะที่การ
บริโภคในประเทศเริ่มฟื้นตัว นอกจากนี้ ธ.กลางเกาหลีใต้ประกาศตัวเลขเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ดัชนีชี้วัดความเชื่อ
มั่นของผู้ประกอบการผลิตที่เกี่ยวกับภาวะธุรกิจในเดือน พ.ย.48 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือน ต.ค.ที่ระดับ 87
ซึ่งดัชนีดังกล่าวหากอยู่ระดับต่ำกว่า 100 หมายถึงธุรกิจส่วนใหญ่คาดว่าภาวะธุรกิจจะเลวร้ายลงมากกว่าที่ฟื้นตัวดี
ขึ้น ทั้งนี้ ดัชนีภาวะธุรกิจอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 ตั้งแต่สิ้นปี 45 เมื่อความต้องการในประเทศเริ่มชะลอลง(รอยตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 28 ต.ค. 48 27ต.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.82 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.6370/40.9196 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.79583 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 685.29/ 6.73 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,100/9,200 9,100/9,200 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 53.52 53.34 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 28 ต.ค. 48 26.14*/23.79** 26.54/23.79 16.99/14.59 ปตท.
** ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 21 ต.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. ปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่กระทบเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่า
การ ธปท. เปิดเผยถึงภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายของไทยหลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.50 เมื่อ
วันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า ไม่ได้ส่งผลทำให้เงินทุนระยะสั้นไหลเข้ามาในประเทศ เพราะที่ผ่านมา ธปท. ได้ดูแล
เรื่องเงินทุนอย่างดีแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมีผลทำให้มีเงินไหลเข้ามาเพิ่มขึ้นในลักษณะ
ของสินเชื่อการค้าในสินค้านำเข้าหลายประเภท ซึ่งจากข้อมูลของ ธปท. พบว่าสินเชื่อการค้าในช่วง 7 เดือนแรก
ของปีนี้ มีเงินทุนไหลเข้าสุทธิ 2,230.63 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยเป็นการไหลเข้ามา 17,107.95 ล้าน
ดอลลาร์ สรอ. และไหลออกไป 14,877.32 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นการไหลเข้าเพิ่มขึ้นสุทธิ 1,741.63
ล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนจำนวนเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิรวมช่วง 7 เดือน
แรกปีนี้ มีเงินทุนไหลเข้าสุทธิ 4,080 ล้านดอลลาร์สรอ. โดยเป็นเงินทุนไหลเข้าจากภาคเอกชน 3,427.29 ล้าน
ดอลลาร์ สรอ. และเงินทุนของทางการ 653 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเงินทุนจากภาคเอกชนแยกเป็นเงินทุนจาก
ภาคธนาคารไหลออกสุทธิ 2,296 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในขณะที่เงินทุนไหลเข้าจากภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารใน
ช่วง 7 เดือนแรกปีนี้มีจำนวน 5,723 ล้านดอลลาร์ สรอ. แยกเป็นเงินเข้ามาลงทุนโดยตรงสุทธิ 1,673.12 ล้าน
ดอลลาร์ สรอ. ลงทุนในหลักทรัพย์ 3,314.04 ล้านดอลลาร์ สรอ. และเงินทุนไหลเข้าจากส่วนอื่นอีก 1,716
ล้านดอลลาร์ สรอ. ขณะที่เงินกู้ยืมมีการไหลออกทั้งสิ้น 980.67 ล้านดอลลาร์ สรอ. (กรุงเทพธุรกิจ, มติชน, เดลินิวส์)
2. IMF คาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะเติบโตเพียงร้อยละ 3.5 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
ออกรายงานการทบทวนภาวะเศรษฐกิจไทยล่าสุดระบุว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 48 จะอยู่ที่
ร้อยละ 3.5 เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 4.2 และเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.5 โดยคาดว่าไทยจะขาดดุลบัญชี
เดินสะพัด 4.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หรือติดลบร้อยละ 2.5 ของจีดีพี ส่วนการส่งออกจะมีมูลค่า 1.069 แสน
ล้านดอลลาร์ สรอ. และการนำเข้ามีมูลค่า 1.163 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. ขณะที่ดุลการชำระเงินรวมจะขาดดุล
1.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนเงินสำรองทางการ ณ สิ้นปี จะอยู่ที่ 4.82 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. หรือร้อย
ละ 216.1 ของหนี้ต่างประเทศที่ครบกำหนด โดยหนี้ต่างประเทศจะอยู่ที่ 5.04 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. หรือร้อย
ละ 30.1 ของจีดีพี สำหรับการเติบโตในระยะยาวขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจในบางภาคที่ยัง
อ่อนแอ โดยเฉพาะภาคเอกชนและการธนาคาร แม้ธนาคารหลายแห่งจะปรับปรุงระบบการเงินให้ดีขึ้นในช่วง 2-3
ปีที่ผ่านมา ทว่าหนี้เสียของธนาคารยังอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ IMF สนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวด
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีความเหมาะสมในการกำกับสถาบันการ
เงิน ด้านนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจตามงบประมาณปีนี้ถือว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับแรงกดดันใน
เรื่องเงินเฟ้อ อีกทั้งยังเห็นด้วยที่ปีหน้าจะจัดทำงบประมาณแบบสมดุล อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ตัว
เลขประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะรายงานในแนวโน้มเงินเฟ้อวันนี้จะสูงกว่าร้อยละ 3.5 ตามที่ IMF
ประเมินไว้ (โพสต์ทูเดย์, มติชน, เดลินิวส์)
3. ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนปีนี้ไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาท นายสาธิต ศิริรังคมานนท์
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ยอดคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนปีนี้คาดว่าจะ
อยู่ในระดับ 7 แสนล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากไทยเป็นฐานการลงทุนที่จะสามารถกระจายไปยัง
ภูมิภาคเอเชียได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างจีนและอินเดีย ประกอบกับไทยมีการทำข้อตกลงเขตการค้า
เสรีจึงเป็นช่องทางในการค้าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ยอดขอส่งเสริมการลงทุนได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 3 ไตร
มาสของปีนี้ได้ปรับสูงขึ้นมาก มีมูลค่า 561,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี
ก่อนที่มีมูลค่าเพียง 373,600 ล้านบาท โดยมีทั้งหมด 966 โครงการ โดยกิจการในกลุ่มบริการและสาธารณูปโภค
เป็นกิจการที่นักลงทุนให้ความสนใจสูงสุด ยื่นขอรับการส่งเสริม 182 โครงการ วงเงิน 156,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บีโอไออยู่ระหว่างปรับกลยุทธ์ที่จะดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่ม โดยอุตสหกรรมที่
จะเน้นเป็นอุตสาหกรรมที่แปลกใหม่ เช่น อุตสาหกรรมแอนิเมชั่น หรือ ไอทีดีไซน์ รวมทั้งอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
(ผู้จัดการรายวัน, เดลินิวส์, บ้านเมือง)
4. เงินฝากสถาบันการเงินไหลเข้ากองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น นายศุภกร สุนทรกิจ ผช.กก.
ผจก. บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า ในช่วงที่เหลือของปี 48 จนถึงปีหน้าจะมีเงินออมจากสถาบันการเงินโยกเข้ามาลง
ทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นมากขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น เนื่องจากผลตอบแทนของของตราสาร
หนี้ระยะสั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ดอกเบี้ยเงินฝากยังมีแนวโน้มปรับขึ้นตามนโยบายของ ธปท. ที่เข้ามา
ดูแลอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงกลางปีหน้าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในภาวะที่นิ่ง ดังนั้น
ความนิยมในตราสารหนี้ระยะยาวจะเริ่มเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง (แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเยอรมนีแข็งแกร่งขึ้นในเดือน พ.ย.48 รายงานจากเบอร์ลินเมื่อ 27
ต.ค.48 The GfK market research group เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเยอรมนีใน
เดือน พ.ย.48 ซึ่งทำการสำรวจจากชาวเยอรมนี 2,000 คน พบว่า ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ 3.4 เหนือ
ความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าดัชนีจะไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.1 บ่งชี้ว่า
ภาวะเศรษฐกิจของเยอรมนีกำลังฟื้นตัวขึ้น ทั้งนี้ GfK กล่าวว่า การสำรวจดังกล่าวได้จัดทำขึ้นหลังจากที่มีความ
ชัดเจนว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลผสมระหว่างพรรค Social Democrats และพรรคอนุรักษ์นิยม หลังจากการเลือก
ตั้งเมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งการที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ปรับตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งบ่งชี้ได้ว่าผู้บริโภคเยอรมนีมีมุมมอง
ที่ดีต่อรัฐบาลใหม่ นอกจากนี้ ดัชนีความคาดหวังของผู้บริโภคเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคต ได้ปรับตัว
เพิ่มขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในช่วงเดือน ต.ค.48 หลังจากการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในช่วงฤดูร้อนของปี 46 ขณะที่ส่วนประกอบ
ที่เกี่ยวกับการคาดหวังด้านวัฏจักรธุรกิจของดัชนีเพิ่มขึ้นที่ระดับ 1.4 ซึ่งส่งผลให้ค่าเฉลี่ยดัชนีฯ ดังกล่าวอยู่เหนือ
ระดับ 0 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ก.พ.47 (รอยเตอร์)
2. คาดว่าธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่า
เป้าหมาย รายงานจากลอนดอนเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 48 The National Institute of Economic and
Social Research — NIESR คาดว่าธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกมากกว่าที่จะปรับลดลง
เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายอีกหลายปี รวมทั้งอาจจะมีการปรับเพิ่มภาษีหรือลดการ
ใช้จ่ายภาครัฐลงเพื่อลดการขาดดุลการคลัง โดยรายได้ที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ฐานะการคลังฟื้นตัวในในระยะเวลาอัน
ใกล้นี้ ทั้งนี้ระดับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและกำลังการผลิตที่ค่อนข้างจะเต็มกำลังจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่า
เป้าหมายที่ตั้งไว้ร้อยละ 2.0 และจะสูงถึงร้อยละ 2.6 ในปลายปีหน้า โดยการคาดการณ์ดังกล่าวอยู่บนสมมติฐาน
ว่าผู้ดำเนินนโยบายการเงินของธ.กลางอังกฤษตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.5 (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.2 ต่อเดือนต่ำกว่าที่คาด
ไว้ รายงานจากโตเกียว เมื่อ 28 ต.ค.48 ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ
0.2 จากเดือนก่อน ต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 2.0 ต่อเดือน ทำให้เกิดความกังวลว่าการฟื้นตัวทาง
เศรษฐกิจจะประสบกับภาวะชะงักงัน ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานในเดือน ก.ย.48 ลดลงเพียงร้อยละ 0.1
ต่อปี ดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะลดลงร้อยละ 0.2 ต่อปี ทำให้คาดกันว่าภาวะเงินฝืดที่ยาวนานมากว่า 7 ปีกำลังจะสิ้นสุด
ลง เช่นเดียวกับตัวเลขอัตราการว่างงานที่ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 4.2 ดีกว่าที่คาดไว้ที่ร้อยละ 4.3 อย่างไรก็ดี
การใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครัวเรือนที่มีรายได้จากเงินเดือนหรือค่าจ้างลดลงร้อยละ 0.4 ในเดือน ก.ย.48 เมื่อเทียบกับ
ปีก่อน (รอยเตอร์)
4. ผลผลิตอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าผู้
บริโภคลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 รายงานจากโซล เมื่อ 28 ต.ค.48 สำนักงานสถิติเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ผล
ผลิตอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ในเดือน ก.ย.48 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 จากเดือน ส.ค.48 ซึ่งสูงกว่าที่ผล
สำรวจรอยเตอร์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 และหากเทียบต่อปีขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 เทียบกับที่
คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 ขณะที่ดัชนีการขายสินค้าผู้บริโภคในเดือน ก.ย.48 ลดลงร้อยละ 2.5 เทียบ
ต่อเดือน (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาล) ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.9
ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ การส่งออกของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของเกาหลีใต้ในรอบ
มากกว่า 2 ปีที่ผ่านมาในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9 เทียบจากปีก่อนหน้า เช่นเดียวกับในเดือน ส.ค.48
ที่การส่งออกขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบ 9 เดือน อย่างไรก็ตาม ผลผลิตอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ในปีนี้
ยังมีความผันผวนอยู่ เนื่องจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของเกาหลีใต้จากต่างประเทศชะลอลง ขณะที่การ
บริโภคในประเทศเริ่มฟื้นตัว นอกจากนี้ ธ.กลางเกาหลีใต้ประกาศตัวเลขเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ดัชนีชี้วัดความเชื่อ
มั่นของผู้ประกอบการผลิตที่เกี่ยวกับภาวะธุรกิจในเดือน พ.ย.48 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือน ต.ค.ที่ระดับ 87
ซึ่งดัชนีดังกล่าวหากอยู่ระดับต่ำกว่า 100 หมายถึงธุรกิจส่วนใหญ่คาดว่าภาวะธุรกิจจะเลวร้ายลงมากกว่าที่ฟื้นตัวดี
ขึ้น ทั้งนี้ ดัชนีภาวะธุรกิจอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 ตั้งแต่สิ้นปี 45 เมื่อความต้องการในประเทศเริ่มชะลอลง(รอยตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 28 ต.ค. 48 27ต.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.82 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.6370/40.9196 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.79583 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 685.29/ 6.73 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,100/9,200 9,100/9,200 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 53.52 53.34 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 28 ต.ค. 48 26.14*/23.79** 26.54/23.79 16.99/14.59 ปตท.
** ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 21 ต.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--