แท็ก
เกษตรกร
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--26 มี.ค.-บิสนิวส์
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 ข้าว : เกษตรกรปลูกข้าวนาปรังสูงเกินเป้าหมายมากอาจเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำในการปลูกข้าวนาปรังครั้งที่สอง
จากปัญหาสภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำในการปลูกข้าวนาปรังใน 23 จังหวัด และเป็นพื้นที่ปลูกร้อยละ 80 ของพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังทั้ง 2 ประเทศ เกิดภาวะน้ำขาดแคลนในปี 2542 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้กำหนดเป้าหมายถื้นที่ปลูกข้าวนาปรังตามศักยภาพน้ำไว้ 3,810 ล้านไร่ โดยมีแผนทดแทนอาชีพให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ลดการปลูกข้าวนาปรัง จากการพยากรณ์สถานการณ์การผลิตข้าวนาปรังประจำเดือนมีนาคม 2542 โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ปรากฏว่าในปี 2542 จะมีพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังทั้งประเทศประมาณ 5.783 ล้านไร่ สูงกว่าเป้าหมาย 1.973 ล้านไร่ หรือร้อยละ 52 เนื่องจากสถานการณ์ราคายังจูงใจ และรายได้ยังคุ้มกับการลงทุนถึงแม้ว่าราคาจะลดลงจากปีที่ผ่านมาก็ตาม กล่าวคือราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้า-นาปรังความชื้น 14-15% เฉลี่ย 2 สัปดาห์แรก เดือนมีนาคมตันละ 5,775 บาท เทียบกับราคาในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งมีราคาตันละ 6,650 บาท ราคาลดลงร้อยละ 13 และเมื่อเปรียบเทียบพื้นที่ปลูกในปีที่แล้วลดลง 1.448 ล้านไร่ หรือลดลงร้อยละ 20 ส่วนผลผลิตในปีนี้คาดว่าจะได้ 3.648 ล้านตันข้าวเปลือก ลดลงจากปีที่แล้วประมาณ 1.144 ล้านตันข้าวเปลือก หรือลดลงร้อยละ 23.9 สาเหตุจากปัญหาน้ำขาดแคลนดังกล่าวข้าวต้น
อย่างไรก็ตามเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำซึ่งอาจทวีความรุนแรงขึ้น ถ้าเกษตรกรไม่หยุดการปลูกข้าวนาปรัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงประกาศขอความร่วมมืองดการปลูก ข้าวนาปรัง ครั้งที่ 2 ในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา เนื่องจากมีหลายพื้นที่ในบริเวณดังกล่าวมีการเก็บเกี่ยวข้าวนาปรังแล้ว และเกษตรกรเริ่มทำนาปรังครั้งที่ 2 ทันที ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการจัดสรรน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ พื้นที่ดังกล่าว ได้แก่ จังหวัดนครปฐม (ฝั่งตะวันออกแม่น้ำท่าจีน) นนทบุรี ปทุมธานี อยุธยา อ่างทอง สุพรรณบุรี และกรุงเทพฯ โดยได้มีการงดส่งน้ำจากเขื่อนทั้งสองตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมเป็นต้น
2.2 ปาล์มน้ำมัน : มติคณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติมาตรการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มดิบมีราคาสูง ตามที่คณะกรรมการนโยบายถั่วเหลืองและพืชน้ำมันอื่นเสนอ เมื่อวันอังคารที่ 2 มีนาคม 2542 ดังนี้
1. ให้เปิดตลาดนำเข้าน้ำมันปาล์มภายใต้ WTO ปี 2542 จำนวน 6,000 ตันน้ำมันปาล์มดิบ
2. อัตราภาษีนำเข้าในโควตาร้อยละ 20
3. การบริหารการนำเข้า โดย
3.1 ให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้าและจัดสรรให้สมาชิกสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม
3.2 ให้นำเข้าให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 มีนาคม 2542
3.3 กระทรวงพาณิชย์กำกับดูแลผลปาล์มสดที่เกษตรกรขายได้ให้มีราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 4.00 บาท และน้ำมันปาล์มดิบไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 26.00 บาท ในช่วงเวลานำเข้า
4. กำหนดให้น้ำมันปาล์มดิบ เป็นสินค้าที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษในการส่งออกเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่ปัจจุบัน —31 ธันวาคม 2542 ในอัตราร้อยละ 10 ของราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี.
อย่างไรก็ตาม คาดว่า อาจไม่มีการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบตามที่ ครม.อนุมัติ เนื่องจากทางสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มต้องการให้มีการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบประเภทน้ำมันปาล์มโอเลอีนดิบ (Crude Olein) เพราะหากนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบประเภท Crude Palm Oil จะทำให้ต้นทุนการนำเข้าสูงเพราะมาเลเซียเรียกเก็บภาษีส่งออกในอัตราที่สูงกว่า Crude Olein อีกทั้งการนำเข้า Crude Palm Oil จะทำให้ต้นทุนการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นถ้าตกลงกันไม่ได้ถึงประเภทน้ำมันปาล์มดิบที่นำเข้า ทางสมาคมโรงกลั่นฯ คงไม่ต้องการนำเข้าน้ำมันปาล์ม ตามที่ ครม. อนุมัติไปแล้ว
2.3 ปุ๋ย : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลดราคาปุ๋ย
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดหาปุ๋ยเคมี จำนวน 700,000 ตัน เพื่อจำหน่ายให้เกษตรกรในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดเป็นราคาเดียวกันทั่วประเทศ โดยกำหนดราคาจำหน่ายปุ๋ยสูตร 16-20-0 ราคาตันละ 7,372 บาท ปุ๋ยสูตร 16-16-8 ราคาตันละ 7,716 บาท และปุ๋ยสูตร 15-15-15 ราคาตันละ 8,145 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2540 เป็นต้นมา แต่ด้วยภาวะวิกฤตเศรษฐกิจปัจจุบันทำให้ราคาปัจจัยการผลิตต่าง ๆ มีราคาสูงขึ้นกว่าปกติส่งผลให้ต้นทุนการผลิตข้าวสูง แต่เกษตรกรขายข้าวได้ในราคาค่อนข้างต่ำ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนโดยทั่วไป
เพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยคณะกรรมการจัดหาปุ๋ยเคมีเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร จึงได้มีมติเห็นชอบให้ลดราคาปุ๋ยเคมีสูตร 16-20-0 และ 16-16-8 ลงอีกร้อยละ 2 ของราคาตลาด คือ ให้จำหน่วยปุ๋ยสูตร 16-20-0 ราคาตันละ 6,420 บาท และปุ๋ยสูตร 16-16-8 ราคาตันละ 7,180 บาท สำหรับปุ๋ยสูตร 15-15-15 ให้ยืนราคาจำหน่ายไว้ที่ ตันละ 8,145 บาท เท่าเดิม เนื่องจากราคายังต่ำกว่าท้องตลาดมาก
นอกจากนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระเงินค่าปุ๋ยให้เอื้อประโยชน์แก่เกษตรกรมากขึ้นด้วย ดังนี้
1. หากชำระคืนเงินค่าปุ๋ยภายใน 6 เดือน ถือเป็นการชำระเงินสด
2. หากชำระคืนเงินค่าปุ๋ยเกิน 6 เดือนแต่ไม่เกิน 9 เดือนให้คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6 ต่อปี ในส่วนที่เกิน 6 เดือน
3. หากชำระคืนเงินค่าปุ๋ยเกิน 9 เดือน แต่ไม่เกิน 12 เดือนให้คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 9 ต่อปีในส่วนที่เกิน 9 เดือน
4. หากชำระคืนเงินค่าปุ๋ยเกิน 12 เดือน ให้คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 12.5 ต่อปี ในส่วนที่เกิน 12 เดือน
แผนการลดราคาจำหน่ายปุ๋ยดังกล่าวข้างต้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้นำเรียนเลขานุการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไปแล้ว ซึ่งถ้าคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบราคาปุ๋ยตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ คงจะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรในเรื่องปุ๋ยราคาแพงได้ระดับหนึ่ง
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 8 - 14 มี.ค. 2542--
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 ข้าว : เกษตรกรปลูกข้าวนาปรังสูงเกินเป้าหมายมากอาจเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำในการปลูกข้าวนาปรังครั้งที่สอง
จากปัญหาสภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำในการปลูกข้าวนาปรังใน 23 จังหวัด และเป็นพื้นที่ปลูกร้อยละ 80 ของพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังทั้ง 2 ประเทศ เกิดภาวะน้ำขาดแคลนในปี 2542 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้กำหนดเป้าหมายถื้นที่ปลูกข้าวนาปรังตามศักยภาพน้ำไว้ 3,810 ล้านไร่ โดยมีแผนทดแทนอาชีพให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ลดการปลูกข้าวนาปรัง จากการพยากรณ์สถานการณ์การผลิตข้าวนาปรังประจำเดือนมีนาคม 2542 โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ปรากฏว่าในปี 2542 จะมีพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังทั้งประเทศประมาณ 5.783 ล้านไร่ สูงกว่าเป้าหมาย 1.973 ล้านไร่ หรือร้อยละ 52 เนื่องจากสถานการณ์ราคายังจูงใจ และรายได้ยังคุ้มกับการลงทุนถึงแม้ว่าราคาจะลดลงจากปีที่ผ่านมาก็ตาม กล่าวคือราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้า-นาปรังความชื้น 14-15% เฉลี่ย 2 สัปดาห์แรก เดือนมีนาคมตันละ 5,775 บาท เทียบกับราคาในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งมีราคาตันละ 6,650 บาท ราคาลดลงร้อยละ 13 และเมื่อเปรียบเทียบพื้นที่ปลูกในปีที่แล้วลดลง 1.448 ล้านไร่ หรือลดลงร้อยละ 20 ส่วนผลผลิตในปีนี้คาดว่าจะได้ 3.648 ล้านตันข้าวเปลือก ลดลงจากปีที่แล้วประมาณ 1.144 ล้านตันข้าวเปลือก หรือลดลงร้อยละ 23.9 สาเหตุจากปัญหาน้ำขาดแคลนดังกล่าวข้าวต้น
อย่างไรก็ตามเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำซึ่งอาจทวีความรุนแรงขึ้น ถ้าเกษตรกรไม่หยุดการปลูกข้าวนาปรัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงประกาศขอความร่วมมืองดการปลูก ข้าวนาปรัง ครั้งที่ 2 ในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา เนื่องจากมีหลายพื้นที่ในบริเวณดังกล่าวมีการเก็บเกี่ยวข้าวนาปรังแล้ว และเกษตรกรเริ่มทำนาปรังครั้งที่ 2 ทันที ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการจัดสรรน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ พื้นที่ดังกล่าว ได้แก่ จังหวัดนครปฐม (ฝั่งตะวันออกแม่น้ำท่าจีน) นนทบุรี ปทุมธานี อยุธยา อ่างทอง สุพรรณบุรี และกรุงเทพฯ โดยได้มีการงดส่งน้ำจากเขื่อนทั้งสองตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมเป็นต้น
2.2 ปาล์มน้ำมัน : มติคณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติมาตรการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มดิบมีราคาสูง ตามที่คณะกรรมการนโยบายถั่วเหลืองและพืชน้ำมันอื่นเสนอ เมื่อวันอังคารที่ 2 มีนาคม 2542 ดังนี้
1. ให้เปิดตลาดนำเข้าน้ำมันปาล์มภายใต้ WTO ปี 2542 จำนวน 6,000 ตันน้ำมันปาล์มดิบ
2. อัตราภาษีนำเข้าในโควตาร้อยละ 20
3. การบริหารการนำเข้า โดย
3.1 ให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้าและจัดสรรให้สมาชิกสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม
3.2 ให้นำเข้าให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 มีนาคม 2542
3.3 กระทรวงพาณิชย์กำกับดูแลผลปาล์มสดที่เกษตรกรขายได้ให้มีราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 4.00 บาท และน้ำมันปาล์มดิบไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 26.00 บาท ในช่วงเวลานำเข้า
4. กำหนดให้น้ำมันปาล์มดิบ เป็นสินค้าที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษในการส่งออกเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่ปัจจุบัน —31 ธันวาคม 2542 ในอัตราร้อยละ 10 ของราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี.
อย่างไรก็ตาม คาดว่า อาจไม่มีการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบตามที่ ครม.อนุมัติ เนื่องจากทางสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มต้องการให้มีการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบประเภทน้ำมันปาล์มโอเลอีนดิบ (Crude Olein) เพราะหากนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบประเภท Crude Palm Oil จะทำให้ต้นทุนการนำเข้าสูงเพราะมาเลเซียเรียกเก็บภาษีส่งออกในอัตราที่สูงกว่า Crude Olein อีกทั้งการนำเข้า Crude Palm Oil จะทำให้ต้นทุนการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นถ้าตกลงกันไม่ได้ถึงประเภทน้ำมันปาล์มดิบที่นำเข้า ทางสมาคมโรงกลั่นฯ คงไม่ต้องการนำเข้าน้ำมันปาล์ม ตามที่ ครม. อนุมัติไปแล้ว
2.3 ปุ๋ย : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลดราคาปุ๋ย
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดหาปุ๋ยเคมี จำนวน 700,000 ตัน เพื่อจำหน่ายให้เกษตรกรในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดเป็นราคาเดียวกันทั่วประเทศ โดยกำหนดราคาจำหน่ายปุ๋ยสูตร 16-20-0 ราคาตันละ 7,372 บาท ปุ๋ยสูตร 16-16-8 ราคาตันละ 7,716 บาท และปุ๋ยสูตร 15-15-15 ราคาตันละ 8,145 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2540 เป็นต้นมา แต่ด้วยภาวะวิกฤตเศรษฐกิจปัจจุบันทำให้ราคาปัจจัยการผลิตต่าง ๆ มีราคาสูงขึ้นกว่าปกติส่งผลให้ต้นทุนการผลิตข้าวสูง แต่เกษตรกรขายข้าวได้ในราคาค่อนข้างต่ำ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนโดยทั่วไป
เพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยคณะกรรมการจัดหาปุ๋ยเคมีเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร จึงได้มีมติเห็นชอบให้ลดราคาปุ๋ยเคมีสูตร 16-20-0 และ 16-16-8 ลงอีกร้อยละ 2 ของราคาตลาด คือ ให้จำหน่วยปุ๋ยสูตร 16-20-0 ราคาตันละ 6,420 บาท และปุ๋ยสูตร 16-16-8 ราคาตันละ 7,180 บาท สำหรับปุ๋ยสูตร 15-15-15 ให้ยืนราคาจำหน่ายไว้ที่ ตันละ 8,145 บาท เท่าเดิม เนื่องจากราคายังต่ำกว่าท้องตลาดมาก
นอกจากนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระเงินค่าปุ๋ยให้เอื้อประโยชน์แก่เกษตรกรมากขึ้นด้วย ดังนี้
1. หากชำระคืนเงินค่าปุ๋ยภายใน 6 เดือน ถือเป็นการชำระเงินสด
2. หากชำระคืนเงินค่าปุ๋ยเกิน 6 เดือนแต่ไม่เกิน 9 เดือนให้คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6 ต่อปี ในส่วนที่เกิน 6 เดือน
3. หากชำระคืนเงินค่าปุ๋ยเกิน 9 เดือน แต่ไม่เกิน 12 เดือนให้คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 9 ต่อปีในส่วนที่เกิน 9 เดือน
4. หากชำระคืนเงินค่าปุ๋ยเกิน 12 เดือน ให้คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 12.5 ต่อปี ในส่วนที่เกิน 12 เดือน
แผนการลดราคาจำหน่ายปุ๋ยดังกล่าวข้างต้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้นำเรียนเลขานุการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไปแล้ว ซึ่งถ้าคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบราคาปุ๋ยตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ คงจะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรในเรื่องปุ๋ยราคาแพงได้ระดับหนึ่ง
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 8 - 14 มี.ค. 2542--