1 ประเด็นเศรษฐกิจต่างประเทศ (27 พฤษภาคม - 27 มิถุนายน 2548)
ในช่วงที่ผ่านมา ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องซึ่งจะส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศ G-3 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวต่อไป แม้ว่าจะชะลอตัวลงบ้างในระยะสั้น กอปรกับปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเป็นความเสี่ยงในระยะยาวอยู่ ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปยังมีความเปราะบาง จากอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงซบเซาจากภาวะการว่างงานที่อยู่ในระดับสูง สำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่นแม้ว่าการฟื้นตัวยังเปราะบาง แต่มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นจากปีก่อน สะท้อนได้จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆที่ทยอยปรับตัวดีขึ้น
สหรัฐอเมริกา
เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องแม้ว่าการขยายตัวจะชะลอลงบ้าง แต่จากรายงาน Beige Book สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน แสดงให้เห็นถึงทิศทางการปรับตัวที่ดีขึ้นของภาคการผลิต อสังหาริมทรัพย์ และการท่องเที่ยวทั้งนี้ ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมล่าสุดในเดือนพฤษภาคมปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 (mom) หรือ 2.7 (yoy)เป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภค และเครื่องมือเครื่องจักรในภาคธุรกิจ(business equipment)
สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยตัวเลขยอดการก่อสร้างบ้านใหม่ในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.0 ล้านหน่วย จากการที่อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อบ้านยังอยู่ในระดับต่ำอย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของผู้บริโภคยังแสดงทิศทางที่ไม่ชัดเจน โดยยอดขายในบางภูมิภาคชะลอตัวลง ส่งผลให้ยอดค้าปลีกในเดือนพฤษภาคมปรับลดลงร้อยละ 5.0(mom) โดยเป็นผลจากการลดลงของยอดซื้อรถยนต์และยอดซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้า แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 6.4 สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่จัดทำโดย University of Michigan ในเดือนมิถุนายนปรับตัวสูงขึ้นเป็นครั้งแรกมาอยู่ที่ระดับ 94.8 หลังจากที่ปรับลดลงมาต่อเนื่องตั้งแต่เดือนธันวาคม 2547 เป็นผลจากภาวะการจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้น
แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้น แต่สหรัฐฯยังคงเผชิญกับปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 สหรัฐฯ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 195.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (หรือคิดเป็นร้อยละ 6.4ของ GDP) ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ โดยเป็นผลจากการขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น (การขาดดุลการค้าคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 88 ของการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด)และการที่เงินโอนสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ
กลุ่มประเทศยูโร
เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรยังคงมีแนวโน้มชะลอลง โดยอัตราการว่างงานทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 8.9 ในเดือนเมษายน โดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศสมีอัตราการว่างงานสูงถึงร้อยละ 10.2 ส่งผลให้การฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศเปราะบาง สะท้อนได้จากยอดค้าปลีกในเดือนเมษายนที่หดตัวร้อยละ 0.9 (yoy)
สำหรับด้านอุปทาน ดัชนี Purchasing Managers' Index (PMI) ภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคมลดลงต่ำกว่าระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 มาอยู่ที่ระดับ 48.7 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี สะท้อนถึงการหดตัวของภาคการผลิต ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ดัชนี PMI ภาคบริการยังขยายตัวได้ โดยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 53.5 เป็นผลมาจากภาคธุรกิจมีการลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขาย
สำหรับแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในเดือนพฤษภาคม อัตราเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศยูโรชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.9 (yoy) ต่ำกว่าเป้าที่ร้อยละ 2 และต่ำกว่าเดือนก่อนที่ร้อยละ 2.1 (yoy) แต่ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อ พื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 (yoy) เทียบกับร้อยละ 1.4 (yoy) ในเดือนก่อน
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้คาดว่าจะชะลอลงจากประมาณการเดิม ทั้งนี้ ในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา EU Commission ได้ปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2548 ลงจากร้อยละ 1.2-2.0 เป็นร้อยละ1.1-1.7 และในปี 2549 ปรับลดลงจากร้อยละ 1.6-2.6 เป็นร้อยละ 1.5-2.5 และได้ปรับเพิ่มประมาณการอัตราเงินเฟ้อในปี 2548 ขึ้นจากร้อยละ 1.6-2.2 เป็นร้อยละ 1.8-2.2 และในปี 2549 ปรับลดลงจากร้อยละ 1.0-2.2 เป็นร้อยละ 0.9-2.1
ด้านนโยบายการเงิน จากการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย(Refinancing rate) ไว้ที่ร้อยละ 2.0 ต่อปีเช่นเดิม เนื่องจากECB เห็นว่าแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อยังคงสอดคล้องกับเป้าหมายเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางอยู่ และแรงกดดันต่อเงินเฟ้อยังสามารถควบคุมได้ ส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจชะลอลงบ้างจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นการปรับขึ้นของ indirect taxes และราคาสินค้าควบคุมทั้งนี้ ECB ยังคงยืนยันท่าทีที่จะเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป(vigilant) เนื่องจากมี upside risks ต่อแรงกดดันเงินเฟ้อและการเร่งตัวของสินเชื่อและปริมาณเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางอีกด้วย
ญี่ปุ่น
ทางการญี่ปุ่นประกาศปรับลดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2548 ลงจากร้อยละ1.3 (qoq, annualized ร้อยละ 5.3) เป็นร้อยละ 1.2 (qoq,annualized ร้อยละ 4.9) หรือร้อยละ 1.3 (yoy) เป็นผลมาจากการปรับตัวเลขการส่งออกที่ชะลอลงจากเดิมและการชะลอตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้การผลิตในภาคอุตสาหกรรมในเดือนเมษายนปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 (mom) ต่ำกว่าที่ประกาศครั้งก่อนที่ร้อยละ 2.2 (mom) โดยเป็นการขยายตัวของการผลิตในภาคยานยนต์และเหล็กเป็นสำคัญ และจากการปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของการสะสมสินค้าคงคลังในภาคที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตมีแนวโน้มชะลอลง สะท้อนได้จากยอดการสั่งซื้อเครื่องจักร (core machinery orders) ลดลงร้อยละ 1.0 (mom)ตามการส่งออกที่ชะลอลง ทำให้ผู้ผลิตชะลอการลงทุนลง
การส่งออกล่าสุดในเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 1.4 (yoy) ชะลอลงมากจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 7.8 ขณะที่การนำเข้าขยายตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 18.6 (yoy) เทียบกับร้อยละ 12.8 ในเดือนก่อน ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุลลดลงร้อยละ 68.3 (yoy) เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและทำให้มูลค่าการนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic Indicators) ในเดือนเมษายนปรับลดลงต่ำกว่าระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน มาอยู่ที่ระดับ 31.8 จากระดับ 41.7 ในเดือนก่อน สะท้อนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ยังคงมีทิศทางชะลอตัว
แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศในช่วงที่ผ่านมาให้ภาพค่อนข้าง mixed แต่จากการประเมินภาวะเศรษฐกิจของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เมื่อเดือนพฤษภาคมได้ให้ความเห็นว่า ในปี 2548 เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 1.5 (yoy) เทียบกับประมาณการเดิมเมื่อเดือนเมษายน 2548 ที่ร้อยละ 0.8 (yoy)
เอเชีย
ภาพรวมของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ยังคงอยู่ในช่วงของการปรับตัวหลังจากชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาสแรก โดยการชะลอตัวลงของอุปสงค์ของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราการเจริญเติบโตของประเทศต่างๆ ในเอเชียปรับตัวลดลง โดยเฉพาะอุปสงค์ของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสะท้อนจากตัวเลขการส่งออกของประเทศต่างๆ ที่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า และประเทศต่างๆ อาจจะต้องกลับมาพึ่งพาการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งมีแนวโน้มดีขึ้น เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไปนอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่องเป็นเวลานานก็เริ่มส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เริ่มมีการเร่งตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางต่างๆ เริ่มมีท่าทีที่จะชะลอการใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด เนื่องจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อดูแลปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มเร่งตัวขึ้น จะมีผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ นอกจากนี้ การหดตัวลงของการส่งออกของประเทศต่างๆ อาจจะช่วยชะลออัตราเงินเฟ้อในระยะ2-3 เดือนข้างหน้า ดังนั้นการดำเนินนโยบายทางการเงินต่างๆ ในช่วงนี้จึงเป็นไปด้วยความระมัดระวัง แม้จะมีแรงกดดันจากที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่ยังมีแนวโน้มจะถูกปรับเพิ่มขึ้นอีก และจากการแข็งค่าขึ้นของเงินสกุลดอลลาร์ สรอ.
การส่งออกเดือนพฤษภาคมของประเทศต่างๆในเอเชียยังคงอยู่ในช่วงของการปรับตัว โดยเฉพาะประเทศที่ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก โดยการส่งออกของมาเลเซียในเดือนพฤษภาคมปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 9.4 (yoy) และการส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมัน(Non-oil domestic exports) ของสิงคโปร์ปรับตัวลดลงร้อยละ 5.6 (yoy) ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี สำหรับการส่งออกของไต้หวันชะลอลงจากเดือนก่อนจากที่ขยายตัวร้อยละ 11.2 เป็นร้อยละ 4 ส่วนตัวเลขการส่งออกและนำเข้าของจีนยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคโดยตัวเลขการส่งออกชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 30.3
อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมของประเทศในภูมิภาคเอเชียยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง และมีการปรับเพิ่มขึ้นในบางประเทศ เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ทำให้เริ่มมีผลกระทบต่อสินค้าที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหารและค่าขนส่ง โดยมาเลเซียซึ่งได้ยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมันเมื่อเดือนเมษายนมีการเร่งตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อมาอยู่ที่ร้อยละ 3.1 ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 6 ปี มากกว่าที่รัฐบาลกลางของมาเลเซียคาดไว้ที่ร้อยละ 2.5 อัตราเงินเฟ้อของไต้หวันเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.3 ในเดือนพฤษภาคม แต่มีการคาดการณ์ว่าจะเป็นเพียงระยะสั้น จากการส่งออกที่ลดลงและการบริโภคภายในประเทศอยู่ในระดับต่ำ ส่วนอัตราเงินเฟ้อในประเทศอื่นๆ ยังคงทรงตัวจากเดือนก่อน โดยอัตราเงินเฟ้อของจีนยังคงอยู่ที่ร้อยละ 1.8เท่ากับเดือนก่อนหน้า ส่วนฟิลิปปินส์และเกาหลีใต้อยู่ที่ร้อยละ 8.5 และ 3.1 ตามลำดับ
นโยบายการเงินและการคลัง แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในรอบเดือนที่ผ่านมา แต่ธนาคารกลางส่วนใหญ่ยังคงชะลอท่าทีในการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด
โดยส่วนใหญ่คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม เพื่อรอดูแนวโน้มและตัวเลขบ่งชี้ทิศทางเศรษฐกิจต่างๆ ในไตรมาสที่ 2 รวมทั้ง ยังคงมีปัจจัยความเสี่ยงของราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงและการบริโภคภายในประเทศซึ่งอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางเกาหลีใต้ (Overnight lending rate) ยังคงไว้ที่ร้อยละ 3.25ส่วนธนาคารกลางฟิลิปปินส์ก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Overnight borrowing rate) และ lending rate ไว้ที่ร้อยละ 7.0 และ 9.25 ตามลำดับ ส่วนอัตราการขยายตัวของปริมาณเงิน M2 ของจีนในเดือนพฤษภาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 14.6
ตัวเลขการค้าปลีกและการผลิตภาคเอกชนของประเทศต่างๆ มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้า
ทำให้มีการคาดการณ์ถึงการเพิ่มขึ้นของการบริโภคภาคเอกชน และการเร่งตัวของเงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีหลังโดยตัวเลขการค้าปลีกของจีนในเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 12.8 (yoy) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 12.2 (yoy) การค้าปลีกของฮ่องกงในเดือนเมษายนขยายตัวสูงขึ้นเป็นร้อยละ 8.5 (yoy) และตัวเลขค้าปลีกไม่รวมยานพาหนะของสิงคโปร์ในเดือนเมษายนขยายตัวร้อยละ 10.2 (yoy) ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบปี ส่วนการขยายตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 16.6 ในเดือนพฤษภาคม สูงขึ้นจากร้อยละ 16.0 ในเดือนเมษายนและ 15.1 ในเดือนมีนาคมและการผลิตภาคอุตสาหกรรมของมาเลเซียในเดือนเมษายนเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 6.8 จากร้อยละ 5.2 ในเดือนก่อนหน้า ส่วนตัวเลขการว่างงานในประเทศต่างๆ ในเดือนพฤษภาคม ยังคงทรงตัวจากเดือนก่อน โดยอัตราการว่างงานของไต้หวันอยู่ที่ร้อยละ 4.2 ฮ่องกงที่ร้อยละ 3.4 ต่ำกว่าที่คาดไว้เล็กน้อยและเกาหลีใต้ที่ร้อยละ 3.5
รัฐบาลอินเดียประกาศตัวเลขการขาดดุลงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2547 ที่ประมาณร้อยละ 4.1ของ GDP ซึ่งต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้และต่ำที่สุดในรอบ8 ปี เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่ำกว่าที่คาด
ส่วนความคืบหน้าระหว่างข้อขัดแย้งของการส่งออกสิ่งทอจากจีนไปยังสหภาพยุโรป ได้มีการตกลงระหว่างจีนและสหภาพยุโรปที่จะจำกัดอัตราการขยายตัวของสินค้าสิ่งทอ 10 ชนิดที่ส่งออกจากจีนไปยังสหภาพยุโรปไว้ที่ร้อยละ 8.0 ถึง 12.5 ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2548จนถึงสิ้นปี 2550 ซึ่งอัตราดังกล่าวสูงกว่าการกล่าวอ้างของสหภาพยุโรปในช่วงก่อนหน้าที่จะจำกัดโควต้าสิ่งทอไว้ที่ร้อยละ 7.5
ประเด็นเรื่องความขัดแย้งภายในประเทศซึ่งมีผลต่อความมั่นคงภายในของประเทศฟิลิปปินส์เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการนำเอาเทปซึ่งอ้างว่าเป็นเสียงของ ประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่ของหน่วยเลือกตั้งแห่งหนึ่งออกมาเผยแพร่ และมีการกล่าวหาประธานาธิบดีของ ฟิลิปปินส์ว่ามีการบิดเบือนผลการเลือกตั้งของปี 2004 ทำให้มีการประท้วงและมีผลทำให้ค่าเงินฟิลิปปินส์เปโซอ่อนตัวลงมากในช่วงกลางเดือน อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะคลี่คลายลงในไม่ช้าเนื่องจากความขัดแย้งกันเองของเทปที่เผยแพร่ออกมา และการกล่าวอ้างว่าเทปดังกล่าวเป็นเพียงความพยายามที่จะก่อความวุ่นวายภายในประเทศจากผู้ไม่ประสงค์ดีเท่านั้น
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ในช่วงที่ผ่านมา ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องซึ่งจะส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศ G-3 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวต่อไป แม้ว่าจะชะลอตัวลงบ้างในระยะสั้น กอปรกับปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเป็นความเสี่ยงในระยะยาวอยู่ ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปยังมีความเปราะบาง จากอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงซบเซาจากภาวะการว่างงานที่อยู่ในระดับสูง สำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่นแม้ว่าการฟื้นตัวยังเปราะบาง แต่มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นจากปีก่อน สะท้อนได้จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆที่ทยอยปรับตัวดีขึ้น
สหรัฐอเมริกา
เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องแม้ว่าการขยายตัวจะชะลอลงบ้าง แต่จากรายงาน Beige Book สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน แสดงให้เห็นถึงทิศทางการปรับตัวที่ดีขึ้นของภาคการผลิต อสังหาริมทรัพย์ และการท่องเที่ยวทั้งนี้ ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมล่าสุดในเดือนพฤษภาคมปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 (mom) หรือ 2.7 (yoy)เป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภค และเครื่องมือเครื่องจักรในภาคธุรกิจ(business equipment)
สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยตัวเลขยอดการก่อสร้างบ้านใหม่ในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.0 ล้านหน่วย จากการที่อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อบ้านยังอยู่ในระดับต่ำอย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของผู้บริโภคยังแสดงทิศทางที่ไม่ชัดเจน โดยยอดขายในบางภูมิภาคชะลอตัวลง ส่งผลให้ยอดค้าปลีกในเดือนพฤษภาคมปรับลดลงร้อยละ 5.0(mom) โดยเป็นผลจากการลดลงของยอดซื้อรถยนต์และยอดซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้า แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 6.4 สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่จัดทำโดย University of Michigan ในเดือนมิถุนายนปรับตัวสูงขึ้นเป็นครั้งแรกมาอยู่ที่ระดับ 94.8 หลังจากที่ปรับลดลงมาต่อเนื่องตั้งแต่เดือนธันวาคม 2547 เป็นผลจากภาวะการจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้น
แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้น แต่สหรัฐฯยังคงเผชิญกับปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 สหรัฐฯ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 195.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (หรือคิดเป็นร้อยละ 6.4ของ GDP) ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ โดยเป็นผลจากการขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น (การขาดดุลการค้าคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 88 ของการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด)และการที่เงินโอนสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ
กลุ่มประเทศยูโร
เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรยังคงมีแนวโน้มชะลอลง โดยอัตราการว่างงานทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 8.9 ในเดือนเมษายน โดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศสมีอัตราการว่างงานสูงถึงร้อยละ 10.2 ส่งผลให้การฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศเปราะบาง สะท้อนได้จากยอดค้าปลีกในเดือนเมษายนที่หดตัวร้อยละ 0.9 (yoy)
สำหรับด้านอุปทาน ดัชนี Purchasing Managers' Index (PMI) ภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคมลดลงต่ำกว่าระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 มาอยู่ที่ระดับ 48.7 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี สะท้อนถึงการหดตัวของภาคการผลิต ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ดัชนี PMI ภาคบริการยังขยายตัวได้ โดยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 53.5 เป็นผลมาจากภาคธุรกิจมีการลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขาย
สำหรับแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในเดือนพฤษภาคม อัตราเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศยูโรชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.9 (yoy) ต่ำกว่าเป้าที่ร้อยละ 2 และต่ำกว่าเดือนก่อนที่ร้อยละ 2.1 (yoy) แต่ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อ พื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 (yoy) เทียบกับร้อยละ 1.4 (yoy) ในเดือนก่อน
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้คาดว่าจะชะลอลงจากประมาณการเดิม ทั้งนี้ ในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา EU Commission ได้ปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2548 ลงจากร้อยละ 1.2-2.0 เป็นร้อยละ1.1-1.7 และในปี 2549 ปรับลดลงจากร้อยละ 1.6-2.6 เป็นร้อยละ 1.5-2.5 และได้ปรับเพิ่มประมาณการอัตราเงินเฟ้อในปี 2548 ขึ้นจากร้อยละ 1.6-2.2 เป็นร้อยละ 1.8-2.2 และในปี 2549 ปรับลดลงจากร้อยละ 1.0-2.2 เป็นร้อยละ 0.9-2.1
ด้านนโยบายการเงิน จากการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย(Refinancing rate) ไว้ที่ร้อยละ 2.0 ต่อปีเช่นเดิม เนื่องจากECB เห็นว่าแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อยังคงสอดคล้องกับเป้าหมายเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางอยู่ และแรงกดดันต่อเงินเฟ้อยังสามารถควบคุมได้ ส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจชะลอลงบ้างจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นการปรับขึ้นของ indirect taxes และราคาสินค้าควบคุมทั้งนี้ ECB ยังคงยืนยันท่าทีที่จะเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป(vigilant) เนื่องจากมี upside risks ต่อแรงกดดันเงินเฟ้อและการเร่งตัวของสินเชื่อและปริมาณเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางอีกด้วย
ญี่ปุ่น
ทางการญี่ปุ่นประกาศปรับลดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2548 ลงจากร้อยละ1.3 (qoq, annualized ร้อยละ 5.3) เป็นร้อยละ 1.2 (qoq,annualized ร้อยละ 4.9) หรือร้อยละ 1.3 (yoy) เป็นผลมาจากการปรับตัวเลขการส่งออกที่ชะลอลงจากเดิมและการชะลอตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้การผลิตในภาคอุตสาหกรรมในเดือนเมษายนปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 (mom) ต่ำกว่าที่ประกาศครั้งก่อนที่ร้อยละ 2.2 (mom) โดยเป็นการขยายตัวของการผลิตในภาคยานยนต์และเหล็กเป็นสำคัญ และจากการปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของการสะสมสินค้าคงคลังในภาคที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตมีแนวโน้มชะลอลง สะท้อนได้จากยอดการสั่งซื้อเครื่องจักร (core machinery orders) ลดลงร้อยละ 1.0 (mom)ตามการส่งออกที่ชะลอลง ทำให้ผู้ผลิตชะลอการลงทุนลง
การส่งออกล่าสุดในเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 1.4 (yoy) ชะลอลงมากจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 7.8 ขณะที่การนำเข้าขยายตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 18.6 (yoy) เทียบกับร้อยละ 12.8 ในเดือนก่อน ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุลลดลงร้อยละ 68.3 (yoy) เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและทำให้มูลค่าการนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic Indicators) ในเดือนเมษายนปรับลดลงต่ำกว่าระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน มาอยู่ที่ระดับ 31.8 จากระดับ 41.7 ในเดือนก่อน สะท้อนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ยังคงมีทิศทางชะลอตัว
แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศในช่วงที่ผ่านมาให้ภาพค่อนข้าง mixed แต่จากการประเมินภาวะเศรษฐกิจของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เมื่อเดือนพฤษภาคมได้ให้ความเห็นว่า ในปี 2548 เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 1.5 (yoy) เทียบกับประมาณการเดิมเมื่อเดือนเมษายน 2548 ที่ร้อยละ 0.8 (yoy)
เอเชีย
ภาพรวมของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ยังคงอยู่ในช่วงของการปรับตัวหลังจากชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาสแรก โดยการชะลอตัวลงของอุปสงค์ของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราการเจริญเติบโตของประเทศต่างๆ ในเอเชียปรับตัวลดลง โดยเฉพาะอุปสงค์ของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสะท้อนจากตัวเลขการส่งออกของประเทศต่างๆ ที่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า และประเทศต่างๆ อาจจะต้องกลับมาพึ่งพาการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งมีแนวโน้มดีขึ้น เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไปนอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่องเป็นเวลานานก็เริ่มส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เริ่มมีการเร่งตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางต่างๆ เริ่มมีท่าทีที่จะชะลอการใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด เนื่องจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อดูแลปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มเร่งตัวขึ้น จะมีผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ นอกจากนี้ การหดตัวลงของการส่งออกของประเทศต่างๆ อาจจะช่วยชะลออัตราเงินเฟ้อในระยะ2-3 เดือนข้างหน้า ดังนั้นการดำเนินนโยบายทางการเงินต่างๆ ในช่วงนี้จึงเป็นไปด้วยความระมัดระวัง แม้จะมีแรงกดดันจากที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่ยังมีแนวโน้มจะถูกปรับเพิ่มขึ้นอีก และจากการแข็งค่าขึ้นของเงินสกุลดอลลาร์ สรอ.
การส่งออกเดือนพฤษภาคมของประเทศต่างๆในเอเชียยังคงอยู่ในช่วงของการปรับตัว โดยเฉพาะประเทศที่ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก โดยการส่งออกของมาเลเซียในเดือนพฤษภาคมปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 9.4 (yoy) และการส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมัน(Non-oil domestic exports) ของสิงคโปร์ปรับตัวลดลงร้อยละ 5.6 (yoy) ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี สำหรับการส่งออกของไต้หวันชะลอลงจากเดือนก่อนจากที่ขยายตัวร้อยละ 11.2 เป็นร้อยละ 4 ส่วนตัวเลขการส่งออกและนำเข้าของจีนยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคโดยตัวเลขการส่งออกชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 30.3
อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมของประเทศในภูมิภาคเอเชียยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง และมีการปรับเพิ่มขึ้นในบางประเทศ เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ทำให้เริ่มมีผลกระทบต่อสินค้าที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหารและค่าขนส่ง โดยมาเลเซียซึ่งได้ยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมันเมื่อเดือนเมษายนมีการเร่งตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อมาอยู่ที่ร้อยละ 3.1 ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 6 ปี มากกว่าที่รัฐบาลกลางของมาเลเซียคาดไว้ที่ร้อยละ 2.5 อัตราเงินเฟ้อของไต้หวันเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.3 ในเดือนพฤษภาคม แต่มีการคาดการณ์ว่าจะเป็นเพียงระยะสั้น จากการส่งออกที่ลดลงและการบริโภคภายในประเทศอยู่ในระดับต่ำ ส่วนอัตราเงินเฟ้อในประเทศอื่นๆ ยังคงทรงตัวจากเดือนก่อน โดยอัตราเงินเฟ้อของจีนยังคงอยู่ที่ร้อยละ 1.8เท่ากับเดือนก่อนหน้า ส่วนฟิลิปปินส์และเกาหลีใต้อยู่ที่ร้อยละ 8.5 และ 3.1 ตามลำดับ
นโยบายการเงินและการคลัง แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในรอบเดือนที่ผ่านมา แต่ธนาคารกลางส่วนใหญ่ยังคงชะลอท่าทีในการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด
โดยส่วนใหญ่คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม เพื่อรอดูแนวโน้มและตัวเลขบ่งชี้ทิศทางเศรษฐกิจต่างๆ ในไตรมาสที่ 2 รวมทั้ง ยังคงมีปัจจัยความเสี่ยงของราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงและการบริโภคภายในประเทศซึ่งอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางเกาหลีใต้ (Overnight lending rate) ยังคงไว้ที่ร้อยละ 3.25ส่วนธนาคารกลางฟิลิปปินส์ก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Overnight borrowing rate) และ lending rate ไว้ที่ร้อยละ 7.0 และ 9.25 ตามลำดับ ส่วนอัตราการขยายตัวของปริมาณเงิน M2 ของจีนในเดือนพฤษภาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 14.6
ตัวเลขการค้าปลีกและการผลิตภาคเอกชนของประเทศต่างๆ มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้า
ทำให้มีการคาดการณ์ถึงการเพิ่มขึ้นของการบริโภคภาคเอกชน และการเร่งตัวของเงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีหลังโดยตัวเลขการค้าปลีกของจีนในเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 12.8 (yoy) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 12.2 (yoy) การค้าปลีกของฮ่องกงในเดือนเมษายนขยายตัวสูงขึ้นเป็นร้อยละ 8.5 (yoy) และตัวเลขค้าปลีกไม่รวมยานพาหนะของสิงคโปร์ในเดือนเมษายนขยายตัวร้อยละ 10.2 (yoy) ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบปี ส่วนการขยายตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 16.6 ในเดือนพฤษภาคม สูงขึ้นจากร้อยละ 16.0 ในเดือนเมษายนและ 15.1 ในเดือนมีนาคมและการผลิตภาคอุตสาหกรรมของมาเลเซียในเดือนเมษายนเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 6.8 จากร้อยละ 5.2 ในเดือนก่อนหน้า ส่วนตัวเลขการว่างงานในประเทศต่างๆ ในเดือนพฤษภาคม ยังคงทรงตัวจากเดือนก่อน โดยอัตราการว่างงานของไต้หวันอยู่ที่ร้อยละ 4.2 ฮ่องกงที่ร้อยละ 3.4 ต่ำกว่าที่คาดไว้เล็กน้อยและเกาหลีใต้ที่ร้อยละ 3.5
รัฐบาลอินเดียประกาศตัวเลขการขาดดุลงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2547 ที่ประมาณร้อยละ 4.1ของ GDP ซึ่งต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้และต่ำที่สุดในรอบ8 ปี เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่ำกว่าที่คาด
ส่วนความคืบหน้าระหว่างข้อขัดแย้งของการส่งออกสิ่งทอจากจีนไปยังสหภาพยุโรป ได้มีการตกลงระหว่างจีนและสหภาพยุโรปที่จะจำกัดอัตราการขยายตัวของสินค้าสิ่งทอ 10 ชนิดที่ส่งออกจากจีนไปยังสหภาพยุโรปไว้ที่ร้อยละ 8.0 ถึง 12.5 ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2548จนถึงสิ้นปี 2550 ซึ่งอัตราดังกล่าวสูงกว่าการกล่าวอ้างของสหภาพยุโรปในช่วงก่อนหน้าที่จะจำกัดโควต้าสิ่งทอไว้ที่ร้อยละ 7.5
ประเด็นเรื่องความขัดแย้งภายในประเทศซึ่งมีผลต่อความมั่นคงภายในของประเทศฟิลิปปินส์เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการนำเอาเทปซึ่งอ้างว่าเป็นเสียงของ ประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่ของหน่วยเลือกตั้งแห่งหนึ่งออกมาเผยแพร่ และมีการกล่าวหาประธานาธิบดีของ ฟิลิปปินส์ว่ามีการบิดเบือนผลการเลือกตั้งของปี 2004 ทำให้มีการประท้วงและมีผลทำให้ค่าเงินฟิลิปปินส์เปโซอ่อนตัวลงมากในช่วงกลางเดือน อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะคลี่คลายลงในไม่ช้าเนื่องจากความขัดแย้งกันเองของเทปที่เผยแพร่ออกมา และการกล่าวอ้างว่าเทปดังกล่าวเป็นเพียงความพยายามที่จะก่อความวุ่นวายภายในประเทศจากผู้ไม่ประสงค์ดีเท่านั้น
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--