1. วันนี้คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบกับมาตรการภาษีตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง
ซึ่งเป็นมาตรการที่มุ่งเพิ่มรายได้ให้กับภาครัฐบาลตามเงื่อนไข IMF ตามจดหมายแสดงเจตจำนง ฉบับที่ 3
2. มาตรการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง มี 7 มาตรการ ซึ่ง
คาดว่าจะได้รายได้เพิ่มให้กับรัฐบาลใน 7 เดือนที่เหลือของปีงบประมาณ 2541 ดังนี้
2.1 เพิ่มภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันเบนซินลิตรละ
1 บาท ได้รายได้ 4,541 ล้านบาท
2.2 เพิ่มภาษีสรรพสามิตเบียร์ 3% จากอัตรา
50% เป็น 53% ได้รายได้ 1,079 ล้านบาท
2.3 เพิ่มภาษีสรรพสามิตจากไวน์ 5% โดยเพิ่มจาก
อัตรา 50% เป็น 55% ได้รายได้ 17.59 ล้านบาท
2.4 เพิ่มภาษีศุลกากรที่เก็บจากบุหรี่นำเข้าจาก
ต่างประเทศ ได้รายได้ 780 ล้านบาท
2.5 การเพิ่มภาษีศุลกากรจากสินค้า 8 รายการ
ได้รายได้ 482 ล้านบาท
2.6 การมอบให้กรมที่ดินเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการ
ขายอสังหาริมทรัพย์แทนกรมสรรพากร
ได้รายได้ 770 ล้านบาท
2.7 การปรับเพิ่มอัตราภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์
ได้รายได้ 1,450 ล้านบาท
รวมรายได้เพิ่มขึ้น 9,119.59 ล้านบาท
3. มาตรการที่ 2.1-2.5 ซึ่งเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตและภาษีศุลกากร มีผลใช้บังคับ ณ
เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2541 (วันพรุ่งนี้) ส่วนมาตรการเกี่ยวกับภาษีธุรกิจ
เฉพาะ ซึ่งกรมสรรพากรมอบอำนาจให้กรมที่ดินจัดเก็บให้ และมาตรการเกี่ยวกับภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์
จะมีผลใช้บังคับเมื่อรัฐสภาได้ผ่านกฎหมายแล้ว
4. การที่กระทรวงการคลังต้องเสนอมาตรการเพิ่มภาษีนั้น มีเหตุผลและความจำเป็น ดังนี้
คือ
โดยที่ IMF ได้ผ่อนปรนให้ประเทศไทยไม่ต้องดำรงฐานะดุลการคลังภาครัฐบาลเกินดุล
1% ของ GDP ดังเดิม แต่ยอมให้ขาดดุลได้ 2% ของ GDP ในจำนวนนี้เป็นการขาดดุลของรัฐบาล 1.5%
และเป็นการขาดดุลของรัฐวิสาหกิจ 0.5% ในการขาดดุลของรัฐบาล 1.5% นั้น งบประมาณขาดดุลได้ 1%
และเงินนอกงบประมาณ ซึ่งได้แก่ เงินกู้ตามโครงการปกติและโครงการตาม IMF program ซึ่งเป็น
การกู้จากธนาคารโลกและ ADB ขาดดุลได้อีก 0.5%
เพื่อให้รัฐบาลขาดดุลได้ไม่เกิน 1.5% ของ GDP IMF ได้กำหนดให้ต้องเก็บภาษี เพิ่ม
อีกประมาณ 10,000 ล้านบาท สำหรับ 7 เดือนที่เหลือของปีงบประมาณ 2541 ทั้งนี้เพื่อ
4.1 เพื่อปรับโครงสร้างภาษีให้ก่อเกิดรายได้เพื่อจุนเจือรายได้บ้าง และเป็น
การสร้างฐานสำหรับการจัดเก็บภาษีให้ได้มากขึ้นในเวลาที่เศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติต่อไป
4.2 เพื่อช่วยให้ไม่ต้องไปตัดรายจ่ายในรายการที่เป็นสวัสดิการสังคมซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นใน
ภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
5. หลักการ ในการกำหนดมาตรการภาษีเพื่อให้ได้รายได้เพิ่มเติมอีกจำนวน 10,000
ล้านบาท นั้น กระทรวงการคลังได้ยึดถือหลักการ 4 ประการ ดังนี้
5.1 มาตรการที่เสนอจะต้องไม่กระทบต่อประชาชนทั่วไปมากเกินไปนัก โดยเฉพาะจะ
ต้องกระทบผู้มีรายได้น้อยน้อยที่สุด
5.2 มาตรการที่เสนอจะต้องไม่ก่อเกิดความเสียหายให้กับเศรษฐกิจซึ่งบอบช้ำอยู่มาก
แล้ว โดยเฉพาะจะต้องไม่ทำให้ราคาสินค้าทั่วไปเพิ่มสูงขึ้นเกินควร อันจะทำให้เกิดเงินเฟ้อมากจนเกินไป
5.3 มาตรการที่เสนอจะต้องไม่ทำให้ต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตไทยสูงขึ้น จนทำให้ประ
เทศไทยมีฐานะเชิงแข่งขันที่ด้อยลง
5.4 มาตรการที่เสนอจะต้องไม่สวนทางกับแนวนโยบายเศรษฐกิจและแนวนโยบายภาษี
อากรระยะยาวของประเทศไทย เช่น
5.4.1 ไม่ขัดกับแนวนโยบายการเปิดเสรีทางการค้าตามความเหมาะสมของ
เศรษฐกิจไทยและตามที่ได้ผูกพันไว้กับ WTO
5.4.2 ไม่กระทบการออมตามแนวนโยบายในการส่งเสริมการออมภายในประเทศ
5.4.3 ไม่เพิ่มการบิดเบือนทางเศรษฐกิจ (Economic Distortion) อันขัดกับ
หลักความเป็นกลางของภาษีอากร
5.4.4 เอื้อต่อการกระจายรายได้อันเป็นแนวนโยบายระยะยาวของการภาษีอากร
และการเศรษฐกิจ
6. รัฐบาลพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะหลีกเลี่ยงการเพิ่มภาษี เพราะเห็นว่าการเพิ่มภาษีจะเป็น
ภาระต่อประชาชน จึงได้ทำการเจรจากับ IMF ให้ผ่อนปรนเงื่อนไขการกู้เงินจากเดิมซึ่งกำหนดให้รัฐ
บาลต้องดำรงการเกินดุลการคลังของรัฐบาลไว้ที่ 1% ของ GDP ในที่สุด IMF ได้ยอมผ่อนปรนให้ประ
เทศไทยไม่ต้องรักษาดุลการคลังเกินดุลไว้ที่ 1% แต่ยอมให้ขาดดุลได้ 1.5% ของ GDP นอกจากนั้น รัฐ
บาลยังได้ทำการกวดขันในเรื่องการใช้จ่าย โดยกระทรวงการคลังได้ขอให้ส่วนราชการต่าง ๆ ใช้
จ่ายอย่างประหยัด ความจำเป็นต้องเพิ่มภาษีจึงลดน้อยลง จากที่รายได้ตกต่ำจากที่ประมาณการไว้เดิมถึง
97,000 ล้านบาท แต่รัฐบาลได้เพิ่มภาษีเพียง 9,100 กว่าล้านบาทเท่านั้น การเพิ่มภาษีจำนวนน้อยนี้เป็น
การสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของไทยในภาวะปัจจุบัน และสอดคล้องกับเงื่อนไขของ IMF
7. มาตรการเพิ่มภาษีศุลกากรที่เก็บจากการนำเข้าสินค้า 8 รายการ ซึ่งไม่จำเป็นต่อ
การครองชีพ หรือมีสิ่งอื่นทดแทนได้ ประกอบด้วยรายการต่าง ๆ ดังนี้
รายการสินค้า ประเภท อัตราที่เรียกเก็บปัจจุบัน อัตราที่ปรับเพิ่ม
พิกัด
อัตราตาม อัตราตาม อัตราตาม อัตราตาม
ราคา (%) สภาพ ราคา (%) สภาพ
1. ผ้าขนสัตว์ 51.11-51.12 10 - 40 -
2. น้ำหอม 33.03 30 - 40 -
3. เครื่องสำอาง 33.04 30 - 40 -
4. กระเป๋าและ
เข็มขัดหนัง 42.02, 42.03 30 - 40 -
5. รองเท้าทำด้วยหนัง 64.03-64.04 30 - 40 -
และผ้าใบ 64.05 30 9 บาท/คู่ 40 12 บาท/คู่
6. เครื่องแก้วเลด
คริสตัลที่ใช้บน
โต๊ะอาหาร 70.13 30 1.35 บาท/ชิ้น 35 1.0 บาท/ชิ้น
7. เครื่องประดับคริสตัล 71.17 30 - 60 -
8. สูท เสื้อ กางเกง 62.03-62.04 30 - 60 -
กระโปรงและเนคไท 62.05 30 12 บาท/ตัว 60 24 บาท/ตัว
รวมเครื่องชั้นใน 62.06 30 - 60 -
62.07 30 6 บาท/ตัว 60 12 บาท/ตัว
62.08 30 6 บาท/ตัว 60 12 บาท/ตัว
62.09-62.12 30 - 60 -
62.13 30 2.4 บาท/ผืน 60 4.8 บาท/ผืน
62.14-62.15 30 - 60 -
8. มาตรการมอบอำนาจให้กรมที่ดินเก็บภาษีเพื่อกรมสรรพากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีธุรกิจ
เฉพาะที่เก็บจากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร เฉพาะที่ต้องจดทะเบียนสิทธิและนิติ
กรรม นั้น ได้กำหนดให้เก็บภาษีเมื่อมีการจดทะเบียนการโอน
ปัจจุบันกรมสรรพากรเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากผู้ขายอสังหาริมทรัพย์ในทางการค้าหรือ
หากำไรในอัตราร้อยละ 3.3 (รวมภาษีท้องถิ่น) ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ขาย โดยผู้เสียภาษีต้องนำ
ภาษีไปเสียเองที่สำนักงานสรรพากรภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการโอน ซึ่งในทางปฏิบัติผู้
ขายมักไม่ได้ไปเสียภาษี และเมื่อกรมสรรพากรไปตรวจพบ ผู้เสียภาษีก็จะต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มซึ่ง
เป็นภาระต่อประชาชนผู้เสียภาษี
การมอบอำนาจให้กรมที่ดินจัดเก็บแทนโดยเก็บในวันที่มีการจดทะเบียนการโอนจะเป็น
การอำนวยความสะดวกให้กับผู้เสียภาษีและจะทำให้เก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยขึ้น และผู้เสียภาษีก็จะ
ไม่ถูกปรับและไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม
9. มาตรการปรับเพิ่มอัตราภาษีรถยนต์ (ภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์ซึ่งเสียเป็นรายปี)
ภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์ปัจจุบันจัดเก็บอยู่ในอัตราต่ำ อัตรานี้ใช้มานานเกือบ 20 ปีแล้ว
เมื่อปี 2534 อันเป็นปีที่มีการลดภาษีที่เก็บจากการขายรถยนต์ ทั้งที่เป็นอากรขาเข้าและภาษีการค้า
ลงอย่างมาก คณะรัฐมนตรีในขณะนั้นได้มีมติให้ลดภาษีที่เก็บจากการขายรถยนต์ และให้เพิ่มภาษีป้ายทะ
เบียนรถยนต์ (ซึ่งเก็บเป็นรายปี) แทน แต่ในที่สุดรัฐบาลก็ทำไม่สำเร็จในเรื่อง การเพิ่มภาษีป้ายทะ
เบียนรถยนต์ รัฐบาลต่อ ๆ มาได้รับหลักการเรื่องการเพิ่มภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์มาทำต่อ จนล่าสุดพระ
ราชบัญญัติรถยนต์และ พระราชบัญญัติขนส่งที่มุ่งปรับเพิ่มอัตราภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์ได้ผ่านความเห็นชอบ
ในรัฐบาลก่อน และขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจแก้ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกา หากเร่งผ่านและ
เสนอไปสภาโดยเร็วก็จะทำให้มาตรการซึ่งเห็นชอบกันมาหลายปี หลายรัฐบาลแล้ว ได้รับการทำให้เสร็จ
ในรัฐบาลชุดนี้
มาตรการนี้มีผลดีคือ จะเป็นการช่วยลดปัญหาจราจร เพิ่มรายได้ให้ท้องถิ่น (ภาษีนี้เมื่อจัด
เก็บแล้วเงินภาษีตกเป็นของท้องถิ่น) และเป็นการปรับอัตราภาษีให้สอดคล้องกับค่าของเงินซึ่งเปลี่ยน
แปลงไปตลอดเวลาเกือบ 20 ปีมานี้ และเป็นการปรับภาษีให้เกิดความยุติธรรมในสังคม
10. มาตรการเพิ่มภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากน้ำมันเบนซินลิตรละ 1 บาท โดยเพิ่มจากอัตรา
ลิตรละ 2.585 บาท หรือ 25% เป็นลิตรละ 3.585 บาท หรือ 31% มีเหตุผลดังนี้ คือ
1. การเพิ่มภาษีน้ำมันเบนซินจะทำให้ประชาชนมีการปรับตัวและใช้น้ำมันเบนซินด้วย
ความประหยัดในอนาคต อันเป็นการสงวนรักษาพลังงาน และหากปริมาณการใช้ลดลงบ้างก็จะเป็นการประ
หยัดเงินตราต่างประเทศ
2. น้ำมันเบนซินเป็นน้ำมันที่ใช้ในการขับเคลื่อนรถเกือบทั้งหมด ไม่ได้ใช้ในการอุต
สาหกรรม การเพิ่มภาษีน้ำมันเบนซิน โดยไม่เพิ่มภาษีน้ำมันดีเซล จึงไม่กระทบโดยตรงต่อภาคการผลิตทั้ง
ภาคอุตสาหกรรม การเกษตร และการบริการ
3. จากการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ การเพิ่มภาษีน้ำ
มันเบนซินลิตรละ 1 บาท จะมีผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจน้อยมาก คือทำให้เศรษฐกิจชลอตัว
ลงเพียง 0.01% และแทบไม่มีผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อเลย
4. การเพิ่มภาษีน้ำมันเบนซินในอัตราลิตรละ 1 บาท โดยไม่เพิ่มภาษีน้ำมันดีเซลนี้ จะ
ไม่กระทบต่อสัดส่วนของผลผลิตน้ำมันดีเซลกับเบนซินของโรงกลั่น เพราะจะไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนไปใช้
น้ำมันดีเซลแทนน้ำมันเบนซิน เพราะการเปลี่ยนดังกล่าวมีต้นทุนสูงกว่า ประโยชน์ที่ได้รับจากส่วนแตกต่าง
ของภาษี ณ ระดับนี้
5. การเพิ่มภาษีน้ำมันเบนซินลิตรละ 1 บาทนี้ จะไม่เป็นการเพิ่มการลักลอบน้ำมันหนี
ภาษีด้วย เพราะการลักลอบไม่มีในกรณีของน้ำมันเบนซิน มีเฉพาะกรณีน้ำมันดีเซล
6. อย่างไรก็ตามการเพิ่มภาษีดังกล่าว ทำให้ผู้ใช้น้ำมันเบนซินต้องจ่ายค่าน้ำมันสูงขึ้น
ลิตรละ 1.21 บาท (รวมภาษีท้องถิ่นและ VAT)
--ข่าวกระทรวงการคลัง กองกลาง สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 17/24 กุมภาพันธ์ 2541--
ซึ่งเป็นมาตรการที่มุ่งเพิ่มรายได้ให้กับภาครัฐบาลตามเงื่อนไข IMF ตามจดหมายแสดงเจตจำนง ฉบับที่ 3
2. มาตรการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง มี 7 มาตรการ ซึ่ง
คาดว่าจะได้รายได้เพิ่มให้กับรัฐบาลใน 7 เดือนที่เหลือของปีงบประมาณ 2541 ดังนี้
2.1 เพิ่มภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันเบนซินลิตรละ
1 บาท ได้รายได้ 4,541 ล้านบาท
2.2 เพิ่มภาษีสรรพสามิตเบียร์ 3% จากอัตรา
50% เป็น 53% ได้รายได้ 1,079 ล้านบาท
2.3 เพิ่มภาษีสรรพสามิตจากไวน์ 5% โดยเพิ่มจาก
อัตรา 50% เป็น 55% ได้รายได้ 17.59 ล้านบาท
2.4 เพิ่มภาษีศุลกากรที่เก็บจากบุหรี่นำเข้าจาก
ต่างประเทศ ได้รายได้ 780 ล้านบาท
2.5 การเพิ่มภาษีศุลกากรจากสินค้า 8 รายการ
ได้รายได้ 482 ล้านบาท
2.6 การมอบให้กรมที่ดินเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการ
ขายอสังหาริมทรัพย์แทนกรมสรรพากร
ได้รายได้ 770 ล้านบาท
2.7 การปรับเพิ่มอัตราภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์
ได้รายได้ 1,450 ล้านบาท
รวมรายได้เพิ่มขึ้น 9,119.59 ล้านบาท
3. มาตรการที่ 2.1-2.5 ซึ่งเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตและภาษีศุลกากร มีผลใช้บังคับ ณ
เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2541 (วันพรุ่งนี้) ส่วนมาตรการเกี่ยวกับภาษีธุรกิจ
เฉพาะ ซึ่งกรมสรรพากรมอบอำนาจให้กรมที่ดินจัดเก็บให้ และมาตรการเกี่ยวกับภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์
จะมีผลใช้บังคับเมื่อรัฐสภาได้ผ่านกฎหมายแล้ว
4. การที่กระทรวงการคลังต้องเสนอมาตรการเพิ่มภาษีนั้น มีเหตุผลและความจำเป็น ดังนี้
คือ
โดยที่ IMF ได้ผ่อนปรนให้ประเทศไทยไม่ต้องดำรงฐานะดุลการคลังภาครัฐบาลเกินดุล
1% ของ GDP ดังเดิม แต่ยอมให้ขาดดุลได้ 2% ของ GDP ในจำนวนนี้เป็นการขาดดุลของรัฐบาล 1.5%
และเป็นการขาดดุลของรัฐวิสาหกิจ 0.5% ในการขาดดุลของรัฐบาล 1.5% นั้น งบประมาณขาดดุลได้ 1%
และเงินนอกงบประมาณ ซึ่งได้แก่ เงินกู้ตามโครงการปกติและโครงการตาม IMF program ซึ่งเป็น
การกู้จากธนาคารโลกและ ADB ขาดดุลได้อีก 0.5%
เพื่อให้รัฐบาลขาดดุลได้ไม่เกิน 1.5% ของ GDP IMF ได้กำหนดให้ต้องเก็บภาษี เพิ่ม
อีกประมาณ 10,000 ล้านบาท สำหรับ 7 เดือนที่เหลือของปีงบประมาณ 2541 ทั้งนี้เพื่อ
4.1 เพื่อปรับโครงสร้างภาษีให้ก่อเกิดรายได้เพื่อจุนเจือรายได้บ้าง และเป็น
การสร้างฐานสำหรับการจัดเก็บภาษีให้ได้มากขึ้นในเวลาที่เศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติต่อไป
4.2 เพื่อช่วยให้ไม่ต้องไปตัดรายจ่ายในรายการที่เป็นสวัสดิการสังคมซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นใน
ภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
5. หลักการ ในการกำหนดมาตรการภาษีเพื่อให้ได้รายได้เพิ่มเติมอีกจำนวน 10,000
ล้านบาท นั้น กระทรวงการคลังได้ยึดถือหลักการ 4 ประการ ดังนี้
5.1 มาตรการที่เสนอจะต้องไม่กระทบต่อประชาชนทั่วไปมากเกินไปนัก โดยเฉพาะจะ
ต้องกระทบผู้มีรายได้น้อยน้อยที่สุด
5.2 มาตรการที่เสนอจะต้องไม่ก่อเกิดความเสียหายให้กับเศรษฐกิจซึ่งบอบช้ำอยู่มาก
แล้ว โดยเฉพาะจะต้องไม่ทำให้ราคาสินค้าทั่วไปเพิ่มสูงขึ้นเกินควร อันจะทำให้เกิดเงินเฟ้อมากจนเกินไป
5.3 มาตรการที่เสนอจะต้องไม่ทำให้ต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตไทยสูงขึ้น จนทำให้ประ
เทศไทยมีฐานะเชิงแข่งขันที่ด้อยลง
5.4 มาตรการที่เสนอจะต้องไม่สวนทางกับแนวนโยบายเศรษฐกิจและแนวนโยบายภาษี
อากรระยะยาวของประเทศไทย เช่น
5.4.1 ไม่ขัดกับแนวนโยบายการเปิดเสรีทางการค้าตามความเหมาะสมของ
เศรษฐกิจไทยและตามที่ได้ผูกพันไว้กับ WTO
5.4.2 ไม่กระทบการออมตามแนวนโยบายในการส่งเสริมการออมภายในประเทศ
5.4.3 ไม่เพิ่มการบิดเบือนทางเศรษฐกิจ (Economic Distortion) อันขัดกับ
หลักความเป็นกลางของภาษีอากร
5.4.4 เอื้อต่อการกระจายรายได้อันเป็นแนวนโยบายระยะยาวของการภาษีอากร
และการเศรษฐกิจ
6. รัฐบาลพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะหลีกเลี่ยงการเพิ่มภาษี เพราะเห็นว่าการเพิ่มภาษีจะเป็น
ภาระต่อประชาชน จึงได้ทำการเจรจากับ IMF ให้ผ่อนปรนเงื่อนไขการกู้เงินจากเดิมซึ่งกำหนดให้รัฐ
บาลต้องดำรงการเกินดุลการคลังของรัฐบาลไว้ที่ 1% ของ GDP ในที่สุด IMF ได้ยอมผ่อนปรนให้ประ
เทศไทยไม่ต้องรักษาดุลการคลังเกินดุลไว้ที่ 1% แต่ยอมให้ขาดดุลได้ 1.5% ของ GDP นอกจากนั้น รัฐ
บาลยังได้ทำการกวดขันในเรื่องการใช้จ่าย โดยกระทรวงการคลังได้ขอให้ส่วนราชการต่าง ๆ ใช้
จ่ายอย่างประหยัด ความจำเป็นต้องเพิ่มภาษีจึงลดน้อยลง จากที่รายได้ตกต่ำจากที่ประมาณการไว้เดิมถึง
97,000 ล้านบาท แต่รัฐบาลได้เพิ่มภาษีเพียง 9,100 กว่าล้านบาทเท่านั้น การเพิ่มภาษีจำนวนน้อยนี้เป็น
การสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของไทยในภาวะปัจจุบัน และสอดคล้องกับเงื่อนไขของ IMF
7. มาตรการเพิ่มภาษีศุลกากรที่เก็บจากการนำเข้าสินค้า 8 รายการ ซึ่งไม่จำเป็นต่อ
การครองชีพ หรือมีสิ่งอื่นทดแทนได้ ประกอบด้วยรายการต่าง ๆ ดังนี้
รายการสินค้า ประเภท อัตราที่เรียกเก็บปัจจุบัน อัตราที่ปรับเพิ่ม
พิกัด
อัตราตาม อัตราตาม อัตราตาม อัตราตาม
ราคา (%) สภาพ ราคา (%) สภาพ
1. ผ้าขนสัตว์ 51.11-51.12 10 - 40 -
2. น้ำหอม 33.03 30 - 40 -
3. เครื่องสำอาง 33.04 30 - 40 -
4. กระเป๋าและ
เข็มขัดหนัง 42.02, 42.03 30 - 40 -
5. รองเท้าทำด้วยหนัง 64.03-64.04 30 - 40 -
และผ้าใบ 64.05 30 9 บาท/คู่ 40 12 บาท/คู่
6. เครื่องแก้วเลด
คริสตัลที่ใช้บน
โต๊ะอาหาร 70.13 30 1.35 บาท/ชิ้น 35 1.0 บาท/ชิ้น
7. เครื่องประดับคริสตัล 71.17 30 - 60 -
8. สูท เสื้อ กางเกง 62.03-62.04 30 - 60 -
กระโปรงและเนคไท 62.05 30 12 บาท/ตัว 60 24 บาท/ตัว
รวมเครื่องชั้นใน 62.06 30 - 60 -
62.07 30 6 บาท/ตัว 60 12 บาท/ตัว
62.08 30 6 บาท/ตัว 60 12 บาท/ตัว
62.09-62.12 30 - 60 -
62.13 30 2.4 บาท/ผืน 60 4.8 บาท/ผืน
62.14-62.15 30 - 60 -
8. มาตรการมอบอำนาจให้กรมที่ดินเก็บภาษีเพื่อกรมสรรพากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีธุรกิจ
เฉพาะที่เก็บจากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร เฉพาะที่ต้องจดทะเบียนสิทธิและนิติ
กรรม นั้น ได้กำหนดให้เก็บภาษีเมื่อมีการจดทะเบียนการโอน
ปัจจุบันกรมสรรพากรเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากผู้ขายอสังหาริมทรัพย์ในทางการค้าหรือ
หากำไรในอัตราร้อยละ 3.3 (รวมภาษีท้องถิ่น) ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ขาย โดยผู้เสียภาษีต้องนำ
ภาษีไปเสียเองที่สำนักงานสรรพากรภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการโอน ซึ่งในทางปฏิบัติผู้
ขายมักไม่ได้ไปเสียภาษี และเมื่อกรมสรรพากรไปตรวจพบ ผู้เสียภาษีก็จะต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มซึ่ง
เป็นภาระต่อประชาชนผู้เสียภาษี
การมอบอำนาจให้กรมที่ดินจัดเก็บแทนโดยเก็บในวันที่มีการจดทะเบียนการโอนจะเป็น
การอำนวยความสะดวกให้กับผู้เสียภาษีและจะทำให้เก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยขึ้น และผู้เสียภาษีก็จะ
ไม่ถูกปรับและไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม
9. มาตรการปรับเพิ่มอัตราภาษีรถยนต์ (ภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์ซึ่งเสียเป็นรายปี)
ภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์ปัจจุบันจัดเก็บอยู่ในอัตราต่ำ อัตรานี้ใช้มานานเกือบ 20 ปีแล้ว
เมื่อปี 2534 อันเป็นปีที่มีการลดภาษีที่เก็บจากการขายรถยนต์ ทั้งที่เป็นอากรขาเข้าและภาษีการค้า
ลงอย่างมาก คณะรัฐมนตรีในขณะนั้นได้มีมติให้ลดภาษีที่เก็บจากการขายรถยนต์ และให้เพิ่มภาษีป้ายทะ
เบียนรถยนต์ (ซึ่งเก็บเป็นรายปี) แทน แต่ในที่สุดรัฐบาลก็ทำไม่สำเร็จในเรื่อง การเพิ่มภาษีป้ายทะ
เบียนรถยนต์ รัฐบาลต่อ ๆ มาได้รับหลักการเรื่องการเพิ่มภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์มาทำต่อ จนล่าสุดพระ
ราชบัญญัติรถยนต์และ พระราชบัญญัติขนส่งที่มุ่งปรับเพิ่มอัตราภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์ได้ผ่านความเห็นชอบ
ในรัฐบาลก่อน และขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจแก้ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกา หากเร่งผ่านและ
เสนอไปสภาโดยเร็วก็จะทำให้มาตรการซึ่งเห็นชอบกันมาหลายปี หลายรัฐบาลแล้ว ได้รับการทำให้เสร็จ
ในรัฐบาลชุดนี้
มาตรการนี้มีผลดีคือ จะเป็นการช่วยลดปัญหาจราจร เพิ่มรายได้ให้ท้องถิ่น (ภาษีนี้เมื่อจัด
เก็บแล้วเงินภาษีตกเป็นของท้องถิ่น) และเป็นการปรับอัตราภาษีให้สอดคล้องกับค่าของเงินซึ่งเปลี่ยน
แปลงไปตลอดเวลาเกือบ 20 ปีมานี้ และเป็นการปรับภาษีให้เกิดความยุติธรรมในสังคม
10. มาตรการเพิ่มภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากน้ำมันเบนซินลิตรละ 1 บาท โดยเพิ่มจากอัตรา
ลิตรละ 2.585 บาท หรือ 25% เป็นลิตรละ 3.585 บาท หรือ 31% มีเหตุผลดังนี้ คือ
1. การเพิ่มภาษีน้ำมันเบนซินจะทำให้ประชาชนมีการปรับตัวและใช้น้ำมันเบนซินด้วย
ความประหยัดในอนาคต อันเป็นการสงวนรักษาพลังงาน และหากปริมาณการใช้ลดลงบ้างก็จะเป็นการประ
หยัดเงินตราต่างประเทศ
2. น้ำมันเบนซินเป็นน้ำมันที่ใช้ในการขับเคลื่อนรถเกือบทั้งหมด ไม่ได้ใช้ในการอุต
สาหกรรม การเพิ่มภาษีน้ำมันเบนซิน โดยไม่เพิ่มภาษีน้ำมันดีเซล จึงไม่กระทบโดยตรงต่อภาคการผลิตทั้ง
ภาคอุตสาหกรรม การเกษตร และการบริการ
3. จากการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ การเพิ่มภาษีน้ำ
มันเบนซินลิตรละ 1 บาท จะมีผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจน้อยมาก คือทำให้เศรษฐกิจชลอตัว
ลงเพียง 0.01% และแทบไม่มีผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อเลย
4. การเพิ่มภาษีน้ำมันเบนซินในอัตราลิตรละ 1 บาท โดยไม่เพิ่มภาษีน้ำมันดีเซลนี้ จะ
ไม่กระทบต่อสัดส่วนของผลผลิตน้ำมันดีเซลกับเบนซินของโรงกลั่น เพราะจะไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนไปใช้
น้ำมันดีเซลแทนน้ำมันเบนซิน เพราะการเปลี่ยนดังกล่าวมีต้นทุนสูงกว่า ประโยชน์ที่ได้รับจากส่วนแตกต่าง
ของภาษี ณ ระดับนี้
5. การเพิ่มภาษีน้ำมันเบนซินลิตรละ 1 บาทนี้ จะไม่เป็นการเพิ่มการลักลอบน้ำมันหนี
ภาษีด้วย เพราะการลักลอบไม่มีในกรณีของน้ำมันเบนซิน มีเฉพาะกรณีน้ำมันดีเซล
6. อย่างไรก็ตามการเพิ่มภาษีดังกล่าว ทำให้ผู้ใช้น้ำมันเบนซินต้องจ่ายค่าน้ำมันสูงขึ้น
ลิตรละ 1.21 บาท (รวมภาษีท้องถิ่นและ VAT)
--ข่าวกระทรวงการคลัง กองกลาง สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 17/24 กุมภาพันธ์ 2541--