แท็ก
สุกร
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--25 พ.ย.--บิสนิวส์
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
โคเนื้อ-เนื้อโค : เนื้อโคที่ลักลอบนำเข้าไทยติดเชื้อซัลโมเนลล่า
จากการที่มีการลักลอบนำเข้าปศุสัตว์ประเภทโค-กระบือ-สุกร จากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งมีชีวิตและซากอยู่เสมอ ซึ่ง
นอกจากจะกระทบต่อเกษตรกรในด้านราคาทำให้ราคาในประเทศลดลง แล้วยังนำโรคบางชนิดมาแพร่ระบาดอีกด้วย ข่าวจากเจ้าหน้าที่
ด่านกักกันสัตว์ปาร์ดังเบซาร์ จังหวัดนราธิวาส แจ้งว่า เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2542 ได้จับผู้ลักลอบนำเข้าเนื้อโค-กระบือชำแหละจาก
ประเทศอินเดีย จำนวน 12 ตัน จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเนื้อดังกล่าวมีเชื้อแบคทีเรียชื่อ ซัลโมเนลล่า ถ้านำไปบริโภคจะทำให้
เกิดอาการท้องร่วงฉับพลันและอาจเสียชีวิตได้ เจ้าหน้าที่ได้รีบทำลายทิ้งเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ซึ่งถ้าทำการตรวจอย่างละเอียดอาจ
พบเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคอื่น ๆ เช่น ปากและเท้าเปื่อย แอนแทรกซ์ และอื่นๆ อีกก็ได้
เชื้อแบคทีเรียชนิดซัลโมเนลล่านี้ จะมีอยู่ในตัวโคโดยธรรมชาติ ถ้าในขณะทำการฆ่าชำแหละไม่ถูกสุขอนามัยจะทำให้
เชื้อโรคปนเปื้อนกับเนื้อ หรือโคที่เสียชีวิตด้วย โรคนี้จะมีเชื้อโรคติดตามเนื้อเนื่องจากเชื้อโรคแพร่ระบาดตามกระแสเลือดได้
การนำเข้าเนื้อโคชำแหละจากประเทศอินเดียมีน้อย จากสถิติของกรมศุลกากรไทยเคยนำเข้าชิ้นเนื้ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่เนื้อติด
กระดูกและไม่ติดกระดูกในปี 2539 จำนวน 615 กิโลกรัม มูลค่า 141,450 บาท หรือเฉลี่ยกิโลกรัมละ 230 บาท
จากข้อเท็จจริงที่ผ่านมาแม้ว่ากรมปศุสัตว์จะเข้มงวดในการลักลอบนำเข้าสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านเพียงใด ก็ไม่สามารถ
ปราบปรามได้ การแก้ปัญหาให้ได้ผลต้องขอความร่วมมือจากตำรวจตระเวนชายแดน กระทรวงมหาดไทยด้วย ปัจจุบันทางกรมปศุสัตว์ได้สั่ง
การให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเฝ้าระวังเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะคาดว่าจะมีการลักลอบนำเข้าเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากราคาเนื้อสัตว์ภายใน
ประเทศสูงกว่า
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 ข้าว : การนำเข้าข้าวตาม WTO ปี 2543
ปี ปริมาณ การนำเข้าจริง (ตัน) รวม
โควตา ในโควตา นอกโควตา
2538 237,863 67.3 - 67.3
2539 239,185 107.4 19.10 126.5
2540 240,506 177.4 106.80 284.2
2541 241,828 147.7 210.60 358.3
2542 (มค.-ต.ค) 243,149 907.5 - 907.5
2543 244,471
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2542 คณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข.) ได้เห็นชอบให้มีการเปิดตลาดนำเข้าข้าวตามพันธกรณี
องค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2543 ที่ผูกพันไว้จำนวน 244,471 ตัน โดยไม่กำหนดช่วงเวลานำเข้าเหมือนในปีที่ผ่านมา เนื่องจากไทย
เป็นผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ของโลก และในแต่ละปีที่ผ่านมาข้าวที่นำเข้าเป็นข้าวเมล็ดสั้น (Japonica) และข้าว Medium Grain จากสหรัฐฯ
ซึ่งผลิตในประเทศได้น้อย การนำเข้าจึงเพื่อสนองความต้องการบริโภคของคนบางกลุ่มเท่านั้น ประกอบกับภาษีนำเข้าข้าวในโควตาอัตรา
ร้อยละ 30 ทำให้ราคาข้าวที่นำเข้ารวมภาษีแล้วมีราคาสูงกว่าราคาข้าวภายในประเทศ จึงไม่จูงใจให้มีการนำเข้า
2.2 กล้วยไม้ : สหภาพยุโรป ผ่อนผันปัญหาเพลี้ยไฟไปอีก 1 ปี
การส่งออกดอกกล้วยไม้ไปยังสหภาพยุโรปในระยะ 9 เดือนแรกของปี 2542 มีปริมาณ 1,779 ตัน มูลค่า 135.5 ล้านบาท
ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2541 ซึ่งส่งออกได้ 1,870 ตัน มูลค่า 144.7 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.87 และ 6.36 ตามลำดับ ทั้งนี้เนื่อง
จากสหภาพยุโรปตัดสิทธิ GSP ดอกกล้วยไม้จากไทย ทำให้ผู้นำเข้าสหภาพยุโรปต้องเสียภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7.1-7.6 ประกอบกับ
ค่าเงินบาทของไทยแข็งตัวขึ้นจากปีก่อน ปัญหาสำคัญที่เป็นอุปสรรคหรือทำลายการส่งออกกล้วยไม้ของไทย คือ ปัญหาโรคและแมลงศัตรู
พืช โดยเฉพาะเพลี้ยไฟที่ติดไปกับดอกกล้วยไม้ ทำให้ประเทศคู่ค้าในกลุ่มสหภาพยุโรปเผาทำลายดอกกล้วยไม้ไปจำนวนมาก ขณะ
เดียวกันส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเช่น กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร ได้เร่งดำเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น กำหนดเขตกล้วยไม้
ปลอดเพลี้ยไฟ เพื่อให้ปัญหาเพลี้ยไฟลดลง พร้อมทั้งได้เสนอการควบคุมเพลี้ยไฟในกล้วยไม้ด้วยวิธีการจุ่มสารเคมี (Dipping) ซึ่งเป็นวิธีใหม่
่ให้สหภาพยุโรปพิจารณาและได้ขอผ่อนผันระยะเวลาการประเมินต่อสหภาพยุโรปไปอีก 1 ปีเป็นเดือนกันยายน 2543 (เดิมสิ้นสุดเดือน
กันยายน 2542) ซึ่งคณะกรรมการด้านสุขอนามัยพืชสหภาพยุโรปได้ผ่อนผันระยะเวลาการประเมินผลมาตรการเพลี้ยไฟไปอีก 1 ปี
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้จากรายงานของกรมวิชาการเกษตรในช่วงมกราคม-กันยายน 2542 มีจำนวนดอกกล้วยไม้ที่
ส่งออกไปตลาดสหภาพยุโรปและถูกตรวจพบเพลี้ยไฟจำนวน 36 เที่ยวลดลงจากช่วงเดียวกับของปี 2541 ซึ่งตรวจพบเพลี้ยไฟจำนวน 53
เที่ยว ปรากฏว่าลดลงคิดเป็นร้อยละ 32.08
ข้อคิดเห็น
1. กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร ผู้ส่งออก และเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้ จะต้องให้ความร่วมมือในการใช้มาตรการจัด
ทำเขตผลิตกล้วยไม้ปลอดเพลี้ยไฟ ทั้งนี้อาจจะจัดทำเป็นโครงการนำร่องในพื้นที่เฉพาะเพื่อการส่งออกดอกกล้วยไม้ไปสหภาพยุโรป
2. สนับสนุนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเขตปลอดเพลี้ยไฟ เพื่อเป็นแรงจูงใจ โดยให้ความช่วยเหลือในด้านการลดต้นทุนการผลิตทั้ง
ในรูปปัจจัยการผลิต ลดค่ากระแสไฟฟ้า และสินเชื่อเพื่อการผลิตในอัตราดอกเบี้ยต่ำ
2.3 สุกร : ราคาสุกรเริ่มปรับตัวสูงขึ้น
รายการ พค. มิย. กค. สค. กย. ตค. พย.*
ราคาที่เกษตรกรขายได้ (บาท/กก.) 48.16 48.01 46.31 42.86 37.67 32.23 34.42
ต้นทุนการผลิต (บาท/กก.) 38.31 38.27 38.80 39.30 39.30 38.80 36.20
ราคาลูกสุกร (บาท/ตัว) 1,500 1,450 1,200 950 650 620 850
หมายเหตุ : * ราคาเฉลี่ย 3 สัปดาห์
ราคาสุกรได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2542 และลดลงมากในเดือนตุลาคม โดยราคา
ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศลดลงจากเฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.01 บาทในเดือนมิถุนายน 2542 เหลือเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.23 บาทในเดือน
ตุลาคม 2542 และราคาลูกสุกรลดลงจากเฉลี่ยตัวละ 1,450 บาท เหลือเฉลี่ยตัวละ 620 บาท ทั้งนี้เนื่องจากราคาสุกรตั้งแต่ปลายปี 2541 ถึง
กลางปี 2542 อยู่ในระดับสูงจึงจูงใจให้มีการขยายการเลี้ยง ปริมาณสุกรที่ออกสู่ตลาดจึงมีมากขึ้น ประกอบกับเดือนตุลาคมเป็นช่วงเทศกาล
กินเจและปิดภาคเรียนความต้องการบริโภคลดลง ทำให้ราคาสุกรลดลงมากดังกล่าว โดยราคาสุกรในแหล่งเลี้ยงภาคกลางลดลงเหลือเพียง
กิโลกรัมละ 27-32 บาท ในเดือนตุลาคม ขณะที่ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ระดับกิโลกรัมละ 38-39 บาท ทำให้ผู้เลี้ยงสุกรโดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ผลิต
ลูกสุกรเองต้องซื้อลูกสุกรเข้าเลี้ยงขุนประสบการขาดทุน เพราะต้นทุนในส่วนของค่าลูกสุกรสูงถึงตัวละ 1,400-1,500 บาท (น้ำหนัก 12 กก.)
อย่างไรก็ตามต้นทุนการผลิตในช่วงเดือนพฤศจิกายน | ธันวาคม 2542 จะลดลงอยู่ในระดับกิโลกรัมละ 34-36 บาท เนื่องจากต้นทุนในส่วน
ของค่าลูกสุกรลดลง
ผลจากการที่ราคาสุกรลดลงมากดังกล่าว กลุ่มผู้เลี้ยงสุกรจึงมีการรวมตัวกันปรับราคาสุกรเป็นกิโลกรัมละ 35 บาท เมื่อวันที่
1 พฤศจิกายน 2542 ราคาสุกรในเดือนพฤศจิกายนจึงเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และคาดว่าราคาจะมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกเล็กน้อย สำหรับในสัปดาห์นี้
ราคาสุกรที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 36.37 บาท สูงขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วกิโลกรัมละ 1.70 บาท และราคาลูกสุกรตัวละ
900 บาท สูงขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วตัวละ 50 บาท
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 15-21 พ.ย. 2542--
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
โคเนื้อ-เนื้อโค : เนื้อโคที่ลักลอบนำเข้าไทยติดเชื้อซัลโมเนลล่า
จากการที่มีการลักลอบนำเข้าปศุสัตว์ประเภทโค-กระบือ-สุกร จากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งมีชีวิตและซากอยู่เสมอ ซึ่ง
นอกจากจะกระทบต่อเกษตรกรในด้านราคาทำให้ราคาในประเทศลดลง แล้วยังนำโรคบางชนิดมาแพร่ระบาดอีกด้วย ข่าวจากเจ้าหน้าที่
ด่านกักกันสัตว์ปาร์ดังเบซาร์ จังหวัดนราธิวาส แจ้งว่า เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2542 ได้จับผู้ลักลอบนำเข้าเนื้อโค-กระบือชำแหละจาก
ประเทศอินเดีย จำนวน 12 ตัน จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเนื้อดังกล่าวมีเชื้อแบคทีเรียชื่อ ซัลโมเนลล่า ถ้านำไปบริโภคจะทำให้
เกิดอาการท้องร่วงฉับพลันและอาจเสียชีวิตได้ เจ้าหน้าที่ได้รีบทำลายทิ้งเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ซึ่งถ้าทำการตรวจอย่างละเอียดอาจ
พบเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคอื่น ๆ เช่น ปากและเท้าเปื่อย แอนแทรกซ์ และอื่นๆ อีกก็ได้
เชื้อแบคทีเรียชนิดซัลโมเนลล่านี้ จะมีอยู่ในตัวโคโดยธรรมชาติ ถ้าในขณะทำการฆ่าชำแหละไม่ถูกสุขอนามัยจะทำให้
เชื้อโรคปนเปื้อนกับเนื้อ หรือโคที่เสียชีวิตด้วย โรคนี้จะมีเชื้อโรคติดตามเนื้อเนื่องจากเชื้อโรคแพร่ระบาดตามกระแสเลือดได้
การนำเข้าเนื้อโคชำแหละจากประเทศอินเดียมีน้อย จากสถิติของกรมศุลกากรไทยเคยนำเข้าชิ้นเนื้ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่เนื้อติด
กระดูกและไม่ติดกระดูกในปี 2539 จำนวน 615 กิโลกรัม มูลค่า 141,450 บาท หรือเฉลี่ยกิโลกรัมละ 230 บาท
จากข้อเท็จจริงที่ผ่านมาแม้ว่ากรมปศุสัตว์จะเข้มงวดในการลักลอบนำเข้าสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านเพียงใด ก็ไม่สามารถ
ปราบปรามได้ การแก้ปัญหาให้ได้ผลต้องขอความร่วมมือจากตำรวจตระเวนชายแดน กระทรวงมหาดไทยด้วย ปัจจุบันทางกรมปศุสัตว์ได้สั่ง
การให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเฝ้าระวังเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะคาดว่าจะมีการลักลอบนำเข้าเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากราคาเนื้อสัตว์ภายใน
ประเทศสูงกว่า
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 ข้าว : การนำเข้าข้าวตาม WTO ปี 2543
ปี ปริมาณ การนำเข้าจริง (ตัน) รวม
โควตา ในโควตา นอกโควตา
2538 237,863 67.3 - 67.3
2539 239,185 107.4 19.10 126.5
2540 240,506 177.4 106.80 284.2
2541 241,828 147.7 210.60 358.3
2542 (มค.-ต.ค) 243,149 907.5 - 907.5
2543 244,471
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2542 คณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข.) ได้เห็นชอบให้มีการเปิดตลาดนำเข้าข้าวตามพันธกรณี
องค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2543 ที่ผูกพันไว้จำนวน 244,471 ตัน โดยไม่กำหนดช่วงเวลานำเข้าเหมือนในปีที่ผ่านมา เนื่องจากไทย
เป็นผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ของโลก และในแต่ละปีที่ผ่านมาข้าวที่นำเข้าเป็นข้าวเมล็ดสั้น (Japonica) และข้าว Medium Grain จากสหรัฐฯ
ซึ่งผลิตในประเทศได้น้อย การนำเข้าจึงเพื่อสนองความต้องการบริโภคของคนบางกลุ่มเท่านั้น ประกอบกับภาษีนำเข้าข้าวในโควตาอัตรา
ร้อยละ 30 ทำให้ราคาข้าวที่นำเข้ารวมภาษีแล้วมีราคาสูงกว่าราคาข้าวภายในประเทศ จึงไม่จูงใจให้มีการนำเข้า
2.2 กล้วยไม้ : สหภาพยุโรป ผ่อนผันปัญหาเพลี้ยไฟไปอีก 1 ปี
การส่งออกดอกกล้วยไม้ไปยังสหภาพยุโรปในระยะ 9 เดือนแรกของปี 2542 มีปริมาณ 1,779 ตัน มูลค่า 135.5 ล้านบาท
ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2541 ซึ่งส่งออกได้ 1,870 ตัน มูลค่า 144.7 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.87 และ 6.36 ตามลำดับ ทั้งนี้เนื่อง
จากสหภาพยุโรปตัดสิทธิ GSP ดอกกล้วยไม้จากไทย ทำให้ผู้นำเข้าสหภาพยุโรปต้องเสียภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7.1-7.6 ประกอบกับ
ค่าเงินบาทของไทยแข็งตัวขึ้นจากปีก่อน ปัญหาสำคัญที่เป็นอุปสรรคหรือทำลายการส่งออกกล้วยไม้ของไทย คือ ปัญหาโรคและแมลงศัตรู
พืช โดยเฉพาะเพลี้ยไฟที่ติดไปกับดอกกล้วยไม้ ทำให้ประเทศคู่ค้าในกลุ่มสหภาพยุโรปเผาทำลายดอกกล้วยไม้ไปจำนวนมาก ขณะ
เดียวกันส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเช่น กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร ได้เร่งดำเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น กำหนดเขตกล้วยไม้
ปลอดเพลี้ยไฟ เพื่อให้ปัญหาเพลี้ยไฟลดลง พร้อมทั้งได้เสนอการควบคุมเพลี้ยไฟในกล้วยไม้ด้วยวิธีการจุ่มสารเคมี (Dipping) ซึ่งเป็นวิธีใหม่
่ให้สหภาพยุโรปพิจารณาและได้ขอผ่อนผันระยะเวลาการประเมินต่อสหภาพยุโรปไปอีก 1 ปีเป็นเดือนกันยายน 2543 (เดิมสิ้นสุดเดือน
กันยายน 2542) ซึ่งคณะกรรมการด้านสุขอนามัยพืชสหภาพยุโรปได้ผ่อนผันระยะเวลาการประเมินผลมาตรการเพลี้ยไฟไปอีก 1 ปี
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้จากรายงานของกรมวิชาการเกษตรในช่วงมกราคม-กันยายน 2542 มีจำนวนดอกกล้วยไม้ที่
ส่งออกไปตลาดสหภาพยุโรปและถูกตรวจพบเพลี้ยไฟจำนวน 36 เที่ยวลดลงจากช่วงเดียวกับของปี 2541 ซึ่งตรวจพบเพลี้ยไฟจำนวน 53
เที่ยว ปรากฏว่าลดลงคิดเป็นร้อยละ 32.08
ข้อคิดเห็น
1. กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร ผู้ส่งออก และเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้ จะต้องให้ความร่วมมือในการใช้มาตรการจัด
ทำเขตผลิตกล้วยไม้ปลอดเพลี้ยไฟ ทั้งนี้อาจจะจัดทำเป็นโครงการนำร่องในพื้นที่เฉพาะเพื่อการส่งออกดอกกล้วยไม้ไปสหภาพยุโรป
2. สนับสนุนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเขตปลอดเพลี้ยไฟ เพื่อเป็นแรงจูงใจ โดยให้ความช่วยเหลือในด้านการลดต้นทุนการผลิตทั้ง
ในรูปปัจจัยการผลิต ลดค่ากระแสไฟฟ้า และสินเชื่อเพื่อการผลิตในอัตราดอกเบี้ยต่ำ
2.3 สุกร : ราคาสุกรเริ่มปรับตัวสูงขึ้น
รายการ พค. มิย. กค. สค. กย. ตค. พย.*
ราคาที่เกษตรกรขายได้ (บาท/กก.) 48.16 48.01 46.31 42.86 37.67 32.23 34.42
ต้นทุนการผลิต (บาท/กก.) 38.31 38.27 38.80 39.30 39.30 38.80 36.20
ราคาลูกสุกร (บาท/ตัว) 1,500 1,450 1,200 950 650 620 850
หมายเหตุ : * ราคาเฉลี่ย 3 สัปดาห์
ราคาสุกรได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2542 และลดลงมากในเดือนตุลาคม โดยราคา
ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศลดลงจากเฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.01 บาทในเดือนมิถุนายน 2542 เหลือเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.23 บาทในเดือน
ตุลาคม 2542 และราคาลูกสุกรลดลงจากเฉลี่ยตัวละ 1,450 บาท เหลือเฉลี่ยตัวละ 620 บาท ทั้งนี้เนื่องจากราคาสุกรตั้งแต่ปลายปี 2541 ถึง
กลางปี 2542 อยู่ในระดับสูงจึงจูงใจให้มีการขยายการเลี้ยง ปริมาณสุกรที่ออกสู่ตลาดจึงมีมากขึ้น ประกอบกับเดือนตุลาคมเป็นช่วงเทศกาล
กินเจและปิดภาคเรียนความต้องการบริโภคลดลง ทำให้ราคาสุกรลดลงมากดังกล่าว โดยราคาสุกรในแหล่งเลี้ยงภาคกลางลดลงเหลือเพียง
กิโลกรัมละ 27-32 บาท ในเดือนตุลาคม ขณะที่ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ระดับกิโลกรัมละ 38-39 บาท ทำให้ผู้เลี้ยงสุกรโดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ผลิต
ลูกสุกรเองต้องซื้อลูกสุกรเข้าเลี้ยงขุนประสบการขาดทุน เพราะต้นทุนในส่วนของค่าลูกสุกรสูงถึงตัวละ 1,400-1,500 บาท (น้ำหนัก 12 กก.)
อย่างไรก็ตามต้นทุนการผลิตในช่วงเดือนพฤศจิกายน | ธันวาคม 2542 จะลดลงอยู่ในระดับกิโลกรัมละ 34-36 บาท เนื่องจากต้นทุนในส่วน
ของค่าลูกสุกรลดลง
ผลจากการที่ราคาสุกรลดลงมากดังกล่าว กลุ่มผู้เลี้ยงสุกรจึงมีการรวมตัวกันปรับราคาสุกรเป็นกิโลกรัมละ 35 บาท เมื่อวันที่
1 พฤศจิกายน 2542 ราคาสุกรในเดือนพฤศจิกายนจึงเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และคาดว่าราคาจะมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกเล็กน้อย สำหรับในสัปดาห์นี้
ราคาสุกรที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 36.37 บาท สูงขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วกิโลกรัมละ 1.70 บาท และราคาลูกสุกรตัวละ
900 บาท สูงขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วตัวละ 50 บาท
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 15-21 พ.ย. 2542--