ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.เตรียมทบทวนผลกระทบจากราคาน้ำมันต่อจีดีพีในการประชุม กนง.ครั้งต่อไป ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.อาจจะมีการทบทวนเรื่องผลกระทบของราคาน้ำมันต่ออัตรา
การเติบโตของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ในระยะต่อไป เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบที่เคลื่อนไหวอยู่ในปัจจุบันสูง
กว่าราคาน้ำมันดิบดูไบที่ ธปท.ใช้ประเมินอยู่ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบขณะนี้เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 44-45
ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล ขณะที่ประมาณการของ ธปท.ใช้ราคาเฉลี่ยที่ 38 ดอลลาร์ สรอ. ซึ่งคาดว่าจะมีการ
ปรับเพิ่มราคาน้ำมันในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ทำให้ต้องทบทวนให้เหมาะสมกับความเป็นจริง อย่างไรก็ตามเชื่อว่า
ในระยะยาวราคาน้ำมันน่าจะปรับลดลงมาอยู่ใกล้เคียงกับประมาณการเดิมที่ใช้อยู่ สำหรับการปรับขึ้นราคาน้ำมัน
ดีเซลนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฝ่ายการเมือง แต่ในส่วนของ ธปท.มองว่านโยบายการขึ้นราคาน้ำมันดังกล่าว
เป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว ทั้งนี้ การปรับประมาณการจีดีพี คงต้องพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการ
เงิน (กนง.) ครั้งต่อไป วันที่ 20 เม.ย.นี้ (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, ข่าวสด, แนวหน้า)
2. 49% ของบริษัทจดทะเบียนใน ตลท.จ่ายเงินปันผลปี 47 สูงกว่าปีก่อน 1.62% กรรมการ
และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
(SET) และตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) จำนวน 231 บริษัทหรือ 49% ของ บจ.ทั้งหมด 468 บริษัท (ไม่รวม
บริษัทในหมวด REHABCO) ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปี 47 แล้ว โดยมูลค่ารวมของการจ่ายปันผลสูงถึง
เกือบ 1.5 แสน ล.บาท เมื่อคิดเงินปันผลเทียบกับราคาหลักทรัพย์แล้วจะเห็นว่าอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน
(Dividend Yield) อยู่ที่ระดับ 4.09% สูงกว่าปีก่อน 1.62% ซึ่งหากเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร
ประเภทเงินฝากออมทรัพย์ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 1% จะเห็นว่าการเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีการจ่ายเงินปันผลอย่างเหมาะ
สมจะให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนสูงสุด 4 อันดับ
แรก ได้แก่ 1) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 2) กลุ่มบริการ 3) กลุ่มวัตถุดิบและสินค้าอุตสาหกรรม และ 4) กลุ่ม
อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ, แนวหน้า, ข่าวสด)
3. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมเพื่อพิจารณาชี้ขาดแนวทางการขึ้นราคาจำหน่ายน้ำมันดีเซลวันนี้
รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันนี้ (21 มี.ค.48) จะมีการประชุมร่วมระหว่าง รมว.คลัง รมว.พลังงาน รมว.
อุตสาหกรรม และ รมว.พาณิชย์ เพื่อชี้ขาดแนวทางขึ้นราคาจำหน่ายน้ำมันดีเซล ก่อนนำเสนอ ครม.เห็นชอบต่อไป
โดยแนวทางเลือก ประกอบด้วย 1)การปรับราคาน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 3 บาท โดยทยอยปรับครั้งละ 1 บาท
หรือ 2)ปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลในคราวเดียว 3 บาท โดยปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระการตรึงราคาน้ำมัน
อยู่ที่ 76,764.63 ล.บาท แบ่งเป็นน้ำมันเบนซินประมาณ 7,000 ล.บาท ที่เหลือเป็นน้ำมันดีเซล 67,789.55 ล.
บาทหรือวันละ 302.54 ล.บาท ซึ่งเป็นภาระที่สูงและหากยังมีการตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่อไปจะทำให้สถานการณ์
ของกองทุนฯ อยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง ทั้งนี้ ก.พลังงานอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการใช้แก๊สโซ
ฮอล์ให้แพร่หลายยิ่งขึ้น ด้วยการปรับเป้าหมายการยกเลิกการนำเข้าสารเอ็มทีบีอี ซึ่งเป็นส่วนผสมเพิ่มค่าออกเทนใน
น้ำมันเบนซิน 95 ให้เร็วขึ้น โดยจะทำให้ได้ภายในวันที่ 1 ม.ค.49 จากกำหนดเดิมที่คาดว่าจะสามารถยกเลิกการ
นำเข้าได้ภายในวันที่ 1 ม.ค.50 โดยจะดูความพร้อมของผู้ประกอบการในการเปลี่ยนมาให้บริการแก๊สโซฮอล์
ประกอบด้วย ซึ่งตามแผนสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 4,000 แห่งจะสามารถให้บริการแก๊สโซฮอล์ได้ถึง
50% ภายในสิ้นปี 48 นี้ อนึ่ง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวถึงผลการศึกษาผลกระทบต่อราคาสินค้าว่า หาก
น้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นลิตรละ 1 บาท สินค้าที่จะได้รับผลกระทบต่อราคาขายปลีกสูงสุดคือ สินค้าหมวดที่ 1 สินค้า
กลุ่มที่มีน้ำหนักมากแต่มูลค่าต่ำ เช่น สินค้าหมวดวัสดุก่อสร้าง โดยราคาขายปลีกจะปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.7469% รอง
ลงมาคือ สินค้าหมวดที่ 2 สินค้าที่น้ำหนักน้อยแต่ใช้พื้นที่ขนส่งมาก เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค ราคาขายปลีกจะปรับ
เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.0508% ขณะที่สินค้าหมวดที่ 3 สินค้าที่น้ำหนักมากแต่ใช้พื้นที่ในการบรรทุกน้อย เช่น แป้งสาลี จะได้
รับผลกระทบน้อยที่สุด 0.0024% หากน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นลิตรละ 2 บาท ราคาขายปลีกสินค้าหมวดที่ 1, 2
และ 3 จะได้รับผลกระทบ 1.4938%, 0.1016% และ 0.0048% ตามลำดับ และหากน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นลิตร
ละ 3บาท ราคาขายปลีกสินค้าหมวดที่ 1, 2 และ 3 จะได้รับผลกระทบ 2.2406%, 0.1524% และ 0.0072%
ตามลำดับ (โลกวันนี้)
4. แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กในปี 48 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็ก
กล้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเหล็กของไทยในปี 48 จะมีการเติบโตในระดับสูงใกล้เคียงกับปี
ก่อน ตามปริมาณความต้องการที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากโครงการก่อสร้างสำคัญของภาครัฐ ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ
โครงการสาธารณูปโภค โครงการอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งการใช้ในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยคาดว่าจะมี
ปริมาณความต้องการใช้เหล็กประมาณ 13 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีจำนวน 12.7 ล้านตัน หรือขยาย
ตัว 15% (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. รัฐบาลเยอรมนีเตรียมลดภาษีธุรกิจซึ่งคาดว่าจะช่วยให้การลงทุนในเยอรมนีขยายตัวและมีการจ้าง
งานใหม่เพิ่มขึ้น รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 20 มี.ค.48 รัฐบาลเยอรมนีเตรียมปรับลดอัตราภาษีของธุรกิจจากร้อย
ละ 25 เป็นร้อยละ 19 ซึ่งคาดว่าจะมีเริ่มผลตั้งแต่เดือน ม.ค.49 มาตรการลดภาษีดังกล่าวซึ่งคาดว่าจะต้องใช้
เงินประมาณ 3 พันล้านยูโรมุ่งที่จะช่วยส่งเสริมการลงทุนของธุรกิจต่าง ๆ และทำให้มีการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้น นอก
จากนี้รัฐบาลยังเตรียมที่จะใช้จ่ายลงทุนด้านสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เงินประมาณ 2 พันล้านยูโร
โดยจะลงทุนใน 5 โครงการนำร่องในปีนี้ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เงินประมาณ 1 พันล้านยูโรและจะช่วยสร้างงานใหม่
เพิ่มขึ้น 30,000 ตำแหน่ง ผลสำรวจความเห็นของชาวเยอรมนี มีเพียงร้อยละ 21 ที่เชื่อว่ามาตรการของรัฐบาล
จะช่วยให้มีการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้น ในขณะที่อีกร้อยละ 70 ไม่เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะได้ผลทำให้มีการจ้างงาน
ใหม่เพิ่มขึ้น (รอยเตอร์)
2. จีนควรทบทวนนโยบายดึงเงินทุนจากต่างชาติและการส่งเสริมการส่งออก รายงานจากกรุง
ปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 21 มี.ค.48 Guo Shuqing ผู้อำนวยการด้านการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
ต่างประเทศของจีน กล่าวว่า จีนควรยกเลิกนโยบายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการส่งออก และดึงเงินลงทุนจาก
ต่างประเทศเข้ามาในจีน เนื่องจากการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมากได้ส่งผลกระทบต่อ
เศรษฐกิจจีนในระยะสั้น โดยนโยบายบางอย่างได้ทำให้มีการเก็งกำไรมากเกินควรในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีน
และทำให้พื้นที่ด้านชายฝั่งทะเลมีราคาสูงเกินกว่าพื้นที่ที่อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเล รวมถึงการให้สิทธิพิเศษแก่ชาวต่าง
ชาติในการเรียกคืนภาษีส่งออก และธุรกิจที่ลงทุนโดยชาวต่างชาติจะเสียภาษีในอัตราต่ำกว่าบริษัทของชาวจีนเกือบ
ทั้งหมด ซึ่งการเติบโตด้านการส่งออกอย่างรวดเร็วจะไม่ยั่งยืนและการได้เปรียบดุลการค้าไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป ทั้ง
นี้ การส่งออกของจีนในปี 47 เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 35 ทำให้จีนเกินดุลการค้าถึง 32 พันล้านดลอลาร์ สรอ.
ในขณะที่การลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 15 มูลค่าสูงถึงเกือบ 61 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
(รอยเตอร์)
3. คาดว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้ในไตรมาสที่ 4 ปี 47 จะฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย รายงาน
จากโซลเมื่อวันที่ 18 มี.ค. 48 ผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ 5 คนของรอยเตอร์ คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมใน
ประเทศ (GDP) ของเกาหลีใต้ในไตรมาสที่ 4 ปี 47 จะขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 1.1 (ตัวเลขที่ปรับฤดูกาลแล้ว)
ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ 2 และ 3 ที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.6 ขณะที่ไตรมาสแรกปี 47 เศรษฐกิจเติบโต
ร้อยละ 0.7 เนื่องจากการส่งสินค้าออกไปยังประเทศจีนเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของสินค้าคง
คลังและคาดว่าอุปสงค์ในประเทศจะฟื้นตัว ก่อนหน้านั้นเกาหลีใต้ได้เคยประสบกับอุปสงค์ในประเทศตกต่ำมาเป็น
เวลา 2 ปีจากปัญหาการใช้จ่ายบัตรเครดิตเกินตัวในปี 46 และยอดค้าปลีกลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่นั้นมา ทั้งนี้
การบริโภคภาคเอกชนซึ่งมีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของ GDP ได้ลดลงหรือทรงตัวอย่างต่อเนื่องมานับตั้งแต่ไตรมาส
สุดท้ายปีที่แล้ว ทั้งนี้ ธ.กลางเกาหลีใต้ มีกำหนดจะประกาศตัวเลข GDP อย่างเป็นทางการในวันอังคารนี้เวลา
8.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (รอยเตอร์)
4. คาดว่าอัตราการว่างงานของเกาหลีใต้ในเดือน ก.พ.48 จะอยู่ในอัตราเดียวกับเดือนก่อนหน้าที่
ร้อยละ 3.6 รายงานจากโซล เมื่อ 18 มี.ค. 48 ผลสำรวจโดยรอยเตอร์ พบว่า อัตราการว่างงานของเกาหลี
ใต้ในเดือน ก.พ.48 คาดว่าน่าจะเท่ากับอัตราเดิมเมื่อเดือน ม.ค.48 ที่ร้อยละ 3.6 (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทาง
ฤดูกาลแล้ว) ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน นับตั้งแต่เดือน ส.ค.47 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 เช่นเดียวกัน
หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 ในเดือน ธ.ค.47 โดยสำนักงานสถิติเกาหลีใต้จะเปิดเผยว่าตัวเลขอย่างเป็นทางการ
ในวันอังคารที่ 22 มี.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเกาหลีใต้มีแผนที่จะขยายวงเงินงบประมาณและการใช้จ่าย
สาธารณะด้านอื่น ๆ เพื่อเป็นการสร้างงาน 400,000 ตำแหน่งในปีนี้ และสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศให้
เพิ่มขึ้น แต่นโยบายนี้คงจะเริ่มหลังจากผ่านพ้นฤดูใบไม้ผลิล่วงเลยไปแล้ว แม้ว่าปัจจุบันภาวะการส่งออกของเกาหลี
ใต้จะเฟื่องฟูและโดดเด่นจากความร้อนแรงด้านความต้องการสินค้าเกาหลีใต้ของประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศจีน
ก็ตาม แต่ธุรกิจในเกาหลีใต้ก็ยังลังเลที่จะจ้างงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากเขายังไม่แน่ใจว่าความต้องการสินค้าเกาหลีใต้
จากทั่วโลกจะยืนยาวต่อไปในอนาคตอย่างถาวร อนึ่ง อัตราการว่างงานปัจจุบันเลื่อนขึ้นจากระดับร้อยละ 3.0 เมื่อ
ปี 45 หลังจากที่เกิดวิกฤติด้านบัตรเครดิตฟองสบู่ อันส่งผลให้ชาวเกาหลีใต้มีหนี้สินจำนวนมาก ทั้งนี้ นักวิเคราะห์
และรัฐบาลเกาหลีใต้ไม่มุ่งเน้นการปรับปรุงตลาดแรงงานให้ฟื้นตัวเป็นเป้าหมายหลักจนกว่าจะสามารถกระตุ้นความ
ต้องการในประเทศให้ฟื้นตัวอย่างเต็มที่เสียก่อน ซึ่งคาดว่าจะเป็นปีถัดไป (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 21 มี.ค. 48 18 มี.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 38.514 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 38.3196/38.6089 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.25 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 711.40/20.66 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,000/8,100 8,000/8,100 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 48.04 47.4 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.09*/15.19** 22.09*/15.19** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 11 มี.ค. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 22 ก.พ. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.เตรียมทบทวนผลกระทบจากราคาน้ำมันต่อจีดีพีในการประชุม กนง.ครั้งต่อไป ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.อาจจะมีการทบทวนเรื่องผลกระทบของราคาน้ำมันต่ออัตรา
การเติบโตของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ในระยะต่อไป เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบที่เคลื่อนไหวอยู่ในปัจจุบันสูง
กว่าราคาน้ำมันดิบดูไบที่ ธปท.ใช้ประเมินอยู่ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบขณะนี้เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 44-45
ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล ขณะที่ประมาณการของ ธปท.ใช้ราคาเฉลี่ยที่ 38 ดอลลาร์ สรอ. ซึ่งคาดว่าจะมีการ
ปรับเพิ่มราคาน้ำมันในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ทำให้ต้องทบทวนให้เหมาะสมกับความเป็นจริง อย่างไรก็ตามเชื่อว่า
ในระยะยาวราคาน้ำมันน่าจะปรับลดลงมาอยู่ใกล้เคียงกับประมาณการเดิมที่ใช้อยู่ สำหรับการปรับขึ้นราคาน้ำมัน
ดีเซลนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฝ่ายการเมือง แต่ในส่วนของ ธปท.มองว่านโยบายการขึ้นราคาน้ำมันดังกล่าว
เป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว ทั้งนี้ การปรับประมาณการจีดีพี คงต้องพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการ
เงิน (กนง.) ครั้งต่อไป วันที่ 20 เม.ย.นี้ (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, ข่าวสด, แนวหน้า)
2. 49% ของบริษัทจดทะเบียนใน ตลท.จ่ายเงินปันผลปี 47 สูงกว่าปีก่อน 1.62% กรรมการ
และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
(SET) และตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) จำนวน 231 บริษัทหรือ 49% ของ บจ.ทั้งหมด 468 บริษัท (ไม่รวม
บริษัทในหมวด REHABCO) ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปี 47 แล้ว โดยมูลค่ารวมของการจ่ายปันผลสูงถึง
เกือบ 1.5 แสน ล.บาท เมื่อคิดเงินปันผลเทียบกับราคาหลักทรัพย์แล้วจะเห็นว่าอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน
(Dividend Yield) อยู่ที่ระดับ 4.09% สูงกว่าปีก่อน 1.62% ซึ่งหากเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร
ประเภทเงินฝากออมทรัพย์ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 1% จะเห็นว่าการเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีการจ่ายเงินปันผลอย่างเหมาะ
สมจะให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนสูงสุด 4 อันดับ
แรก ได้แก่ 1) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 2) กลุ่มบริการ 3) กลุ่มวัตถุดิบและสินค้าอุตสาหกรรม และ 4) กลุ่ม
อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ, แนวหน้า, ข่าวสด)
3. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมเพื่อพิจารณาชี้ขาดแนวทางการขึ้นราคาจำหน่ายน้ำมันดีเซลวันนี้
รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันนี้ (21 มี.ค.48) จะมีการประชุมร่วมระหว่าง รมว.คลัง รมว.พลังงาน รมว.
อุตสาหกรรม และ รมว.พาณิชย์ เพื่อชี้ขาดแนวทางขึ้นราคาจำหน่ายน้ำมันดีเซล ก่อนนำเสนอ ครม.เห็นชอบต่อไป
โดยแนวทางเลือก ประกอบด้วย 1)การปรับราคาน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 3 บาท โดยทยอยปรับครั้งละ 1 บาท
หรือ 2)ปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลในคราวเดียว 3 บาท โดยปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระการตรึงราคาน้ำมัน
อยู่ที่ 76,764.63 ล.บาท แบ่งเป็นน้ำมันเบนซินประมาณ 7,000 ล.บาท ที่เหลือเป็นน้ำมันดีเซล 67,789.55 ล.
บาทหรือวันละ 302.54 ล.บาท ซึ่งเป็นภาระที่สูงและหากยังมีการตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่อไปจะทำให้สถานการณ์
ของกองทุนฯ อยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง ทั้งนี้ ก.พลังงานอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการใช้แก๊สโซ
ฮอล์ให้แพร่หลายยิ่งขึ้น ด้วยการปรับเป้าหมายการยกเลิกการนำเข้าสารเอ็มทีบีอี ซึ่งเป็นส่วนผสมเพิ่มค่าออกเทนใน
น้ำมันเบนซิน 95 ให้เร็วขึ้น โดยจะทำให้ได้ภายในวันที่ 1 ม.ค.49 จากกำหนดเดิมที่คาดว่าจะสามารถยกเลิกการ
นำเข้าได้ภายในวันที่ 1 ม.ค.50 โดยจะดูความพร้อมของผู้ประกอบการในการเปลี่ยนมาให้บริการแก๊สโซฮอล์
ประกอบด้วย ซึ่งตามแผนสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 4,000 แห่งจะสามารถให้บริการแก๊สโซฮอล์ได้ถึง
50% ภายในสิ้นปี 48 นี้ อนึ่ง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวถึงผลการศึกษาผลกระทบต่อราคาสินค้าว่า หาก
น้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นลิตรละ 1 บาท สินค้าที่จะได้รับผลกระทบต่อราคาขายปลีกสูงสุดคือ สินค้าหมวดที่ 1 สินค้า
กลุ่มที่มีน้ำหนักมากแต่มูลค่าต่ำ เช่น สินค้าหมวดวัสดุก่อสร้าง โดยราคาขายปลีกจะปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.7469% รอง
ลงมาคือ สินค้าหมวดที่ 2 สินค้าที่น้ำหนักน้อยแต่ใช้พื้นที่ขนส่งมาก เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค ราคาขายปลีกจะปรับ
เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.0508% ขณะที่สินค้าหมวดที่ 3 สินค้าที่น้ำหนักมากแต่ใช้พื้นที่ในการบรรทุกน้อย เช่น แป้งสาลี จะได้
รับผลกระทบน้อยที่สุด 0.0024% หากน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นลิตรละ 2 บาท ราคาขายปลีกสินค้าหมวดที่ 1, 2
และ 3 จะได้รับผลกระทบ 1.4938%, 0.1016% และ 0.0048% ตามลำดับ และหากน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นลิตร
ละ 3บาท ราคาขายปลีกสินค้าหมวดที่ 1, 2 และ 3 จะได้รับผลกระทบ 2.2406%, 0.1524% และ 0.0072%
ตามลำดับ (โลกวันนี้)
4. แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กในปี 48 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็ก
กล้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเหล็กของไทยในปี 48 จะมีการเติบโตในระดับสูงใกล้เคียงกับปี
ก่อน ตามปริมาณความต้องการที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากโครงการก่อสร้างสำคัญของภาครัฐ ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ
โครงการสาธารณูปโภค โครงการอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งการใช้ในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยคาดว่าจะมี
ปริมาณความต้องการใช้เหล็กประมาณ 13 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีจำนวน 12.7 ล้านตัน หรือขยาย
ตัว 15% (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. รัฐบาลเยอรมนีเตรียมลดภาษีธุรกิจซึ่งคาดว่าจะช่วยให้การลงทุนในเยอรมนีขยายตัวและมีการจ้าง
งานใหม่เพิ่มขึ้น รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 20 มี.ค.48 รัฐบาลเยอรมนีเตรียมปรับลดอัตราภาษีของธุรกิจจากร้อย
ละ 25 เป็นร้อยละ 19 ซึ่งคาดว่าจะมีเริ่มผลตั้งแต่เดือน ม.ค.49 มาตรการลดภาษีดังกล่าวซึ่งคาดว่าจะต้องใช้
เงินประมาณ 3 พันล้านยูโรมุ่งที่จะช่วยส่งเสริมการลงทุนของธุรกิจต่าง ๆ และทำให้มีการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้น นอก
จากนี้รัฐบาลยังเตรียมที่จะใช้จ่ายลงทุนด้านสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เงินประมาณ 2 พันล้านยูโร
โดยจะลงทุนใน 5 โครงการนำร่องในปีนี้ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เงินประมาณ 1 พันล้านยูโรและจะช่วยสร้างงานใหม่
เพิ่มขึ้น 30,000 ตำแหน่ง ผลสำรวจความเห็นของชาวเยอรมนี มีเพียงร้อยละ 21 ที่เชื่อว่ามาตรการของรัฐบาล
จะช่วยให้มีการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้น ในขณะที่อีกร้อยละ 70 ไม่เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะได้ผลทำให้มีการจ้างงาน
ใหม่เพิ่มขึ้น (รอยเตอร์)
2. จีนควรทบทวนนโยบายดึงเงินทุนจากต่างชาติและการส่งเสริมการส่งออก รายงานจากกรุง
ปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 21 มี.ค.48 Guo Shuqing ผู้อำนวยการด้านการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
ต่างประเทศของจีน กล่าวว่า จีนควรยกเลิกนโยบายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการส่งออก และดึงเงินลงทุนจาก
ต่างประเทศเข้ามาในจีน เนื่องจากการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมากได้ส่งผลกระทบต่อ
เศรษฐกิจจีนในระยะสั้น โดยนโยบายบางอย่างได้ทำให้มีการเก็งกำไรมากเกินควรในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีน
และทำให้พื้นที่ด้านชายฝั่งทะเลมีราคาสูงเกินกว่าพื้นที่ที่อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเล รวมถึงการให้สิทธิพิเศษแก่ชาวต่าง
ชาติในการเรียกคืนภาษีส่งออก และธุรกิจที่ลงทุนโดยชาวต่างชาติจะเสียภาษีในอัตราต่ำกว่าบริษัทของชาวจีนเกือบ
ทั้งหมด ซึ่งการเติบโตด้านการส่งออกอย่างรวดเร็วจะไม่ยั่งยืนและการได้เปรียบดุลการค้าไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป ทั้ง
นี้ การส่งออกของจีนในปี 47 เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 35 ทำให้จีนเกินดุลการค้าถึง 32 พันล้านดลอลาร์ สรอ.
ในขณะที่การลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 15 มูลค่าสูงถึงเกือบ 61 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
(รอยเตอร์)
3. คาดว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้ในไตรมาสที่ 4 ปี 47 จะฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย รายงาน
จากโซลเมื่อวันที่ 18 มี.ค. 48 ผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ 5 คนของรอยเตอร์ คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมใน
ประเทศ (GDP) ของเกาหลีใต้ในไตรมาสที่ 4 ปี 47 จะขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 1.1 (ตัวเลขที่ปรับฤดูกาลแล้ว)
ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ 2 และ 3 ที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.6 ขณะที่ไตรมาสแรกปี 47 เศรษฐกิจเติบโต
ร้อยละ 0.7 เนื่องจากการส่งสินค้าออกไปยังประเทศจีนเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของสินค้าคง
คลังและคาดว่าอุปสงค์ในประเทศจะฟื้นตัว ก่อนหน้านั้นเกาหลีใต้ได้เคยประสบกับอุปสงค์ในประเทศตกต่ำมาเป็น
เวลา 2 ปีจากปัญหาการใช้จ่ายบัตรเครดิตเกินตัวในปี 46 และยอดค้าปลีกลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่นั้นมา ทั้งนี้
การบริโภคภาคเอกชนซึ่งมีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของ GDP ได้ลดลงหรือทรงตัวอย่างต่อเนื่องมานับตั้งแต่ไตรมาส
สุดท้ายปีที่แล้ว ทั้งนี้ ธ.กลางเกาหลีใต้ มีกำหนดจะประกาศตัวเลข GDP อย่างเป็นทางการในวันอังคารนี้เวลา
8.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (รอยเตอร์)
4. คาดว่าอัตราการว่างงานของเกาหลีใต้ในเดือน ก.พ.48 จะอยู่ในอัตราเดียวกับเดือนก่อนหน้าที่
ร้อยละ 3.6 รายงานจากโซล เมื่อ 18 มี.ค. 48 ผลสำรวจโดยรอยเตอร์ พบว่า อัตราการว่างงานของเกาหลี
ใต้ในเดือน ก.พ.48 คาดว่าน่าจะเท่ากับอัตราเดิมเมื่อเดือน ม.ค.48 ที่ร้อยละ 3.6 (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทาง
ฤดูกาลแล้ว) ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน นับตั้งแต่เดือน ส.ค.47 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 เช่นเดียวกัน
หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 ในเดือน ธ.ค.47 โดยสำนักงานสถิติเกาหลีใต้จะเปิดเผยว่าตัวเลขอย่างเป็นทางการ
ในวันอังคารที่ 22 มี.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเกาหลีใต้มีแผนที่จะขยายวงเงินงบประมาณและการใช้จ่าย
สาธารณะด้านอื่น ๆ เพื่อเป็นการสร้างงาน 400,000 ตำแหน่งในปีนี้ และสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศให้
เพิ่มขึ้น แต่นโยบายนี้คงจะเริ่มหลังจากผ่านพ้นฤดูใบไม้ผลิล่วงเลยไปแล้ว แม้ว่าปัจจุบันภาวะการส่งออกของเกาหลี
ใต้จะเฟื่องฟูและโดดเด่นจากความร้อนแรงด้านความต้องการสินค้าเกาหลีใต้ของประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศจีน
ก็ตาม แต่ธุรกิจในเกาหลีใต้ก็ยังลังเลที่จะจ้างงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากเขายังไม่แน่ใจว่าความต้องการสินค้าเกาหลีใต้
จากทั่วโลกจะยืนยาวต่อไปในอนาคตอย่างถาวร อนึ่ง อัตราการว่างงานปัจจุบันเลื่อนขึ้นจากระดับร้อยละ 3.0 เมื่อ
ปี 45 หลังจากที่เกิดวิกฤติด้านบัตรเครดิตฟองสบู่ อันส่งผลให้ชาวเกาหลีใต้มีหนี้สินจำนวนมาก ทั้งนี้ นักวิเคราะห์
และรัฐบาลเกาหลีใต้ไม่มุ่งเน้นการปรับปรุงตลาดแรงงานให้ฟื้นตัวเป็นเป้าหมายหลักจนกว่าจะสามารถกระตุ้นความ
ต้องการในประเทศให้ฟื้นตัวอย่างเต็มที่เสียก่อน ซึ่งคาดว่าจะเป็นปีถัดไป (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 21 มี.ค. 48 18 มี.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 38.514 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 38.3196/38.6089 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.25 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 711.40/20.66 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,000/8,100 8,000/8,100 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 48.04 47.4 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.09*/15.19** 22.09*/15.19** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 11 มี.ค. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 22 ก.พ. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--