สรุปสถานการณ์
ศูนย์การศึกษาวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐ หรือ National Intelligence Council (NIC) ได้เผยแพร่รายงานที่ชื่อว่า “Mapping the Global Future-2020 Project” เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐได้ทราบแนวโน้มนของโลกอนาคตระยะ 15 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีปัจจัยทั้งด้านบวกและด้านลบที่ควรจะต้องดำเนินการเชิงนโยบายล่วงหน้า ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยังคงจะมีบทบาทที่สำคัญในโลกอนาคตอีก 15 ปีข้างหน้า แต่จะมีประเทศจีนและอินเดีย ขึ้นมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ โดยที่จีนและอินเดียซึ่งมีประชากรราว 1,400 และ 1,300 ล้านคน และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่สูงกว่าประเทศทางตะวันตก ซึ่ง NIC มั่นใจว่าจีนและอินเดียจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจใหม่อย่างแน่นอน
สำหรับประเทศญี่ปุ่น ยังจะต้องเผชิญสถานการณ์เหมือนกันกับประเทศในยุโรป คือจำนวนประชากรสูงวัยที่เพิ่มมากขึ้นและจะต้องประเมินสถานะและบทบาทของตนเองในภูมิภาคเอเชียให้มากขึ้น อาจจะต้องเลือกการสร้างความสมดุล โดยแข่งขันกับจีน หรือ การสร้างแนวร่วมกับจีน ในขณะเดียวกันปัญหาเกาหลีเหนือจะรุกรามมากขึ้นในอีก 15 ปีข้างหน้า และปัญหาระหว่างจีนและไต้หวันจะทำให้การสร้างความสมดุลในภูมิภาคเอเชียเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้น
การแบ่งกลุ่มตามสภาพภูมิศาสตร์จะลดน้อยลงในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่สิ่งที่จะมาทดแทนก็คือ โลกต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โลกที่เต็มไปด้วยเมืองขนาดใหญ่ โลกที่เชื่อมโยงกันด้วยการสื่อสารโทรคมนาคม การค้าและการเงิน ทั้งนี้ ถ้าหากเศรษฐกิจในเอเซียยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ภูมิภาคนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางพลวัตของเศรษฐกิจระหว่างประเทศแทนที่ประเทศทางตะวันตก
ประเด็นวิเคราะห์
เศรษฐกิจของไทยในอีก 15 ปีข้างหน้าจะเป็นไปในทิศทางใดขึ้นอยู่กับบทบาทของประเทศสหรัฐ จีน และอินเดีย ซึ่งจะประเทศเหล่านี้จะชี้นำทิศทางเศรษฐกิจของโลกในอนาคต การวางแผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจและการเมืองของไทยก็จะต้องพิจาณาจาก 3 ประเทศนี้เป็นหลัก รวมถึงประเทศดาวรุ่งใหม่ๆ ด้วย เช่น บราซิล โดยจะต้องคำนึงถึงสภาวะขาลงและการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นด้วย
ที่มา: http://www.depthai.go.th
-ดท-