กรุงเทพ--24 ธ.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
วันนี้ (24 ธันวาคม) ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนเกี่ยวกับกรณีนายซก เยือน สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 17 ระบุว่า "ในกรณีพิเศษเฉพาะเรื่อง รัฐมนตรีโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีจะอนุญาตให้คนต่างด้าวผู้ใดหรือจำพวกใดเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรภายใต้เงื่อนไขใด ๆ หรือจะยกเว้นไม่จำต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ในกรณีใด ๆ ก็ได้" ดังนั้น กรณีที่ปรากฎเป็นข่าวอ้างคำให้สัมภาษณ์ของผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลว่า การลี้ภัยทางการเมืองของนายซก เยือน เพื่อจะเข้ามาในประเทศไทยไม่ว่ากรณีใด ๆ ต้องขออนุญาตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก่อน นั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นความจริง ซึ่งเรื่องนี้ ดร. สุรินทร์ ได้มีบัญชาให้อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายประสานไปยังผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจสันติบาลเพื่อตรวจสอบเรื่องดังกล่าวด้วยแล้ว
2. ก่อนที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยจะทราบเรื่องนี้ ถือเป็นสิทธิของบุคคลดังกล่าวที่จะไปขอความช่วยเหลือจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ทั้งนี้ UNHCR สามารถพิจารณาสถานะของบุคคลดังกล่าวว่าเป็น "บุคคลในความห่วงใย" ตามพื้นฐานข้อมูลที่มีอยู่ ซึ่งเป็นไปตามอาณัติระหว่างประเทศไทยที่ UNHCR ได้รับ แต่โดยที่ประเทศไทยมิได้เป็นภาคีอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับสถานะของผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951 จึงไม่มีพันธะที่จะไปมีส่วนในการตรวจสอบและตัดสินใจเกี่ยวกับการให้สถานภาพแก่บุคคลดังกล่าว อย่างไรก็ดี เมื่อหน่วยงานของไทยทราบเรื่องนี้ ก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยที่จะดำเนินคดีกับนายซก เยือนตามครรลองของกฎหมายไทย
3. UNHCR ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542 ระบุว่า การรับบุคคลดังกล่าวให้อยู่ภายใต้การดูแลของ UNHCR ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบระหว่างประเทศและตามหลักมนุษยธรรม และเป็นหน้าที่ของฝ่ายไทยที่จะต้องดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวตามกฎหมายไทย ซึ่ง UNHCR ไม่อยู่ในฐานะที่จะไปขัดขวาง ดร. สุรินทร์ กล่าวด้วยว่า การดำเนินคดีกับนายซก เยือนตามครรลองของกฎหมายไทยสามารถกระทำได้ตราบเท่าที่นายซก เยือนไม่อยู่ในสถานที่ที่ทางการไทยไม่สามารถล่วงละเมิดได้ อาทิ ในสำนักงานของ UNHCR หรือในสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลต่างประเทศในไทย --จบ--
วันนี้ (24 ธันวาคม) ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนเกี่ยวกับกรณีนายซก เยือน สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 17 ระบุว่า "ในกรณีพิเศษเฉพาะเรื่อง รัฐมนตรีโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีจะอนุญาตให้คนต่างด้าวผู้ใดหรือจำพวกใดเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรภายใต้เงื่อนไขใด ๆ หรือจะยกเว้นไม่จำต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ในกรณีใด ๆ ก็ได้" ดังนั้น กรณีที่ปรากฎเป็นข่าวอ้างคำให้สัมภาษณ์ของผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลว่า การลี้ภัยทางการเมืองของนายซก เยือน เพื่อจะเข้ามาในประเทศไทยไม่ว่ากรณีใด ๆ ต้องขออนุญาตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก่อน นั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นความจริง ซึ่งเรื่องนี้ ดร. สุรินทร์ ได้มีบัญชาให้อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายประสานไปยังผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจสันติบาลเพื่อตรวจสอบเรื่องดังกล่าวด้วยแล้ว
2. ก่อนที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยจะทราบเรื่องนี้ ถือเป็นสิทธิของบุคคลดังกล่าวที่จะไปขอความช่วยเหลือจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ทั้งนี้ UNHCR สามารถพิจารณาสถานะของบุคคลดังกล่าวว่าเป็น "บุคคลในความห่วงใย" ตามพื้นฐานข้อมูลที่มีอยู่ ซึ่งเป็นไปตามอาณัติระหว่างประเทศไทยที่ UNHCR ได้รับ แต่โดยที่ประเทศไทยมิได้เป็นภาคีอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับสถานะของผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951 จึงไม่มีพันธะที่จะไปมีส่วนในการตรวจสอบและตัดสินใจเกี่ยวกับการให้สถานภาพแก่บุคคลดังกล่าว อย่างไรก็ดี เมื่อหน่วยงานของไทยทราบเรื่องนี้ ก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยที่จะดำเนินคดีกับนายซก เยือนตามครรลองของกฎหมายไทย
3. UNHCR ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542 ระบุว่า การรับบุคคลดังกล่าวให้อยู่ภายใต้การดูแลของ UNHCR ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบระหว่างประเทศและตามหลักมนุษยธรรม และเป็นหน้าที่ของฝ่ายไทยที่จะต้องดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวตามกฎหมายไทย ซึ่ง UNHCR ไม่อยู่ในฐานะที่จะไปขัดขวาง ดร. สุรินทร์ กล่าวด้วยว่า การดำเนินคดีกับนายซก เยือนตามครรลองของกฎหมายไทยสามารถกระทำได้ตราบเท่าที่นายซก เยือนไม่อยู่ในสถานที่ที่ทางการไทยไม่สามารถล่วงละเมิดได้ อาทิ ในสำนักงานของ UNHCR หรือในสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลต่างประเทศในไทย --จบ--