แท็ก
รัฐวิสาหกิจ
1. วัตถุประสงค์ของแผนแม่บทการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
เพื่อกำหนดขอบเขตและทิศทางการแปรรูปและปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจเพื่อให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ มีการกำหนดหลักการและวิธีการดำเนินการเพื่อแปรรูปรัฐวิสาหกิจสาขาต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แผนแม่บทนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นเอกสารอ้างอิงสำหรับหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ นักลงทุน พนักงานรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนประชาชนทั่วไปในช่วงที่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเกิดขึ้น
แผนแม่บทเป็นเอกสารเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเป็นหลักการและวิธีปฏิบัติเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ นอกจากนี้ ได้กำหนดระยะเวลาสำหรับกิจกรรมหลักๆ และแนวทางในการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในรัฐวิสาหกิจแต่ละสาขา
2. ความเป็นมาและเนื้อหาของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจในประเทศไทยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2504 และมีระบุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทุกฉบับ นับแต่นั้นมาได้มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปแล้วกว่า 40 แห่ง และในปัจจุบันคงเหลือรัฐวิสาหกิจอยู่ทั้งสิ้น 59 แห่ง
สืบเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจที่ประเทศไทยประสบอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ประเทศไทยต้องศึกษาแนวทางเพื่อแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นช่องทางหนึ่งที่จะกระตุ้นสภาพเศรษฐกิจได้เพราะจะช่วยลดภาระของรัฐในการอุดหนุนรัฐวิสาหกิจ การแปรรูปจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินการ ช่วยดึงดูดเงินลงทุน เทคโนโลยี และวิธีการบริหารจัดการ ช่วยลดภาระหนี้สินของภาครัฐและสร้างความมั่นใจในฐานะการเงินของประเทศ ตลาดทุนไทย ตลอดจนบริษัทเอกชนไทยให้กลับคืนมา
รัฐบาลจึงได้ระบุไว้ในจดหมายแสดงเจตจำนงต่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศว่าจะเร่งแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ลดภาระหนี้ของภาครัฐ เปิดให้มีการแข่งขันโดยเสรี กระตุ้นให้ประสิทธิภาพงานเพิ่มขึ้น และให้คงสวัสดิการต่างๆ ของพนักงานไว้ ในการนี้จึงได้จัดตั้งคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ขึ้น เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการแปรรูป เร่งแปรรูปรัฐวิสาหกิจบางแห่งที่สามารถทำได้โดยเร็ว คัดเลือกและว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อจัดทำแผนแม่บทการแปรรูปฉบับนี้ขึ้น เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าการปฏิรูปนั้นมีรากฐานที่เข้มแข็งและกรอบการทำงานภายในอนาคตอันใกล้
3. รายละเอียดสถานการณ์ปัจจุบันของรัฐวิสาหกิจ
ปัจจุบันมีรัฐวิสาหกิจอยู่ภายใต้การดูแลจำนวน 59 แห่ง ซึ่งอาจแบ่งออกได้เป็น 5 สาขาหลักด้วยกันคือ สาขาโทรคมนาคมและสื่อสาร ประปา พลังงาน ขนส่งและรัฐวิสาหกิจอื่นๆ (ซึ่งประกอบด้วย อุตสาหกรรม สังคม เทคโนโลยี การค้าและบริการ เกษตร และสถาบันการเงิน)
สำหรับการโทรคมนาคมสื่อสาร ประปา พลังงาน และขนส่งนั้น อาจกล่าวได้ว่าที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจเป็นผู้ที่กำหนดบทบาทการดำเนินธุรกิจของสาขานั้นๆ มาโดยตลอด รัฐวิสาหกิจหลายแห่งยังอยู่ในระบบผูกขาดหรือกึ่งผูกขาด และต้องการเงินลงทุนหรือเงินสนับสนุนจำนวนมากจากรัฐบาลและการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมจะลดภาระภาครัฐ และเพิ่มการบริการให้ทั่วถึงและเกิดการแข่งขันมากขึ้น
ในปัจจุบันมีพนักงานรัฐวิสาหกิจประมาณ 320,000 คน ในจำนวนนี้เป็นพนักงานของรัฐวิสาหกิจ ขนาดใหญ่ 10 แห่ง มากกว่า 226,000 คน
4. คำจำกัดความ เป้าหมาย วัตถุประสงค์ และผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการแปรรูป รัฐวิสาหกิจ
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้นในที่นี้หมายถึงการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจเพราะขั้นตอนจะประกอบด้วยการปรับโครงสร้างองค์กร การปรับองค์กรกำกับดูแลและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกเหนือไปจากกระบวนการแปรรูป รัฐได้กำหนดวัตถุประสงค์ และประโยชน์ของการแปรรูปทั้งด้านโครงสร้างด้านการเงินและด้านสังคมไว้อย่างชัดเจน (สรุปดูได้จากเตารางที่ 1 แนบท้าย)
5. บทบาทความรับผิดชอบของผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
แผนแม่บทในส่วนนี้อธิบายขั้นตอนต่างๆ ที่จะนำมาใช้ในการประสานงานและควบคุมดูแลการแปรรูป เพื่อให้มีความกระชับ มีประสิทธิภาพและเกิดความโปร่งใส นอกจากนี้ยังระบุรายละเอียดของการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในทุกขั้นตอนด้วย
5.1 โครงสร้างคณะกรรมการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ
เสนอให้รวมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) เข้ากับคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะจัดตั้งขึ้นภายใต้กรอบของกฎหมายทุนรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการชุดใหม่นี้จะมีสำนักงานรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นฝ่ายเลขานุการ ส่วนคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) จะยังคงมีหน้าที่และความรับผิดชอบด้านการแปรรูปสาขาพลังงานเช่นเดิม
5.2 บทบาทและความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ(ตารางแนบท้าย 2)
5.3 โครงการที่ริเริ่มโดยนักลงทุนและศูนย์ข้อมูลสำหรับนักลงทุน
เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจมากยิ่งขึ้น รัฐจะอำนวยความสะดวกโดยให้เอกชนสามารถยื่นโครงการได้หลายระดับ ตั้งแต่ระดับรัฐวิสาหกิจ กระทรวงเจ้าสังกัดหรือสำนักรัฐวิสาหกิจ
นอกจากนี้ จะมีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลสำหรับนักลงทุนซึ่งอาจอยู่ภายใต้สำนักรัฐวิสาหกิจหรือสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับระยะเวลาของการแปรรูป รูปแบบ ข้อกำหนดของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้นๆ ด้วย
6. บทบาทของรัฐในอนาคต
ในอนาคตรัฐจะลดบทบาทลงโดยจะเป็นเพียงผู้กำหนดนโยบายและผู้กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจเท่านั้น แต่จะ ไม่เป็นผู้ให้บริการดังที่เคยเป็นมา กิจการที่เอกชนสามารถดำเนินการได้ดีกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่าจะมอบหมายให้เอกชนรับไปดำเนินการ ภาครัฐจะยังคงดำเนินกิจการเฉพาะกิจการที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์แห่งชาติ ด้านสังคมหรือในกิจการที่ไม่ให้ผลตอบแทนเชิงพาณิชย์แต่มีความจำเป็นต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ในส่วนที่ให้เอกชนรับไปดำเนินการ รัฐอาจจะดำรงสัดส่วนความเป็นเจ้าของในฐานะผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25.1 เพื่อให้รัฐมีสิทธิและอำนาจยับยั้งการดำเนินการซึ่งรัฐไม่เห็นชอบ
7. การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎหมาย
กฎหมายที่อาจมีผลต่อการแปรรูปรัฐวิสาหกิจมีดังนี้คือ พรบ. กำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด หลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ประมวลรัษฎากร พรบ. ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า ประมวลกฎหมายที่ดิน พรบ. คุ้มครองแรงงาน พรบ. ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือ
ดำเนินงานในกิจการของรัฐ ร่าง พรบ. ทุนรัฐวิสาหกิจ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2541 มาตรา 49 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัทและพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน พรบ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวข้างต้นจำเป็นต้องใช้เวลานาน ทางบริษัทที่ปรึกษาจึงเสนอให้มีการออกกฎหมายปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงกฎหมายดังกล่าว และเพื่อออกกฎหมายหลักเพื่อจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลรายสาขา
8. การกำกับดูแล
กรอบการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจในอนาคตจะมีการแบ่งแยกชัดเจน กล่าวคือหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนโยบาย ด้านกำกับดูแล และด้านปฏิบัติงานจะแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด
8.1 หลักการของการกำกับดูแล
เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันโดยเสรี ในขณะเดียวกันหน่วยงานที่มีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลมีหน้าที่พิทักษ์ประโยชน์ของผู้บริโภค ตลอดจนให้ความมั่นใจแก่นักลงทุนว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างเป็นธรรม
8.2 บทบาท ความรับผิดชอบ และหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับดูแล และหน่วยงานที่กำกับนโยบาย
คณะกรรมการกำกับดูแลมีหน้าที่ ออกใบอนุญาต ติดตามประเมินผลและควบคุมราคา ตรวจสอบ และกำหนดค่าบริการ ควบคุมคุณภาพการให้บริการ ควบคุมการเข้าถึงเครือข่าย กำกับดูแลให้มีการแข่งขันโดยเสรี รับฟังความคิดเห็นของผู้บริโภค ให้คำปรึกษาต่อรัฐบาลในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่กำกับดูแลอยู่ ฯลฯ
คณะรัฐมนตรี โดยกระทรวงเจ้าสังกัดมีหน้าที่กำหนดนโยบายและพิจารณาคำร้องอุทธรณ์ต่างๆ กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์สำหรับแต่ละสาขา ร่างกฎหมาย กำหนดนโยบายทุน พิจารณาขอบข่ายของการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน กำหนดนโยบายกว้างๆ เกี่ยวกับค่าบริการ ฯลฯ
8.3 โครงสร้างองค์กรและบุคลากร
รูปแบบโครงสร้างองค์กรจะเป็นลักษณะคณะกรรมการ รายละเอียดในส่วนนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาเพื่อจัดทำ
8.4 การแต่งตั้งกรรมการ
สำนักนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้เสนอรายชื่อกรรมการในองค์กรกำกับดูแลให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการในแต่ละสาขา
9. รูปแบบและวิธีการในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
รูปแบบและวิธีการแปรรูปหลักๆ ที่จะดำเนินการมีดังนี้
การเสนอขายหุ้นให้ต่อสาธารณชน
การเสนอขายหุ้นให้แก่พันธมิตรร่วมทุนโดยเฉพาะเจาะจง/การร่วมทุน
การซื้อกิจการโดยฝ่ายจัดการ
การยุบเลิกและจำหน่ายจ่ายโอนกิจการ
แปลงหนี้เป็นหุ้น
พันธบัตร/สัญญาให้สิทธิ
สัญญาการบริหารจัดการ
สัญญาเช่า
สัญญาให้สัมปทาน
สร้าง,ดำเนินการ,โอน (BOT)
สร้าง, เป็นเจ้าของกิจการ, ดำเนินการ, โอน (BOOT)
การให้เอกชนลงทุนดำเนินการแต่รัฐรับซื้อผลผลิต (BOO)
เอกชนสร้าง โอนทรัพย์สินให้รัฐภายใต้ข้อตกลงในสัญญา (BTO)
การสร้างการแข่งขัน การกำกับดูแล การเปิดเสรี
คณะกรรมการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจมีหน้าที่รับผิดชอบในการอนุมัติแผนแปรรูป และดูแลให้การแปรรูปเป็นไปอย่างโปร่งใสและในเวลาที่เหมาะสม
10. การจัดสรรรายได้จากการแปรรูป
การจัดสรรรายได้จากการแปรรูปจะดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งกำหนดให้นำส่งร้อยละ 50 ของรายได้จากการจำหน่ายหุ้นในรัฐวิสาหกิจที่รัฐเป็นเจ้าของเป็นรายได้ของแผ่นดินเพื่อสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายด้านการศึกษา การสาธารณสุข การเกษตร การสวัสดิการแรงงาน และการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานในชนบท และอีกร้อยละ 50 นำส่งให้กองทุนเพื่อการชำระคืนเงินกู้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
กรณีรัฐวิสาหกิจจำหน่ายหุ้นในบริษัทลูก หรือจำหน่ายทรัพย์สินหรือกิจการ ให้จัดสรรรายได้จากการขายหุ้นบางส่วนเป็นเงินสำรองการขยายงานและกองทุนสวัสดิการพนักงานของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบนี้ ส่วนที่เหลือร้อยละ 50 ให้นำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินเพื่อสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายด้านการศึกษา การสาธารณสุข การเกษตร การสวัสดิการแรงงาน และการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานในชนบท และอีกร้อยละ 50 นำส่งให้กองทุนเพื่อการชำระคืนเงินกู้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ในกรณีที่รัฐวิสาหกิจให้สัมปทานโดยอาศัยสิทธิ หรือทรัพย์สิน หรือกิจการหรือโครงการของรัฐวิสาหกิจนั้นแก่เอกชนในรูปแบบต่างๆ โดยเอกชนจ่ายค่าตอบแทนสำหรับการให้สัมปทานนั้นแก่รัฐวิสาหกิจ รายได้จากการแปรรูปจะเป็นไปตามกรณีรัฐวิสาหกิจจำหน่ายหุ้นในบริษัทลูก
11. ระบบธรรมรัฐ ระบบประเมินและติดตามผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ
ปรับปรุงระบบธรรมรัฐในการบริหารจัดการและการประเมินประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจเพื่อให้ สอดคล้องกับระบบของบริษัทเอกชน โดยจะดำเนินการให้มีการเสนอชื่อคณะกรรมการบริหาร กำหนด คุณสมบัติของคณะกรรมการบริหาร การแต่งตั้งและการปลดออกจากตำแหน่งตามระบบของภาคเอกชน การประเมินผลซึ่งเดิมใช้อยู่สองระบบจะปรับปรุงเปลี่ยนมาใช้วิธี “Balanced scorecard ” ซึ่งเป็นระบบที่ใช้เปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานในองค์กรระดับสากลทั่วโลก สำนักงานรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ กระทรวงการคลังได้เสนอที่จะเป็นศูนย์กลางบริหารระบบดังกล่าวนี้ นอกจากนี้จะจัดระบบข้อมูลการบริหารจัดการใหม่ รัฐวิสาหกิจทุกแห่งจะทำรายงานแบบเดียวกันทั้งหมด
12. ข้อควรคำนึงถึงในด้านสังคม แรงงานและสิ่งแวดล้อม
รัฐบาลตระหนักดีถึงความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่จะเกิดขึ้น อันเป็นผลมาจากการแปรรูป จึงกำหนดวิธีการบริหารจัดการผลกระทบดังนี้คือ
แผนการแปรรูปทุกฉบับจะต้องมีการกำหนดมาตรการเพื่อจัดการผลกระทบต่อสังคม แรงงานและ สิ่งแวดล้อม ดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบด้านอัตราค่าบริการสาธารณูปโภค ส่งเสริมให้พนักงานเตรียมพร้อมในการแปรรูป ดูแลให้พนักงานได้รับความเป็นธรรมจากโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด เป็นต้น เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการปฏิรูปนี้
การมีผลบังคับใช้ของมาตรการ โครงการที่รัฐใช้ในการสร้างความมั่นใจแก่พนักงานในการได้รับ ผลตอบแทนอย่างเต็มที่หากมีเหตุให้ออกจากงาน
การใช้มาตรการเพิ่มเติม พิจารณาจัดตั้งกองทุนสวัสดิการพนักงานของรัฐวิสาหกิจจากเงินรายได้ บางส่วนที่ได้รับจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้ความมั่นใจว่าจะมีการจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายให้แก่ผู้ถูกออกจากงาน รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งมีความรับผิดชอบเป็นลำดับแรกในการจ่ายเงินชดเชยแก่พนักงาน ส่วนกองทุนสวัสดิการพนักงานรัฐวิสาหกิจจะจ่ายเงินชดเชยเมื่อรัฐวิสาหกิจนั้นๆ ไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยได้ และจะจัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาร่วมจากภาครัฐ ภาคเอกชน และตัวแทนพนักงานเพื่อกำหนดและดูแลการจัดการกองทุน การจ่ายเงิน และการประเมินความจำเป็นตลอดจนความสามารถในการจ่ายเงินชดเชยของรัฐวิสาหกิจ
การประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปอย่างเป็นระบบ และสม่ำเสมอแก่พนักงาน รัฐวิสาหกิจ เพราะรัฐตระหนักดีถึงความต้องการของพนักงานที่ต้องการได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องน่าเชื่อถือ
13. แผนแม่บทประชาสัมพันธ์
เพื่อให้มีการสื่อสารเกี่ยวกับการแปรรูปอย่างเป็นระบบได้มีการกำหนดรูปแบบของการประชาสัมพันธ์ อย่างครอบคลุมและทั่วถึง ในทุกกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวกับขบวนการแปรรูป กลุ่มเป้าหมายได้แก่ พนักงานรัฐวิสาหกิจ นักลงทุน สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป รูปแบบการสื่อสารประชาสัมพันธ์ซึ่งจะดำเนินการในเบื้องต้นประกอบด้วย การจัดทำเว็บไซต์การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การจัดทำจดหมายข่าวรายสองเดือนแจกจ่ายให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการจัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้เรื่องการแปรรูป
แผนแม่บทการแปรรูปรัฐวิสาหกิจรายสาขา
14. สาขาโทรคมนาคมและสื่อสาร
สาขาโทรคมนาคมและสื่อสารประกอบด้วยรัฐวิสาหกิจ 3 แห่งคือ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.)
กระทรวงคมนาคมได้จัดทำแผนแม่บทการพัฒนากิจการโทรคมนาคม โดยมุ่งเน้นที่จะปฏิรูปกิจการโทรคมนาคมในภาพรวม และแปรรูปรัฐวิสาหกิจการโทรคมนาคมเพื่อให้เกิดตลาดเสรี
กิจการโทรคมนาคม
รูปแบบโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับกิจการโทรคมนาคมคือ โครงสร้าง 3 ระดับ ประกอบด้วยตลาดขั้นต้น ตลาดค้าส่ง และตลาดค้าปลีก และเปิดให้มีการแข่งขันเสรีมากขึ้นในทุกระดับ ผู้บริโภคจะมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น และได้รับบริการที่มีคุณภาพมากขึ้น
กิจการวิทยุโทรทัศน์
การรวมตัวของธุรกิจวิทยุโทรทัศน์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการแปรรูปและการเปิดเสรีของกิจการวิทยุโทรทัศน์ภายในประเทศ แผนระยะสั้นและระยะกลางสำหรับกิจการวิทยุโทรทัศน์ คือการแก้ไขกฎหมายและจัดตั้งองค์กรกำกับดูแล
กิจการไปรษณีย์
รูปแบบที่เหมาะสมคือการแยกกิจการไปรษณีย์ออกจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยจัดตั้งบริษัทจำกัดเพื่อให้บริการไปรษณีย์ และจัดทำร่างพระราชบัญญัติไปรษณีย์ขึ้นใหม่ โดยให้กิจการไปรษณีย์ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากกิจการโทรคมนาคมผ่านทางบริษัทรวมทุน
การกำกับ
การจัดให้มีองค์กรกำกับดูแลอิสระ เพื่อกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนให้เกิดการแข็งขันเสรี และก่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่อผู้บริโภค บทบาทขององค์กรกำกับดูแลอิสระควรระบุไว้ให้ชัดเจนในพระราชบัญญัติการโทรคมนาคมฉบับใหม่ เพื่อให้มีกรอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแข่งขัน การคุ้มครองผู้บริโภค ด้านเทคนิคและกฎระเบียบต่างๆ เช่นเดียวกับองค์กรอิสระด้านวิทยุโทรทัศน์และไปรษณีย์
การแปรรูป
อาจจัดตั้งบริษัทรวมทุนขึ้นเป็นการชั่วคราว เพื่อเตรียมความพร้อมของรัฐวิสาหกิจก่อนการเปิดเสรี จะได้มีการศึกษาเพิ่มเติมถึงบทบาท หน้าที่ และช่วงเวลาก่อนการเปิดตลาดเสรี
ระยะเวลา
ช่วงแรกประมาณ 2-5 ปี จะเป็นช่วงก่อนการเปิดแข่งขันเสรี ซึ่งจะมีภาวะการแข่งขันจำกัด และช่วงตั้งแต่ 2545-2548 จะเป็นช่วงเปิดการแข่งขันเสรี
15. สาขาประปา
ประกอบด้วยรัฐวิสาหกิจ 3 แห่งคือการประปานครหลวง (กปน.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) และองค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.)
การเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในกิจการประปาสามารถช่วยรัฐบาลในการให้บริการน้ำประปาแก่ประชาชนได้ และควรดำเนินการโดยการให้สัมปทาน
การประปานครหลวง อาจทำได้ 2 แนวทาง คือ แนวทางแรกแบ่งการดำเนินงานออกเป็นสองบริษัทคือกรุงเทพฯ ตะวันออก และกรุงเทพฯ ตะวันตก แนวทางที่ 2 คือการแปรรูปเป็นบริษัท กปน. จำกัด และหาพันธมิตรร่วมทุนมาร่วมดำเนินการ และบริหารโดยทำสัญญาจ้างดำเนินงาน
การประปาส่วนภูมิภาค ให้มีการแปรรูปโดย กปภ. อาจเป็นผู้ให้สัมปทานในเขตต่างๆ ผู้รับสัมปทานในแต่ละเขตจะรับผิดชอบการผลิตประปาและส่งน้ำประปา รายละเอียดในการแบ่งแยกเขตการให้สัมปทานจะศึกษาโดยละเอียดอีกครั้ง
การกำจัดน้ำเสียและการควบคุมมาตรฐานสิ่งแวดล้อม จะเป็นหน้าที่ของหน่วยงานท้องถิ่น
การแปรรูปกิจการประปาและการจัดการน้ำเสียจะดำเนินการโดยให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความพร้อมของนักลงทุนในการเข้ามามีบทบาทในภาคนี้ด้วย
การกำกับดูแล จัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระด้านการประปาขึ้น เพื่อดูแลในเรื่องค่าบริการ มาตรฐานการให้บริการ สิทธิของผู้บริโภคและแก้ไขข้อพิพาท ดูแลและปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภค
ระยะเวลาในการดำเนินการ
ด้านกฎหมายและการกำกับดูแลเสร็จสิ้นภายในปี 2542
แผนปฏิบัติการเสร็จภายในครึ่งแรกของปี 2543
จัดดำเนินการตามแผนการแปรรูปภายในครึ่งหลังของปี 2542
16. สาขาขนส่ง
ประกอบด้วยรัฐวิสาหกิจ 14 แห่ง ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มคือ
การขนส่งทางบก มี 6 รัฐวิสาหกิจได้แก่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) องค์การรถไฟฟ้ามหานคร (รฟม.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (รสพ.)
การขนส่งทางอากาศ มี 5 รัฐวิสาหกิจได้แก่ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) บริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (บทม.) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท วิทยุการบิน จำกัด (บวท.) และสถาบันการบินพลเรือน (สบพ.)
การขนส่งทางน้ำ มี 3 รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด (บทด.) และ บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด (บอท.)
รูปแบบของการแปรรูปที่ควรดำเนินการคือการแยกหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนโยบาย ด้านกำกับดูแล และด้านปฏิบัติงานออกจากกันโดยเด็ดขาด โดยให้กระทรวงคมนาคมเป็นกระทรวงที่ประมวลแนวนโยบายโดยได้รับข้อเสนอจากกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
การกำกับดูแล
องค์กรอิสระที่ทำหน้าที่กำกับดูแล จะได้รับการจัดตั้งขึ้นตามแนวทางที่กำหนดในแผนแม่บทโดยการแยกกิจกรรมด้านกำกับดูแลออกจากกระทรวงเจ้าสังกัด ซึ่งโครงสร้างดังกล่าวสามารถลดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปได้ แนวทางมีหลายแบบและจะต้องมีการศึกษาต่อไป ซึ่งอาจทำได้ 2 วิธีคือ จัดตั้งองค์กรกำกับดูแลในระดับกลุ่ม บก เรือ อากาศ หรือตั้งองค์กรกำกับดูแลในกลุ่มย่อยลงไป
หน่วยงานในสาขาการขนส่ง (Transit Authorities)
จะมีการประเมินปรับเปลี่ยนรูปแบบของรัฐวิสาหกิจบางแห่งให้สอดคล้องกับหน้าที่และความรับผิดขอบที่กำหนดไว้ หน่วยงานใหม่นี้มีหน้าที่จัดการและดูแลคู่สัญญาเอกชนและผู้รับสัมปทาน หน่วยงานเหล่านี้อาจจัดตั้งขึ้นโดยปรับจากรัฐวิสาหกิจที่ทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยลดหน้าที่ความรับผิดชอบที่ซ้ำซ้อนของรัฐวิสาหกิจลง
การดำเนินงาน
การให้บริการเป็นหน้าที่หลักของภาคเอกชน โดยรัฐอาจจะแปรรูปหน่วยงานและบริการที่มีอยู่แล้ว และให้เอกชนรายใหม่เข้ามาดำเนินการ จะมีการจัดตั้งระบบที่เอกชนสามารถเข้ามาแข่งขันเพื่อให้บริการที่ได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่ารัฐจะสามารถลดภาระเงินอุดหนุนลง โดยคุณภาพและระดับการให้บริการยังคงดีเหมือนเดิมหรือดีขึ้นกว่าเดิม
แผนการดำเนินการ
ระยะแรกจำเป็นต้องทำการศึกษาวิเคราะห์สองส่วน ส่วนแรกคือโครงสร้างองค์กรและการกำกับดูแล ส่วนที่สองคือการศึกษาและทบทวนถึงการให้สัมปทาน และการให้ใบอนุญาตเอกชนดำเนินการที่มีอยู่เดิม ผลการศึกษาจะช่วยในการนำเสนอเพื่อปรับปรุงรูปแบบการให้สัมปทานและการให้ใบอนุญาตรวมทั้งหลักพื้นฐานในการกำกับดูแลการให้สัมปทานในอนาคต
17. สาขาพลังงาน
ประกอบด้วยรัฐวิสาหกิจ 4 แห่งคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
โครงสร้างธุรกิจในกลุ่มพลังงานแบ่งออกเป็น 3 สาขาคือ
สาขาไฟฟ้า ประกอบด้วย กฟผ. กฟน. กฟภ. โครงการผลิตไฟฟ้าภาคเอกชน (IPP) และโครงการผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนรายย่อย (SPP) สาขาก๊าซธรรมชาติ ได้แก่ ปตท. และบริษัทก๊าซของเอกชน
สาขาน้ำมัน ได้แก่ ปตท. และบริษัทน้ำมันเชื้อเพลิงของเอกชน
สาขาไฟฟ้า การปรับโครงสร้าง
ขั้นที่ 1 กฟผ. เป็นผู้ผลิตและรับซื้อกระแสไฟฟ้าหลัก ในขั้นตอนนี้จะแปลงสภาพ กฟผ. เป็นบริษัทจำกัด โดยหน่วยธุรกิจแต่ละหน่วยของ กฟผ. จะดำเนินงานในลักษณะของศูนย์กำไร แปรรูปโรงไฟฟ้า ราชบุรีจะมีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลเพื่อหลีกเลี่ยงการดำเนินงานอย่างไม่เป็นธรรมของหน่วย ธุรกิจระบบส่งต่อผู้ผลิตไฟฟ้า
ขั้นที่ 2 กฟผ. ยังคงสถานะเป็นศูนย์กลางในการจัดหาไฟฟ้า แต่เปิดโอกาสให้บุคคลที่สามสามารถเข้าสู่ระบบส่งหรือจำหน่าย แปรรูปโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ของ กฟผ. และเริ่มแปรรูปโรงไฟฟ้าปัจจุบัน เริ่มตั้งแต่ปี 2544-2546
ขั้นที่ 3 การแข่งขันอย่างเสรีในการขายไฟฟ้าระบบส่งและการเปิดให้มีการแข่งขันในระดับลูกค้ารายย่อย ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นไป
ประเด็นสำคัญในการโครงสร้างสำหรับสาขาไฟฟ้าเพื่อให้มีการแข่งขันระหว่างภาคเอกชนมี 3 ประเด็นดังนี้
การปรับโครงสร้างหน่วยงาน ที่เกี่ยวเนื่องจะมีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลสาขาพลังงานขึ้นดูแล สพช. จะรับผิดชอบในการปรับโครงสร้างสาขาพลังงานต่อไป อย่างไรก็ตามในการดำเนินการดังกล่าว สพช. จะประสานงานกับ กฟผ. กฟน. กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อัตราค่าไฟฟ้าในตลาดแข่งขันเสรี ในปัจจุบัน ราคาค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. ขายให้ กฟน. มีอัตราสูงกว่าราคาที่ กฟผ. ขายให้แก่ กฟภ. เพื่อให้ กฟภ. ขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าได้ในราคาเดียวกับ กฟน. ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพัฒนาแนวทางในการกำหนดเงินชดเชย เพื่อส่งเสริมการแข่งขันเสรี สัญญาซื้อขายไฟฟ้าในตลาดแข่งขันเสรี เนื่องจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับผู้ผลิต ไฟฟ้ารายใหญ่ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ กฟผ. เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการซื้อและจัดหาไฟฟ้า ดังนั้นเมื่อมีการเปิดการแข่งขันเสรีจึงต้องมีการปรับปรุงสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งการปรับปรุงดังกล่าวจะอยู่บนพื้นฐานที่เป็นที่ตกลงกันของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย
สาขาก๊าซธรรมชาติ
โครงสร้างการบริหารจัดการในอนาคตคือการแข่งขันโดยเสรีดังที่เป็นอยู่ในประเทศอื่นๆ ซึ่งทำได้โดย แยกกิจการขนส่งและการจัดจำหน่ายของ ปตท. ออกจากกัน จัดให้บุคคลที่สามเข้าสู่ระบบท่อส่งก๊าซได้ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันในการให้บริการก๊าซธรรมชาติ
สาขาน้ำมัน
ธุรกิจค้าน้ำมันในประเทศไทยมีการแข่งขันสูง มีเอกชนจำนวนมากเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมการกลั่นน้ำมัน ความต้องการของตลาดเป็นตัวกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
การแปรรูปของ ปตท. มี 2 แนวทางเลือกดังนี้
การแปรรูปแบบรวมทั้งองค์กร
การแปรรูปแบบแยกธุรกิจก๊าซ
ปัจจุบัน คณะกรรมการ ปตท. ตามคำแนะนำของที่ปรึกษาของ ปตท. ได้อนุมัติการแปรรูปแบบรวมทั้งองค์กรและอยู่ในระหว่างการขออนุมัติจากรัฐบาล
การกำกับดูแล
ควรแยกหน้าที่ด้านการกำหนดนโยบายออกจากการกำกับดูแลโดยเด็ดขาด โดยการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระแยกออกมาจาก สพช. เพื่อเข้ามารับผิดชอบเรื่องของการกำกับดูแลในสาขาไฟฟ้าและก๊าซ
แผนการดำเนินงาน
การปรับโครงสร้างและการเปิดตลาดแข่งขันเสรี จำเป็นต้องได้รับการศึกษาอย่างรอบคอบจากทั้ง สพช. และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง
18. รัฐวิสาหกิจในสาขาอื่นๆ
ประกอบด้วยรัฐวิสาหกิจ 42 แห่ง ซึ่งแบ่งย่อยออกได้เป็น 5 กลุ่มคือ ธนาคาร อุตสาหกรรม การพาณิชย์และบริการ การเกษตร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มาตรการ ศึกษาทบทวนและจำแนกรัฐวิสาหกิจในกลุ่มนี้ออกเป็น 4 ส่วนคือ
ส่วนที่1 ให้พ้นสภาพความเป็นรัฐวิสาหกิจโดยสิ้นเชิง ได้แก่ องค์การสุรา องค์การแก้ว องค์การแบตเตอรี่ องค์การฟอกหนัง โรงพิมพ์ตำรวจ บริษัท ไม้อัดไทย จำกัด
ส่วนที่ 2 ปรับปรุงองค์กรเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจำหน่ายจ่ายโอนกิจการในอนาคต ได้แก่ โรงงานยาสูบ องค์การตลาด การกีฬาแห่งประเทศไทยองค์การเภสัชกรรม สำนักงานธนานุเคราะห์
ส่วนที่ 3 แยกธุรกิจหลักและและจำหน่ายจ่ายโอนส่วนที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ได้แก่ โรงงานไพ่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ องค์การสะพานปลา องค์การสวนยาง องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย การเคหะแห่งชาติ
ส่วนที่ 4 ให้คงสภาพความเป็นรัฐวิสาหกิจและนำหลักปฏิบัติที่ดีที่สุดของภาคเอกชนมาใช้ ได้แก่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย องค์การคลังสินค้า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย องค์การ สวนพฤกษศาสตร์ สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร องค์การสวนสัตว์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
--ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ สำนักรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ กรมบัญชีกลาง--
-ยก-
เพื่อกำหนดขอบเขตและทิศทางการแปรรูปและปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจเพื่อให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ มีการกำหนดหลักการและวิธีการดำเนินการเพื่อแปรรูปรัฐวิสาหกิจสาขาต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แผนแม่บทนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นเอกสารอ้างอิงสำหรับหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ นักลงทุน พนักงานรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนประชาชนทั่วไปในช่วงที่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเกิดขึ้น
แผนแม่บทเป็นเอกสารเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเป็นหลักการและวิธีปฏิบัติเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ นอกจากนี้ ได้กำหนดระยะเวลาสำหรับกิจกรรมหลักๆ และแนวทางในการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในรัฐวิสาหกิจแต่ละสาขา
2. ความเป็นมาและเนื้อหาของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจในประเทศไทยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2504 และมีระบุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทุกฉบับ นับแต่นั้นมาได้มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปแล้วกว่า 40 แห่ง และในปัจจุบันคงเหลือรัฐวิสาหกิจอยู่ทั้งสิ้น 59 แห่ง
สืบเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจที่ประเทศไทยประสบอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ประเทศไทยต้องศึกษาแนวทางเพื่อแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นช่องทางหนึ่งที่จะกระตุ้นสภาพเศรษฐกิจได้เพราะจะช่วยลดภาระของรัฐในการอุดหนุนรัฐวิสาหกิจ การแปรรูปจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินการ ช่วยดึงดูดเงินลงทุน เทคโนโลยี และวิธีการบริหารจัดการ ช่วยลดภาระหนี้สินของภาครัฐและสร้างความมั่นใจในฐานะการเงินของประเทศ ตลาดทุนไทย ตลอดจนบริษัทเอกชนไทยให้กลับคืนมา
รัฐบาลจึงได้ระบุไว้ในจดหมายแสดงเจตจำนงต่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศว่าจะเร่งแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ลดภาระหนี้ของภาครัฐ เปิดให้มีการแข่งขันโดยเสรี กระตุ้นให้ประสิทธิภาพงานเพิ่มขึ้น และให้คงสวัสดิการต่างๆ ของพนักงานไว้ ในการนี้จึงได้จัดตั้งคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ขึ้น เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการแปรรูป เร่งแปรรูปรัฐวิสาหกิจบางแห่งที่สามารถทำได้โดยเร็ว คัดเลือกและว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อจัดทำแผนแม่บทการแปรรูปฉบับนี้ขึ้น เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าการปฏิรูปนั้นมีรากฐานที่เข้มแข็งและกรอบการทำงานภายในอนาคตอันใกล้
3. รายละเอียดสถานการณ์ปัจจุบันของรัฐวิสาหกิจ
ปัจจุบันมีรัฐวิสาหกิจอยู่ภายใต้การดูแลจำนวน 59 แห่ง ซึ่งอาจแบ่งออกได้เป็น 5 สาขาหลักด้วยกันคือ สาขาโทรคมนาคมและสื่อสาร ประปา พลังงาน ขนส่งและรัฐวิสาหกิจอื่นๆ (ซึ่งประกอบด้วย อุตสาหกรรม สังคม เทคโนโลยี การค้าและบริการ เกษตร และสถาบันการเงิน)
สำหรับการโทรคมนาคมสื่อสาร ประปา พลังงาน และขนส่งนั้น อาจกล่าวได้ว่าที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจเป็นผู้ที่กำหนดบทบาทการดำเนินธุรกิจของสาขานั้นๆ มาโดยตลอด รัฐวิสาหกิจหลายแห่งยังอยู่ในระบบผูกขาดหรือกึ่งผูกขาด และต้องการเงินลงทุนหรือเงินสนับสนุนจำนวนมากจากรัฐบาลและการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมจะลดภาระภาครัฐ และเพิ่มการบริการให้ทั่วถึงและเกิดการแข่งขันมากขึ้น
ในปัจจุบันมีพนักงานรัฐวิสาหกิจประมาณ 320,000 คน ในจำนวนนี้เป็นพนักงานของรัฐวิสาหกิจ ขนาดใหญ่ 10 แห่ง มากกว่า 226,000 คน
4. คำจำกัดความ เป้าหมาย วัตถุประสงค์ และผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการแปรรูป รัฐวิสาหกิจ
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้นในที่นี้หมายถึงการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจเพราะขั้นตอนจะประกอบด้วยการปรับโครงสร้างองค์กร การปรับองค์กรกำกับดูแลและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกเหนือไปจากกระบวนการแปรรูป รัฐได้กำหนดวัตถุประสงค์ และประโยชน์ของการแปรรูปทั้งด้านโครงสร้างด้านการเงินและด้านสังคมไว้อย่างชัดเจน (สรุปดูได้จากเตารางที่ 1 แนบท้าย)
5. บทบาทความรับผิดชอบของผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
แผนแม่บทในส่วนนี้อธิบายขั้นตอนต่างๆ ที่จะนำมาใช้ในการประสานงานและควบคุมดูแลการแปรรูป เพื่อให้มีความกระชับ มีประสิทธิภาพและเกิดความโปร่งใส นอกจากนี้ยังระบุรายละเอียดของการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในทุกขั้นตอนด้วย
5.1 โครงสร้างคณะกรรมการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ
เสนอให้รวมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) เข้ากับคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะจัดตั้งขึ้นภายใต้กรอบของกฎหมายทุนรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการชุดใหม่นี้จะมีสำนักงานรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นฝ่ายเลขานุการ ส่วนคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) จะยังคงมีหน้าที่และความรับผิดชอบด้านการแปรรูปสาขาพลังงานเช่นเดิม
5.2 บทบาทและความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ(ตารางแนบท้าย 2)
5.3 โครงการที่ริเริ่มโดยนักลงทุนและศูนย์ข้อมูลสำหรับนักลงทุน
เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจมากยิ่งขึ้น รัฐจะอำนวยความสะดวกโดยให้เอกชนสามารถยื่นโครงการได้หลายระดับ ตั้งแต่ระดับรัฐวิสาหกิจ กระทรวงเจ้าสังกัดหรือสำนักรัฐวิสาหกิจ
นอกจากนี้ จะมีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลสำหรับนักลงทุนซึ่งอาจอยู่ภายใต้สำนักรัฐวิสาหกิจหรือสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับระยะเวลาของการแปรรูป รูปแบบ ข้อกำหนดของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้นๆ ด้วย
6. บทบาทของรัฐในอนาคต
ในอนาคตรัฐจะลดบทบาทลงโดยจะเป็นเพียงผู้กำหนดนโยบายและผู้กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจเท่านั้น แต่จะ ไม่เป็นผู้ให้บริการดังที่เคยเป็นมา กิจการที่เอกชนสามารถดำเนินการได้ดีกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่าจะมอบหมายให้เอกชนรับไปดำเนินการ ภาครัฐจะยังคงดำเนินกิจการเฉพาะกิจการที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์แห่งชาติ ด้านสังคมหรือในกิจการที่ไม่ให้ผลตอบแทนเชิงพาณิชย์แต่มีความจำเป็นต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ในส่วนที่ให้เอกชนรับไปดำเนินการ รัฐอาจจะดำรงสัดส่วนความเป็นเจ้าของในฐานะผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25.1 เพื่อให้รัฐมีสิทธิและอำนาจยับยั้งการดำเนินการซึ่งรัฐไม่เห็นชอบ
7. การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎหมาย
กฎหมายที่อาจมีผลต่อการแปรรูปรัฐวิสาหกิจมีดังนี้คือ พรบ. กำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด หลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ประมวลรัษฎากร พรบ. ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า ประมวลกฎหมายที่ดิน พรบ. คุ้มครองแรงงาน พรบ. ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือ
ดำเนินงานในกิจการของรัฐ ร่าง พรบ. ทุนรัฐวิสาหกิจ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2541 มาตรา 49 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัทและพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน พรบ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวข้างต้นจำเป็นต้องใช้เวลานาน ทางบริษัทที่ปรึกษาจึงเสนอให้มีการออกกฎหมายปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงกฎหมายดังกล่าว และเพื่อออกกฎหมายหลักเพื่อจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลรายสาขา
8. การกำกับดูแล
กรอบการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจในอนาคตจะมีการแบ่งแยกชัดเจน กล่าวคือหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนโยบาย ด้านกำกับดูแล และด้านปฏิบัติงานจะแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด
8.1 หลักการของการกำกับดูแล
เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันโดยเสรี ในขณะเดียวกันหน่วยงานที่มีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลมีหน้าที่พิทักษ์ประโยชน์ของผู้บริโภค ตลอดจนให้ความมั่นใจแก่นักลงทุนว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างเป็นธรรม
8.2 บทบาท ความรับผิดชอบ และหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับดูแล และหน่วยงานที่กำกับนโยบาย
คณะกรรมการกำกับดูแลมีหน้าที่ ออกใบอนุญาต ติดตามประเมินผลและควบคุมราคา ตรวจสอบ และกำหนดค่าบริการ ควบคุมคุณภาพการให้บริการ ควบคุมการเข้าถึงเครือข่าย กำกับดูแลให้มีการแข่งขันโดยเสรี รับฟังความคิดเห็นของผู้บริโภค ให้คำปรึกษาต่อรัฐบาลในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่กำกับดูแลอยู่ ฯลฯ
คณะรัฐมนตรี โดยกระทรวงเจ้าสังกัดมีหน้าที่กำหนดนโยบายและพิจารณาคำร้องอุทธรณ์ต่างๆ กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์สำหรับแต่ละสาขา ร่างกฎหมาย กำหนดนโยบายทุน พิจารณาขอบข่ายของการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน กำหนดนโยบายกว้างๆ เกี่ยวกับค่าบริการ ฯลฯ
8.3 โครงสร้างองค์กรและบุคลากร
รูปแบบโครงสร้างองค์กรจะเป็นลักษณะคณะกรรมการ รายละเอียดในส่วนนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาเพื่อจัดทำ
8.4 การแต่งตั้งกรรมการ
สำนักนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้เสนอรายชื่อกรรมการในองค์กรกำกับดูแลให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการในแต่ละสาขา
9. รูปแบบและวิธีการในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
รูปแบบและวิธีการแปรรูปหลักๆ ที่จะดำเนินการมีดังนี้
การเสนอขายหุ้นให้ต่อสาธารณชน
การเสนอขายหุ้นให้แก่พันธมิตรร่วมทุนโดยเฉพาะเจาะจง/การร่วมทุน
การซื้อกิจการโดยฝ่ายจัดการ
การยุบเลิกและจำหน่ายจ่ายโอนกิจการ
แปลงหนี้เป็นหุ้น
พันธบัตร/สัญญาให้สิทธิ
สัญญาการบริหารจัดการ
สัญญาเช่า
สัญญาให้สัมปทาน
สร้าง,ดำเนินการ,โอน (BOT)
สร้าง, เป็นเจ้าของกิจการ, ดำเนินการ, โอน (BOOT)
การให้เอกชนลงทุนดำเนินการแต่รัฐรับซื้อผลผลิต (BOO)
เอกชนสร้าง โอนทรัพย์สินให้รัฐภายใต้ข้อตกลงในสัญญา (BTO)
การสร้างการแข่งขัน การกำกับดูแล การเปิดเสรี
คณะกรรมการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจมีหน้าที่รับผิดชอบในการอนุมัติแผนแปรรูป และดูแลให้การแปรรูปเป็นไปอย่างโปร่งใสและในเวลาที่เหมาะสม
10. การจัดสรรรายได้จากการแปรรูป
การจัดสรรรายได้จากการแปรรูปจะดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งกำหนดให้นำส่งร้อยละ 50 ของรายได้จากการจำหน่ายหุ้นในรัฐวิสาหกิจที่รัฐเป็นเจ้าของเป็นรายได้ของแผ่นดินเพื่อสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายด้านการศึกษา การสาธารณสุข การเกษตร การสวัสดิการแรงงาน และการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานในชนบท และอีกร้อยละ 50 นำส่งให้กองทุนเพื่อการชำระคืนเงินกู้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
กรณีรัฐวิสาหกิจจำหน่ายหุ้นในบริษัทลูก หรือจำหน่ายทรัพย์สินหรือกิจการ ให้จัดสรรรายได้จากการขายหุ้นบางส่วนเป็นเงินสำรองการขยายงานและกองทุนสวัสดิการพนักงานของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบนี้ ส่วนที่เหลือร้อยละ 50 ให้นำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินเพื่อสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายด้านการศึกษา การสาธารณสุข การเกษตร การสวัสดิการแรงงาน และการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานในชนบท และอีกร้อยละ 50 นำส่งให้กองทุนเพื่อการชำระคืนเงินกู้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ในกรณีที่รัฐวิสาหกิจให้สัมปทานโดยอาศัยสิทธิ หรือทรัพย์สิน หรือกิจการหรือโครงการของรัฐวิสาหกิจนั้นแก่เอกชนในรูปแบบต่างๆ โดยเอกชนจ่ายค่าตอบแทนสำหรับการให้สัมปทานนั้นแก่รัฐวิสาหกิจ รายได้จากการแปรรูปจะเป็นไปตามกรณีรัฐวิสาหกิจจำหน่ายหุ้นในบริษัทลูก
11. ระบบธรรมรัฐ ระบบประเมินและติดตามผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ
ปรับปรุงระบบธรรมรัฐในการบริหารจัดการและการประเมินประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจเพื่อให้ สอดคล้องกับระบบของบริษัทเอกชน โดยจะดำเนินการให้มีการเสนอชื่อคณะกรรมการบริหาร กำหนด คุณสมบัติของคณะกรรมการบริหาร การแต่งตั้งและการปลดออกจากตำแหน่งตามระบบของภาคเอกชน การประเมินผลซึ่งเดิมใช้อยู่สองระบบจะปรับปรุงเปลี่ยนมาใช้วิธี “Balanced scorecard ” ซึ่งเป็นระบบที่ใช้เปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานในองค์กรระดับสากลทั่วโลก สำนักงานรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ กระทรวงการคลังได้เสนอที่จะเป็นศูนย์กลางบริหารระบบดังกล่าวนี้ นอกจากนี้จะจัดระบบข้อมูลการบริหารจัดการใหม่ รัฐวิสาหกิจทุกแห่งจะทำรายงานแบบเดียวกันทั้งหมด
12. ข้อควรคำนึงถึงในด้านสังคม แรงงานและสิ่งแวดล้อม
รัฐบาลตระหนักดีถึงความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่จะเกิดขึ้น อันเป็นผลมาจากการแปรรูป จึงกำหนดวิธีการบริหารจัดการผลกระทบดังนี้คือ
แผนการแปรรูปทุกฉบับจะต้องมีการกำหนดมาตรการเพื่อจัดการผลกระทบต่อสังคม แรงงานและ สิ่งแวดล้อม ดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบด้านอัตราค่าบริการสาธารณูปโภค ส่งเสริมให้พนักงานเตรียมพร้อมในการแปรรูป ดูแลให้พนักงานได้รับความเป็นธรรมจากโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด เป็นต้น เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการปฏิรูปนี้
การมีผลบังคับใช้ของมาตรการ โครงการที่รัฐใช้ในการสร้างความมั่นใจแก่พนักงานในการได้รับ ผลตอบแทนอย่างเต็มที่หากมีเหตุให้ออกจากงาน
การใช้มาตรการเพิ่มเติม พิจารณาจัดตั้งกองทุนสวัสดิการพนักงานของรัฐวิสาหกิจจากเงินรายได้ บางส่วนที่ได้รับจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้ความมั่นใจว่าจะมีการจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายให้แก่ผู้ถูกออกจากงาน รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งมีความรับผิดชอบเป็นลำดับแรกในการจ่ายเงินชดเชยแก่พนักงาน ส่วนกองทุนสวัสดิการพนักงานรัฐวิสาหกิจจะจ่ายเงินชดเชยเมื่อรัฐวิสาหกิจนั้นๆ ไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยได้ และจะจัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาร่วมจากภาครัฐ ภาคเอกชน และตัวแทนพนักงานเพื่อกำหนดและดูแลการจัดการกองทุน การจ่ายเงิน และการประเมินความจำเป็นตลอดจนความสามารถในการจ่ายเงินชดเชยของรัฐวิสาหกิจ
การประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปอย่างเป็นระบบ และสม่ำเสมอแก่พนักงาน รัฐวิสาหกิจ เพราะรัฐตระหนักดีถึงความต้องการของพนักงานที่ต้องการได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องน่าเชื่อถือ
13. แผนแม่บทประชาสัมพันธ์
เพื่อให้มีการสื่อสารเกี่ยวกับการแปรรูปอย่างเป็นระบบได้มีการกำหนดรูปแบบของการประชาสัมพันธ์ อย่างครอบคลุมและทั่วถึง ในทุกกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวกับขบวนการแปรรูป กลุ่มเป้าหมายได้แก่ พนักงานรัฐวิสาหกิจ นักลงทุน สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป รูปแบบการสื่อสารประชาสัมพันธ์ซึ่งจะดำเนินการในเบื้องต้นประกอบด้วย การจัดทำเว็บไซต์การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การจัดทำจดหมายข่าวรายสองเดือนแจกจ่ายให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการจัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้เรื่องการแปรรูป
แผนแม่บทการแปรรูปรัฐวิสาหกิจรายสาขา
14. สาขาโทรคมนาคมและสื่อสาร
สาขาโทรคมนาคมและสื่อสารประกอบด้วยรัฐวิสาหกิจ 3 แห่งคือ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.)
กระทรวงคมนาคมได้จัดทำแผนแม่บทการพัฒนากิจการโทรคมนาคม โดยมุ่งเน้นที่จะปฏิรูปกิจการโทรคมนาคมในภาพรวม และแปรรูปรัฐวิสาหกิจการโทรคมนาคมเพื่อให้เกิดตลาดเสรี
กิจการโทรคมนาคม
รูปแบบโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับกิจการโทรคมนาคมคือ โครงสร้าง 3 ระดับ ประกอบด้วยตลาดขั้นต้น ตลาดค้าส่ง และตลาดค้าปลีก และเปิดให้มีการแข่งขันเสรีมากขึ้นในทุกระดับ ผู้บริโภคจะมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น และได้รับบริการที่มีคุณภาพมากขึ้น
กิจการวิทยุโทรทัศน์
การรวมตัวของธุรกิจวิทยุโทรทัศน์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการแปรรูปและการเปิดเสรีของกิจการวิทยุโทรทัศน์ภายในประเทศ แผนระยะสั้นและระยะกลางสำหรับกิจการวิทยุโทรทัศน์ คือการแก้ไขกฎหมายและจัดตั้งองค์กรกำกับดูแล
กิจการไปรษณีย์
รูปแบบที่เหมาะสมคือการแยกกิจการไปรษณีย์ออกจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยจัดตั้งบริษัทจำกัดเพื่อให้บริการไปรษณีย์ และจัดทำร่างพระราชบัญญัติไปรษณีย์ขึ้นใหม่ โดยให้กิจการไปรษณีย์ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากกิจการโทรคมนาคมผ่านทางบริษัทรวมทุน
การกำกับ
การจัดให้มีองค์กรกำกับดูแลอิสระ เพื่อกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนให้เกิดการแข็งขันเสรี และก่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่อผู้บริโภค บทบาทขององค์กรกำกับดูแลอิสระควรระบุไว้ให้ชัดเจนในพระราชบัญญัติการโทรคมนาคมฉบับใหม่ เพื่อให้มีกรอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแข่งขัน การคุ้มครองผู้บริโภค ด้านเทคนิคและกฎระเบียบต่างๆ เช่นเดียวกับองค์กรอิสระด้านวิทยุโทรทัศน์และไปรษณีย์
การแปรรูป
อาจจัดตั้งบริษัทรวมทุนขึ้นเป็นการชั่วคราว เพื่อเตรียมความพร้อมของรัฐวิสาหกิจก่อนการเปิดเสรี จะได้มีการศึกษาเพิ่มเติมถึงบทบาท หน้าที่ และช่วงเวลาก่อนการเปิดตลาดเสรี
ระยะเวลา
ช่วงแรกประมาณ 2-5 ปี จะเป็นช่วงก่อนการเปิดแข่งขันเสรี ซึ่งจะมีภาวะการแข่งขันจำกัด และช่วงตั้งแต่ 2545-2548 จะเป็นช่วงเปิดการแข่งขันเสรี
15. สาขาประปา
ประกอบด้วยรัฐวิสาหกิจ 3 แห่งคือการประปานครหลวง (กปน.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) และองค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.)
การเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในกิจการประปาสามารถช่วยรัฐบาลในการให้บริการน้ำประปาแก่ประชาชนได้ และควรดำเนินการโดยการให้สัมปทาน
การประปานครหลวง อาจทำได้ 2 แนวทาง คือ แนวทางแรกแบ่งการดำเนินงานออกเป็นสองบริษัทคือกรุงเทพฯ ตะวันออก และกรุงเทพฯ ตะวันตก แนวทางที่ 2 คือการแปรรูปเป็นบริษัท กปน. จำกัด และหาพันธมิตรร่วมทุนมาร่วมดำเนินการ และบริหารโดยทำสัญญาจ้างดำเนินงาน
การประปาส่วนภูมิภาค ให้มีการแปรรูปโดย กปภ. อาจเป็นผู้ให้สัมปทานในเขตต่างๆ ผู้รับสัมปทานในแต่ละเขตจะรับผิดชอบการผลิตประปาและส่งน้ำประปา รายละเอียดในการแบ่งแยกเขตการให้สัมปทานจะศึกษาโดยละเอียดอีกครั้ง
การกำจัดน้ำเสียและการควบคุมมาตรฐานสิ่งแวดล้อม จะเป็นหน้าที่ของหน่วยงานท้องถิ่น
การแปรรูปกิจการประปาและการจัดการน้ำเสียจะดำเนินการโดยให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความพร้อมของนักลงทุนในการเข้ามามีบทบาทในภาคนี้ด้วย
การกำกับดูแล จัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระด้านการประปาขึ้น เพื่อดูแลในเรื่องค่าบริการ มาตรฐานการให้บริการ สิทธิของผู้บริโภคและแก้ไขข้อพิพาท ดูแลและปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภค
ระยะเวลาในการดำเนินการ
ด้านกฎหมายและการกำกับดูแลเสร็จสิ้นภายในปี 2542
แผนปฏิบัติการเสร็จภายในครึ่งแรกของปี 2543
จัดดำเนินการตามแผนการแปรรูปภายในครึ่งหลังของปี 2542
16. สาขาขนส่ง
ประกอบด้วยรัฐวิสาหกิจ 14 แห่ง ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มคือ
การขนส่งทางบก มี 6 รัฐวิสาหกิจได้แก่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) องค์การรถไฟฟ้ามหานคร (รฟม.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (รสพ.)
การขนส่งทางอากาศ มี 5 รัฐวิสาหกิจได้แก่ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) บริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (บทม.) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท วิทยุการบิน จำกัด (บวท.) และสถาบันการบินพลเรือน (สบพ.)
การขนส่งทางน้ำ มี 3 รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด (บทด.) และ บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด (บอท.)
รูปแบบของการแปรรูปที่ควรดำเนินการคือการแยกหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนโยบาย ด้านกำกับดูแล และด้านปฏิบัติงานออกจากกันโดยเด็ดขาด โดยให้กระทรวงคมนาคมเป็นกระทรวงที่ประมวลแนวนโยบายโดยได้รับข้อเสนอจากกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
การกำกับดูแล
องค์กรอิสระที่ทำหน้าที่กำกับดูแล จะได้รับการจัดตั้งขึ้นตามแนวทางที่กำหนดในแผนแม่บทโดยการแยกกิจกรรมด้านกำกับดูแลออกจากกระทรวงเจ้าสังกัด ซึ่งโครงสร้างดังกล่าวสามารถลดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปได้ แนวทางมีหลายแบบและจะต้องมีการศึกษาต่อไป ซึ่งอาจทำได้ 2 วิธีคือ จัดตั้งองค์กรกำกับดูแลในระดับกลุ่ม บก เรือ อากาศ หรือตั้งองค์กรกำกับดูแลในกลุ่มย่อยลงไป
หน่วยงานในสาขาการขนส่ง (Transit Authorities)
จะมีการประเมินปรับเปลี่ยนรูปแบบของรัฐวิสาหกิจบางแห่งให้สอดคล้องกับหน้าที่และความรับผิดขอบที่กำหนดไว้ หน่วยงานใหม่นี้มีหน้าที่จัดการและดูแลคู่สัญญาเอกชนและผู้รับสัมปทาน หน่วยงานเหล่านี้อาจจัดตั้งขึ้นโดยปรับจากรัฐวิสาหกิจที่ทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยลดหน้าที่ความรับผิดชอบที่ซ้ำซ้อนของรัฐวิสาหกิจลง
การดำเนินงาน
การให้บริการเป็นหน้าที่หลักของภาคเอกชน โดยรัฐอาจจะแปรรูปหน่วยงานและบริการที่มีอยู่แล้ว และให้เอกชนรายใหม่เข้ามาดำเนินการ จะมีการจัดตั้งระบบที่เอกชนสามารถเข้ามาแข่งขันเพื่อให้บริการที่ได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่ารัฐจะสามารถลดภาระเงินอุดหนุนลง โดยคุณภาพและระดับการให้บริการยังคงดีเหมือนเดิมหรือดีขึ้นกว่าเดิม
แผนการดำเนินการ
ระยะแรกจำเป็นต้องทำการศึกษาวิเคราะห์สองส่วน ส่วนแรกคือโครงสร้างองค์กรและการกำกับดูแล ส่วนที่สองคือการศึกษาและทบทวนถึงการให้สัมปทาน และการให้ใบอนุญาตเอกชนดำเนินการที่มีอยู่เดิม ผลการศึกษาจะช่วยในการนำเสนอเพื่อปรับปรุงรูปแบบการให้สัมปทานและการให้ใบอนุญาตรวมทั้งหลักพื้นฐานในการกำกับดูแลการให้สัมปทานในอนาคต
17. สาขาพลังงาน
ประกอบด้วยรัฐวิสาหกิจ 4 แห่งคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
โครงสร้างธุรกิจในกลุ่มพลังงานแบ่งออกเป็น 3 สาขาคือ
สาขาไฟฟ้า ประกอบด้วย กฟผ. กฟน. กฟภ. โครงการผลิตไฟฟ้าภาคเอกชน (IPP) และโครงการผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนรายย่อย (SPP) สาขาก๊าซธรรมชาติ ได้แก่ ปตท. และบริษัทก๊าซของเอกชน
สาขาน้ำมัน ได้แก่ ปตท. และบริษัทน้ำมันเชื้อเพลิงของเอกชน
สาขาไฟฟ้า การปรับโครงสร้าง
ขั้นที่ 1 กฟผ. เป็นผู้ผลิตและรับซื้อกระแสไฟฟ้าหลัก ในขั้นตอนนี้จะแปลงสภาพ กฟผ. เป็นบริษัทจำกัด โดยหน่วยธุรกิจแต่ละหน่วยของ กฟผ. จะดำเนินงานในลักษณะของศูนย์กำไร แปรรูปโรงไฟฟ้า ราชบุรีจะมีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลเพื่อหลีกเลี่ยงการดำเนินงานอย่างไม่เป็นธรรมของหน่วย ธุรกิจระบบส่งต่อผู้ผลิตไฟฟ้า
ขั้นที่ 2 กฟผ. ยังคงสถานะเป็นศูนย์กลางในการจัดหาไฟฟ้า แต่เปิดโอกาสให้บุคคลที่สามสามารถเข้าสู่ระบบส่งหรือจำหน่าย แปรรูปโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ของ กฟผ. และเริ่มแปรรูปโรงไฟฟ้าปัจจุบัน เริ่มตั้งแต่ปี 2544-2546
ขั้นที่ 3 การแข่งขันอย่างเสรีในการขายไฟฟ้าระบบส่งและการเปิดให้มีการแข่งขันในระดับลูกค้ารายย่อย ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นไป
ประเด็นสำคัญในการโครงสร้างสำหรับสาขาไฟฟ้าเพื่อให้มีการแข่งขันระหว่างภาคเอกชนมี 3 ประเด็นดังนี้
การปรับโครงสร้างหน่วยงาน ที่เกี่ยวเนื่องจะมีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลสาขาพลังงานขึ้นดูแล สพช. จะรับผิดชอบในการปรับโครงสร้างสาขาพลังงานต่อไป อย่างไรก็ตามในการดำเนินการดังกล่าว สพช. จะประสานงานกับ กฟผ. กฟน. กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อัตราค่าไฟฟ้าในตลาดแข่งขันเสรี ในปัจจุบัน ราคาค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. ขายให้ กฟน. มีอัตราสูงกว่าราคาที่ กฟผ. ขายให้แก่ กฟภ. เพื่อให้ กฟภ. ขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าได้ในราคาเดียวกับ กฟน. ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพัฒนาแนวทางในการกำหนดเงินชดเชย เพื่อส่งเสริมการแข่งขันเสรี สัญญาซื้อขายไฟฟ้าในตลาดแข่งขันเสรี เนื่องจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับผู้ผลิต ไฟฟ้ารายใหญ่ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ กฟผ. เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการซื้อและจัดหาไฟฟ้า ดังนั้นเมื่อมีการเปิดการแข่งขันเสรีจึงต้องมีการปรับปรุงสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งการปรับปรุงดังกล่าวจะอยู่บนพื้นฐานที่เป็นที่ตกลงกันของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย
สาขาก๊าซธรรมชาติ
โครงสร้างการบริหารจัดการในอนาคตคือการแข่งขันโดยเสรีดังที่เป็นอยู่ในประเทศอื่นๆ ซึ่งทำได้โดย แยกกิจการขนส่งและการจัดจำหน่ายของ ปตท. ออกจากกัน จัดให้บุคคลที่สามเข้าสู่ระบบท่อส่งก๊าซได้ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันในการให้บริการก๊าซธรรมชาติ
สาขาน้ำมัน
ธุรกิจค้าน้ำมันในประเทศไทยมีการแข่งขันสูง มีเอกชนจำนวนมากเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมการกลั่นน้ำมัน ความต้องการของตลาดเป็นตัวกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
การแปรรูปของ ปตท. มี 2 แนวทางเลือกดังนี้
การแปรรูปแบบรวมทั้งองค์กร
การแปรรูปแบบแยกธุรกิจก๊าซ
ปัจจุบัน คณะกรรมการ ปตท. ตามคำแนะนำของที่ปรึกษาของ ปตท. ได้อนุมัติการแปรรูปแบบรวมทั้งองค์กรและอยู่ในระหว่างการขออนุมัติจากรัฐบาล
การกำกับดูแล
ควรแยกหน้าที่ด้านการกำหนดนโยบายออกจากการกำกับดูแลโดยเด็ดขาด โดยการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระแยกออกมาจาก สพช. เพื่อเข้ามารับผิดชอบเรื่องของการกำกับดูแลในสาขาไฟฟ้าและก๊าซ
แผนการดำเนินงาน
การปรับโครงสร้างและการเปิดตลาดแข่งขันเสรี จำเป็นต้องได้รับการศึกษาอย่างรอบคอบจากทั้ง สพช. และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง
18. รัฐวิสาหกิจในสาขาอื่นๆ
ประกอบด้วยรัฐวิสาหกิจ 42 แห่ง ซึ่งแบ่งย่อยออกได้เป็น 5 กลุ่มคือ ธนาคาร อุตสาหกรรม การพาณิชย์และบริการ การเกษตร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มาตรการ ศึกษาทบทวนและจำแนกรัฐวิสาหกิจในกลุ่มนี้ออกเป็น 4 ส่วนคือ
ส่วนที่1 ให้พ้นสภาพความเป็นรัฐวิสาหกิจโดยสิ้นเชิง ได้แก่ องค์การสุรา องค์การแก้ว องค์การแบตเตอรี่ องค์การฟอกหนัง โรงพิมพ์ตำรวจ บริษัท ไม้อัดไทย จำกัด
ส่วนที่ 2 ปรับปรุงองค์กรเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจำหน่ายจ่ายโอนกิจการในอนาคต ได้แก่ โรงงานยาสูบ องค์การตลาด การกีฬาแห่งประเทศไทยองค์การเภสัชกรรม สำนักงานธนานุเคราะห์
ส่วนที่ 3 แยกธุรกิจหลักและและจำหน่ายจ่ายโอนส่วนที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ได้แก่ โรงงานไพ่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ องค์การสะพานปลา องค์การสวนยาง องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย การเคหะแห่งชาติ
ส่วนที่ 4 ให้คงสภาพความเป็นรัฐวิสาหกิจและนำหลักปฏิบัติที่ดีที่สุดของภาคเอกชนมาใช้ ได้แก่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย องค์การคลังสินค้า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย องค์การ สวนพฤกษศาสตร์ สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร องค์การสวนสัตว์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
--ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ สำนักรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ กรมบัญชีกลาง--
-ยก-