อุตสาหกรรมเซรามิก เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นส่วนใหญ่การผลิตจะใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก เป็นอุตสาหกรรมที่สนองนโยบายของรัฐในการสร้างงานและกระจายรายได้ไปสู่ภูมิภาค จึงนับว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญอุตสาหกรรมหนึ่ง
1. การผลิต
การผลิตเซรามิกยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตของแต่ละโรงงานเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ ที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องแต่การขยายตัวจะชะลอตัวลงจากภาวะที่ร้อนแรงเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งเกิดจากมาตรการควบคุมการปล่อย สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย และการยกเลิกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ ที่เริ่มสะท้อนภาพที่ชัดเจนขึ้น เนื่องจากกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ถูกดึงไปใช้ในช่วงปี 2546 ทำให้ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างทั้ง กระเบื้องปูพื้น บุผนัง และเครื่องสุขภัณฑ์เริ่มชะลอตัวลง และไม่ร้อนแรงเท่ากับปีที่ผ่านมา โดยในปี 2547 การผลิต กระเบื้องปูพื้น บุผนัง มีประมาณ 142.16 ล้านตารางเมตร ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ในอัตราร้อยละ 18.28 และการผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ มีประมาณ 7.79 ล้านชิ้น ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ในอัตราร้อยละ 6.65 (ดังตารางที่ 1)
2. การตลาด
2.1 ตลาดในประเทศ
การจำหน่ายเซรามิกในประเทศยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่จะชะลอตัวลงเล็กน้อย ตามภาวะการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศที่ลดความรุนแรงลงบ้าง โดยในปี 2547 มีการจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น บุผนัง ประมาณ 151.63 ล้านตารางเมตร ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ในอัตราร้อยละ 8.72 สำหรับเครื่องสุขภัณฑ์ มีการจำหน่ายประมาณ 4.36 ล้านชิ้น ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ในอัตราร้อยละ 20.27 (ดังตารางที่ 1)
การจำหน่ายเซรามิกในประเทศมีการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ในขณะที่ราคาจำหน่ายเซรามิกในประเทศเริ่มมีแนวโน้มปรับราคาสูงขึ้น จากผลกระทบของราคาน้ำมันในตลาดโลก ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายมีนโยบายเน้นตลาดระดับกลางถึงบนมากขึ้น เพื่อยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าของตน โดยให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ พัฒนาการออกแบบ พัฒนากลยุทธ์การตลาด ทั้งโฆษณาผ่านสื่อ เพิ่มตัวแทนจำหน่ายปรับปรุงดิสเพลย์ เพิ่มจุดแสดงสินค้าให้มากขึ้น รวมทั้งเข้าร่วมงานนิทรรศการและงานแสดงสินค้าต่าง ๆ
2.2 การส่งออก
การส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิกส่วนใหญ่จะส่งไปยังประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลียไต้หวัน แคนาดา เยอรมนี ฮ่องกง เกาหลีใต้ และประเทศในกลุ่มอาเซียน เป็นต้น
ในปี 2547 การส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิก มีมูลค่ารวมประมาณ 540.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ในอัตราร้อยละ 3.01 (ดังตารางที่ 2) ซึ่งเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดหลักของผลิตภัณฑ์กระเบื้องปูพื้น บุผนัง ในขณะที่ผลิตภัณฑ์อื่นการส่งออกกลับมีอัตราขยายตัว ลดลงในตลาดหลักเกือบทุกตลาด
2.3 การนำเข้า
การนำเข้าผลิตภัณฑ์เซรามิก ในปี 2547 จะมีมูลค่าประมาณ 219.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ในอัตราร้อยละ 41.59 (ดังตารางที่ 2) ซึ่งส่วนใหญ่จะนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น จีน เยอรมนี มาเลเซีย อินโดนีเซีย อิตาลี สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ สเปน และไต้หวัน เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการขยายตัวจากการนำเข้าสูง ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี ราคาสูง ไม่สามารถผลิตได้ในประเทศ ได้แก่ อิฐทนไฟ และเครื่องมือที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ ซึ่งนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น และผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนต่ำกว่าการผลิตในประเทศ โดยเฉพาะกระเบื้องปูพื้น บุผนัง ที่นำเข้าจากประเทศจีน
3. สรุป
การผลิตและจำหน่ายเซรามิกในประเทศ โดยเฉพาะเซรามิกที่ใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง ซึ่งได้แก่กระเบื้องปูพื้น บุผนัง และเครื่องสุขภัณฑ์ ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการขยายตัวของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ แม้ว่าการขยายตัวจะไม่ร้อนแรงเท่ากับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย และการยกเลิกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐ ตลอดจนอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น แต่การผลิตและจำหน่ายเซรามิกยังคงมีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากตลาดหลักของการจำหน่ายเซรามิกยังคงเป็นกลุ่มที่ซื้อเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ที่ประสบภัยพิบัติซึ่งจำเป็นต้องเร่งฟื้นฟูธุรกิจการท่องเที่ยว และซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก สำหรับราคาจำหน่ายเซรามิกเริ่มมีแนวโน้มปรับราคาสูงขึ้นจากผลกระทบด้านราคาน้ำมัน ในส่วนของการส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิกยังคงมีอัตราการขยายตัว สูงขึ้น และมีแนวโน้มที่ดี อย่างไรก็ตาม จากภาวะค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออก ผลิตภัณฑ์เซรามิกได้
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
1. การผลิต
การผลิตเซรามิกยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตของแต่ละโรงงานเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ ที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องแต่การขยายตัวจะชะลอตัวลงจากภาวะที่ร้อนแรงเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งเกิดจากมาตรการควบคุมการปล่อย สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย และการยกเลิกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ ที่เริ่มสะท้อนภาพที่ชัดเจนขึ้น เนื่องจากกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ถูกดึงไปใช้ในช่วงปี 2546 ทำให้ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างทั้ง กระเบื้องปูพื้น บุผนัง และเครื่องสุขภัณฑ์เริ่มชะลอตัวลง และไม่ร้อนแรงเท่ากับปีที่ผ่านมา โดยในปี 2547 การผลิต กระเบื้องปูพื้น บุผนัง มีประมาณ 142.16 ล้านตารางเมตร ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ในอัตราร้อยละ 18.28 และการผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ มีประมาณ 7.79 ล้านชิ้น ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ในอัตราร้อยละ 6.65 (ดังตารางที่ 1)
2. การตลาด
2.1 ตลาดในประเทศ
การจำหน่ายเซรามิกในประเทศยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่จะชะลอตัวลงเล็กน้อย ตามภาวะการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศที่ลดความรุนแรงลงบ้าง โดยในปี 2547 มีการจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น บุผนัง ประมาณ 151.63 ล้านตารางเมตร ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ในอัตราร้อยละ 8.72 สำหรับเครื่องสุขภัณฑ์ มีการจำหน่ายประมาณ 4.36 ล้านชิ้น ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ในอัตราร้อยละ 20.27 (ดังตารางที่ 1)
การจำหน่ายเซรามิกในประเทศมีการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ในขณะที่ราคาจำหน่ายเซรามิกในประเทศเริ่มมีแนวโน้มปรับราคาสูงขึ้น จากผลกระทบของราคาน้ำมันในตลาดโลก ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายมีนโยบายเน้นตลาดระดับกลางถึงบนมากขึ้น เพื่อยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าของตน โดยให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ พัฒนาการออกแบบ พัฒนากลยุทธ์การตลาด ทั้งโฆษณาผ่านสื่อ เพิ่มตัวแทนจำหน่ายปรับปรุงดิสเพลย์ เพิ่มจุดแสดงสินค้าให้มากขึ้น รวมทั้งเข้าร่วมงานนิทรรศการและงานแสดงสินค้าต่าง ๆ
2.2 การส่งออก
การส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิกส่วนใหญ่จะส่งไปยังประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลียไต้หวัน แคนาดา เยอรมนี ฮ่องกง เกาหลีใต้ และประเทศในกลุ่มอาเซียน เป็นต้น
ในปี 2547 การส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิก มีมูลค่ารวมประมาณ 540.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ในอัตราร้อยละ 3.01 (ดังตารางที่ 2) ซึ่งเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดหลักของผลิตภัณฑ์กระเบื้องปูพื้น บุผนัง ในขณะที่ผลิตภัณฑ์อื่นการส่งออกกลับมีอัตราขยายตัว ลดลงในตลาดหลักเกือบทุกตลาด
2.3 การนำเข้า
การนำเข้าผลิตภัณฑ์เซรามิก ในปี 2547 จะมีมูลค่าประมาณ 219.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ในอัตราร้อยละ 41.59 (ดังตารางที่ 2) ซึ่งส่วนใหญ่จะนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น จีน เยอรมนี มาเลเซีย อินโดนีเซีย อิตาลี สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ สเปน และไต้หวัน เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการขยายตัวจากการนำเข้าสูง ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี ราคาสูง ไม่สามารถผลิตได้ในประเทศ ได้แก่ อิฐทนไฟ และเครื่องมือที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ ซึ่งนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น และผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนต่ำกว่าการผลิตในประเทศ โดยเฉพาะกระเบื้องปูพื้น บุผนัง ที่นำเข้าจากประเทศจีน
3. สรุป
การผลิตและจำหน่ายเซรามิกในประเทศ โดยเฉพาะเซรามิกที่ใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง ซึ่งได้แก่กระเบื้องปูพื้น บุผนัง และเครื่องสุขภัณฑ์ ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการขยายตัวของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ แม้ว่าการขยายตัวจะไม่ร้อนแรงเท่ากับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย และการยกเลิกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐ ตลอดจนอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น แต่การผลิตและจำหน่ายเซรามิกยังคงมีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากตลาดหลักของการจำหน่ายเซรามิกยังคงเป็นกลุ่มที่ซื้อเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ที่ประสบภัยพิบัติซึ่งจำเป็นต้องเร่งฟื้นฟูธุรกิจการท่องเที่ยว และซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก สำหรับราคาจำหน่ายเซรามิกเริ่มมีแนวโน้มปรับราคาสูงขึ้นจากผลกระทบด้านราคาน้ำมัน ในส่วนของการส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิกยังคงมีอัตราการขยายตัว สูงขึ้น และมีแนวโน้มที่ดี อย่างไรก็ตาม จากภาวะค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออก ผลิตภัณฑ์เซรามิกได้
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-