ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ชี้แจงไม่เห็นด้วยกับการใช้เงินตรึงราคาน้ำมันแต่สนับสนุนให้รัฐบาลขยับราคาน้ำมันอย่างค่อย
เป็นค่อยไป ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่ ธปท.ชี้แจงในที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่
8 มี.ค.ที่ผ่านมาว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้เงิน 72,000 ล้านบาท เพื่อตรึงราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา แต่ควรนำเงิน
จำนวนนี้ไปสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในด้านการขนส่งเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนจะมีประโยชน์
มากกว่า แต่ไม่ใช่หมายความว่า ธปท.ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลในการตรึงราคาน้ำมันดีเซล เพราะขณะนี้
รัฐบาลได้ลอยตัวราคาน้ำมันเบนซินไปแล้ว และกำลังทยอยปรับราคาน้ำมันดีเซลขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นการ
ดำเนินการที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งแม้ว่าจะไม่ปล่อยลอยตัวในขณะนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจให้เกิดความเสีย
หายแต่อย่างใด ขณะที่ นรม.กล่าวว่า รัฐบาลต้องปล่อยลอยตัวน้ำมันดีเซลให้เป็นไปตามกลไกลตลาดแน่นอน แต่ต้อง
ดำเนินการอย่างมีขั้นตอน (บ้านเมือง, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคทุกตัวของไทยในเดือน ก.พ.48 ปรับตัวลดลง ผอ.ศูนย์พยากรณ์
เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.พ.48 ว่า ดัชนีความ
เชื่อมั่นทุกรายการปรับตัวลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวสูงขึ้นทั้งราคาน้ำมันดีเซลและ
เบนซิน โดยเฉพาะการปรับราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 60 สตางค์/ลิตรเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี 2 เดือน นับตั้งแต่
การตรึงราคาเมื่อวันที่ 10 ม.ค.47 นอกจากนี้ผู้บริโภคยังวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากคลื่น
ยักษ์สึนามิ ความไม่สงบในภาคใต้ และการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดย
รวมอยู่ที่ระดับ 88.7 ลดลงจากเดือน ม.ค.48 ที่อยู่ที่ระดับ 90.9 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดย
รวมอยู่ที่ 87.5 เท่ากับดัชนีเดิม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 103.9 ลดลงจากดัชนีเดิมอยู่
ที่ 105.1 ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 92.9 ลดลงจากเดือนม.ค.ที่อยู่ที่ระดับ 94.6 โดย
ดัชนีเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 100 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และมีแนวโน้มว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยัง
คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวระหว่างร้อยละ 5.2-5.7 เงินเฟ้ออยู่ที่ระดับร้อยละ 3.0-3.5 การส่งออก
ขยายตัวร้อยละ 15 จะขาดดุลการค้า 2,300 ล้านดอลลาร์ สรอ. ดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น 3,000 ล้านดอลลาร์
สรอ. (ข่าวสด, เดลินิวส์, โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ
3. ฟิทช์คงเรทติ้งไทยที่ระดับ BBB พร้อมประเมินจีดีพีไทยปีนี้ขยายตัวร้อยละ 5.0-6.0 แม้ภาคการ
บริโภคอ่อนตัว กรรมการอาวุโส บ.ฟิทช์ เรทติ้งส์ เปิดเผยว่า ฟิทช์ยังคงระดับความน่าเชื่อถือของไทยไว้ที่ BBB
เนื่องจากมองว่า ปีนี้ไทยจะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจประมาณร้อยละ 5.0-6.0 โดยแรงขับเคลื่อนหลักจะ
มาจากการลงทุนในเมกะโปรเจ็ก โดยรัฐบาลได้ประกาศว่าภายใน 4-5 ปีจะใช้เงินลงทุนในเมกะโปรเจ็ก
ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท ส่วนภาคการบริโภคนั้นประเมินว่าจะอ่อนตัวลง เนื่องจากมีปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ย
และราคาน้ำมันมากระทบ อย่างไรก็ตาม ฟิทช์มีความกังวลเรื่องการหาแหล่งเงินลงทุนของภาครัฐบาลว่าจะเป็นของ
รัฐบาลเองหรือจะหาจากแหล่งอื่น ซึ่งหากรัฐบาลหาเงินลงทุนจากแหล่งอื่นจะส่งผลต่อความแข็งแกร่งของฐานะทาง
การเงินมากน้อยเพียงใด (กรุงเทพธุรกิจ)
4. ธอส.คาดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ประมาณร้อยละ 0.25 ในปลายเดือนมี.ค.นี้ กรรมการผู้
จัดการ ธ.อาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ภายในเดือน เม.ย.-พ.ค.48 ธอส.เตรียมออกสินเชื่อบ้าน
อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปี ที่ร้อยละ 5.5 หลังจากนั้นเป็นอัตราดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์ หรือสามารถเลือกต่ออายุอัตรา
ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี หรือ 5 ปี ณ อัตราดอกเบี้ยขณะนั้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องรีไฟแนนซ์เพื่อขอกู้กับ ธพ.อื่น คาดว่า
จะมีผู้สนใจจำนวนมาก เนื่องจากเชื่อว่าแนวโน้มดอกเบี้ยในอนาคตจะปรับขึ้น ปีนี้ ธอส.จะพยายามตรึงอัตรา
ดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.0, 4.0 และ 5.0 ใน 3 ปีแรกให้นานที่สุด ขณะที่ ธพ.ทั่วไปจะอิงอัตราดอกเบี้ยลอยตัว
เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ภายในปลายเดือน มี.ค.นี้ ธอส.จะตัดสินใจเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง คาดว่าจะขึ้น
อย่างน้อยประมาณร้อยละ 0.25 เพื่อให้ลูกค้าของ ธอส.กระทบน้อยที่สุด โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของ ธอส.กว่าร้อยละ
50 ของลูกค้าทั้งหมดเลือกใช้ดอกเบี้ยแบบคงที่ 3-5 ปี หรือประมาณ 500,000 ราย และ ธอส.จะไม่ยกเลิก
นโยบายดอกเบี้ยคงที่ออกไปแต่อย่างใด (ข่าวสด, เดลินิวส์, โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1 อุตสาหกรรมการผลิตของอังกฤษในเดือนม.ค. เพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมาย รายงานจากลอนดอน
เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 48 สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (Office for National Statistics -ONS) เปิด
เผยว่า อุตสาหกรรมการผลิตของอังกฤษในเดือนม.ค. ขยายตัวร้อยละ 0.2 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
ขยายตัวถึงร้อยละ 1.4 สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 47 และเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกันที่ยาวนานที่สุดโดยไม่มีการ
ลดลงในระยะเวลามากกว่า 4 ปี ซึ่งก่อนหน้านั้นได้มีการคาดการณ์ไว้ว่าตัวเลขอุตสาหกรรมการผลิตดังกล่าวจะไม่
เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่แล้ว และจากการที่ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักทำให้นักวิเคราะห์ 50 คนคาด
ว่าในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้ ธ.กลางอังกฤษจะคงระดับอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 4.75 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7
อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5.0 ในเดือนพ.ค. นอกจากนั้นค่าเงินปอนด์สเตอริ
งเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ.ได้อ่อนตัวลงทันทีเนื่องจากการทบทวนตัวเลขการขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น (รอย
เตอร์)
2. ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีเดือน ม.ค.48 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบเกือบทศวรรษ รายงาน
จากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 9 มี.ค.48 ข้อมูลเบื้องต้นจาก ก.เศรษฐกิจของเยอรมนีเปิดเผยตัว
เลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ม.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 สูงสุดในรอบเกือบทศวรรษช่วยเพิ่มความหวังที่ว่า
เศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสแรก ปี 48 และเป็นการสวนทางกับการที่หลายฝ่ายคาด
การณ์ว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีกำลังเสียสมดุลย์จากการฟื้นตัว เนื่องจากเศรษฐกิจหดตัวอย่างรุนแรงในไตรมาสสุด
ท้ายของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผลผลิตฯ ดังกล่าวสอดคล้องกับที่มีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส
แรกของปีนี้ ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่จะมีการเปิดเผยตัวเลขครั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดการณ์ว่าผลผลิตภาค
อุตสาหกรรมในช่วงเริ่มต้นของปีนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่คำสั่งซื้อสินค้าภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ
7.6 เทียบต่อเดือนในเดือน ธ.ค.47 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่มีการรวมประเทศเยอรมนีในปี 2533 ส่วน
เดือน ม.ค.48 อุตสาหกรรมการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 เป็นการเพิ่มขึ้นรายเดือนสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.
ค.2536 การก่อสร้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 แต่ผลผลิตด้านพลังงานลดลงร้อยละ 2.8 (รอยเตอร์)
3. ดัชนีชี้วัดการบริโภคของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือน ม.ค.48 รายงานจากโตเกียว
เมื่อ 9 มี.ค.48 The Cabinet Office เปิดเผยว่า ดัชนีชี้วัดการบริโภค (The consumption index) ซึ่ง
เป็นดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจหลักของญี่ปุ่นในเดือน ม.ค.48 เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งร้อยละ 1.6 เทียบต่อเดือน เท่า
กับที่เคยเพิ่มขึ้นเมื่อเดือน มิ.ย.46 และนับเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ.43 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ขณะ
ที่เมื่อเทียบต่อปี ดัชนีฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดนับตั้งแต่ปี 40 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ
0.7 ในเดือนก่อนหน้า โดยสาเหตุที่ดัชนีฯ เมื่อเทียบต่อปีในเดือน ม.ค.48 เพิ่มขึ้นเนื่องจากการใช้จ่ายของครัว
เรือนและยอดขายปลีกที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นปัจจัยที่สะท้อนให้เห็นว่าการบริโภคภาคเอกชนซึ่งมีสัดส่วนเป็น
ร้อยละ 55 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ฟื้นตัวขึ้นแล้ว หลังจากที่ชะลอตัวลงร้อยละ 0.3 ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของ
ปี 47 เนื่องจากผลกระทบจากการเกิดพายุไต้ฝุ่นและแผ่นดินไหว รวมถึงภาวะซบเซาของรายได้และยอดขายสินค้า
ในฤดูหนาวเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่หนาวมาก ซึ่งการชะลอตัวของดัชนีฯ ในช่วงเวลาดังกล่าวได้ส่งผลให้อัตรา
การเติบโตทางเศรษฐกิจขยายตัวชะลอลงร้อยละ 0.1 จากไตรมาสก่อนหน้า นับเป็นการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง
ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งของ The consumption index ในเดือน
ม.ค.48 สะท้อนว่าภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงไตรมาสแรกของปี 48 อาจจะก้าวพ้นจากภาวะชะลอตัวได้ (รอย
เตอร์)
4. ดัชนีราคาขายส่งของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันและเหล็กกล้าที่เพิ่มสูงขึ้น รายงานจากโตเกียว
เมื่อ 10 มี.ค.48 ดัชนีชี้วัดราคาขายส่งในประเทศ หรือ CGPI ซึ่งติดตามแนวโน้มราคาสินค้าในระดับขายส่งใน
ประเทศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ในเดือน ก.พ.48 จากเดือนก่อน สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะคงที่ไม่
เปลี่ยนแปลงและเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกหลังจากอยู่ในระดับคงที่ 2 เดือนติดต่อกัน โดยหากเทียบต่อปีแล้ว CGPI
เพิ่มขึ้นมาตลอดตั้งแต่ต้นปี 47 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 ในเดือน ก.พ.48 สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะ
เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.1 โดยมีสาเหตุจากราคาน้ำมัน ถ่านหินและเหล็กกล้าที่เพิ่มสูงขึ้น โดยปัจจุบันน้ำมันยังมีราคา
ใกล้เคียง 55 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลซึ่งเป็นระดับราคาใกล้เคียงกับราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก่อนหน้านี้ที่
56 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาขายส่งเพิ่มขึ้น ดัชนีราคาผู้บริโภคกลับมีแนวโน้มลดลงสะท้อนให้เห็นว่า
ธุรกิจไม่กล้าผลักภาระต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้นให้ผู้บริโภคท่ามกลางการแข่งขันด้านราคาในขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภค
ยังอยู่ในภาวะซบเซา เศรษฐกิจของญี่ปุ่นหดตัวร้อยละ 0.1 ในไตรมาสสุดท้ายปี 47 นับเป็นการหดตัวไตรมาสที่ 3
ติดต่อกัน แต่คำสั่งซื้อเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 ในไตรมาสแรกปีนี้ชี้ให้เห็นแนวโน้มการลงทุนที่คาดว่าจะเพิ่ม
สูงขึ้นในอีก 6-9 เดือนข้างหน้า (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 10 มี.ค. 48
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 38.3 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 38.1169/38.4026 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.25 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 722.58/18.16 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,950/8,050 7,950/8,050 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 45.3 45.57 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.69*/15.19** 21.69*/15.19** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 5 มี.ค. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 22 ก.พ. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ชี้แจงไม่เห็นด้วยกับการใช้เงินตรึงราคาน้ำมันแต่สนับสนุนให้รัฐบาลขยับราคาน้ำมันอย่างค่อย
เป็นค่อยไป ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่ ธปท.ชี้แจงในที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่
8 มี.ค.ที่ผ่านมาว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้เงิน 72,000 ล้านบาท เพื่อตรึงราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา แต่ควรนำเงิน
จำนวนนี้ไปสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในด้านการขนส่งเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนจะมีประโยชน์
มากกว่า แต่ไม่ใช่หมายความว่า ธปท.ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลในการตรึงราคาน้ำมันดีเซล เพราะขณะนี้
รัฐบาลได้ลอยตัวราคาน้ำมันเบนซินไปแล้ว และกำลังทยอยปรับราคาน้ำมันดีเซลขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นการ
ดำเนินการที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งแม้ว่าจะไม่ปล่อยลอยตัวในขณะนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจให้เกิดความเสีย
หายแต่อย่างใด ขณะที่ นรม.กล่าวว่า รัฐบาลต้องปล่อยลอยตัวน้ำมันดีเซลให้เป็นไปตามกลไกลตลาดแน่นอน แต่ต้อง
ดำเนินการอย่างมีขั้นตอน (บ้านเมือง, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคทุกตัวของไทยในเดือน ก.พ.48 ปรับตัวลดลง ผอ.ศูนย์พยากรณ์
เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.พ.48 ว่า ดัชนีความ
เชื่อมั่นทุกรายการปรับตัวลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวสูงขึ้นทั้งราคาน้ำมันดีเซลและ
เบนซิน โดยเฉพาะการปรับราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 60 สตางค์/ลิตรเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี 2 เดือน นับตั้งแต่
การตรึงราคาเมื่อวันที่ 10 ม.ค.47 นอกจากนี้ผู้บริโภคยังวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากคลื่น
ยักษ์สึนามิ ความไม่สงบในภาคใต้ และการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดย
รวมอยู่ที่ระดับ 88.7 ลดลงจากเดือน ม.ค.48 ที่อยู่ที่ระดับ 90.9 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดย
รวมอยู่ที่ 87.5 เท่ากับดัชนีเดิม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 103.9 ลดลงจากดัชนีเดิมอยู่
ที่ 105.1 ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 92.9 ลดลงจากเดือนม.ค.ที่อยู่ที่ระดับ 94.6 โดย
ดัชนีเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 100 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และมีแนวโน้มว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยัง
คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวระหว่างร้อยละ 5.2-5.7 เงินเฟ้ออยู่ที่ระดับร้อยละ 3.0-3.5 การส่งออก
ขยายตัวร้อยละ 15 จะขาดดุลการค้า 2,300 ล้านดอลลาร์ สรอ. ดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น 3,000 ล้านดอลลาร์
สรอ. (ข่าวสด, เดลินิวส์, โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ
3. ฟิทช์คงเรทติ้งไทยที่ระดับ BBB พร้อมประเมินจีดีพีไทยปีนี้ขยายตัวร้อยละ 5.0-6.0 แม้ภาคการ
บริโภคอ่อนตัว กรรมการอาวุโส บ.ฟิทช์ เรทติ้งส์ เปิดเผยว่า ฟิทช์ยังคงระดับความน่าเชื่อถือของไทยไว้ที่ BBB
เนื่องจากมองว่า ปีนี้ไทยจะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจประมาณร้อยละ 5.0-6.0 โดยแรงขับเคลื่อนหลักจะ
มาจากการลงทุนในเมกะโปรเจ็ก โดยรัฐบาลได้ประกาศว่าภายใน 4-5 ปีจะใช้เงินลงทุนในเมกะโปรเจ็ก
ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท ส่วนภาคการบริโภคนั้นประเมินว่าจะอ่อนตัวลง เนื่องจากมีปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ย
และราคาน้ำมันมากระทบ อย่างไรก็ตาม ฟิทช์มีความกังวลเรื่องการหาแหล่งเงินลงทุนของภาครัฐบาลว่าจะเป็นของ
รัฐบาลเองหรือจะหาจากแหล่งอื่น ซึ่งหากรัฐบาลหาเงินลงทุนจากแหล่งอื่นจะส่งผลต่อความแข็งแกร่งของฐานะทาง
การเงินมากน้อยเพียงใด (กรุงเทพธุรกิจ)
4. ธอส.คาดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ประมาณร้อยละ 0.25 ในปลายเดือนมี.ค.นี้ กรรมการผู้
จัดการ ธ.อาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ภายในเดือน เม.ย.-พ.ค.48 ธอส.เตรียมออกสินเชื่อบ้าน
อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปี ที่ร้อยละ 5.5 หลังจากนั้นเป็นอัตราดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์ หรือสามารถเลือกต่ออายุอัตรา
ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี หรือ 5 ปี ณ อัตราดอกเบี้ยขณะนั้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องรีไฟแนนซ์เพื่อขอกู้กับ ธพ.อื่น คาดว่า
จะมีผู้สนใจจำนวนมาก เนื่องจากเชื่อว่าแนวโน้มดอกเบี้ยในอนาคตจะปรับขึ้น ปีนี้ ธอส.จะพยายามตรึงอัตรา
ดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.0, 4.0 และ 5.0 ใน 3 ปีแรกให้นานที่สุด ขณะที่ ธพ.ทั่วไปจะอิงอัตราดอกเบี้ยลอยตัว
เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ภายในปลายเดือน มี.ค.นี้ ธอส.จะตัดสินใจเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง คาดว่าจะขึ้น
อย่างน้อยประมาณร้อยละ 0.25 เพื่อให้ลูกค้าของ ธอส.กระทบน้อยที่สุด โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของ ธอส.กว่าร้อยละ
50 ของลูกค้าทั้งหมดเลือกใช้ดอกเบี้ยแบบคงที่ 3-5 ปี หรือประมาณ 500,000 ราย และ ธอส.จะไม่ยกเลิก
นโยบายดอกเบี้ยคงที่ออกไปแต่อย่างใด (ข่าวสด, เดลินิวส์, โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1 อุตสาหกรรมการผลิตของอังกฤษในเดือนม.ค. เพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมาย รายงานจากลอนดอน
เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 48 สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (Office for National Statistics -ONS) เปิด
เผยว่า อุตสาหกรรมการผลิตของอังกฤษในเดือนม.ค. ขยายตัวร้อยละ 0.2 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
ขยายตัวถึงร้อยละ 1.4 สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 47 และเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกันที่ยาวนานที่สุดโดยไม่มีการ
ลดลงในระยะเวลามากกว่า 4 ปี ซึ่งก่อนหน้านั้นได้มีการคาดการณ์ไว้ว่าตัวเลขอุตสาหกรรมการผลิตดังกล่าวจะไม่
เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่แล้ว และจากการที่ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักทำให้นักวิเคราะห์ 50 คนคาด
ว่าในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้ ธ.กลางอังกฤษจะคงระดับอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 4.75 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7
อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5.0 ในเดือนพ.ค. นอกจากนั้นค่าเงินปอนด์สเตอริ
งเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ.ได้อ่อนตัวลงทันทีเนื่องจากการทบทวนตัวเลขการขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น (รอย
เตอร์)
2. ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีเดือน ม.ค.48 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบเกือบทศวรรษ รายงาน
จากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 9 มี.ค.48 ข้อมูลเบื้องต้นจาก ก.เศรษฐกิจของเยอรมนีเปิดเผยตัว
เลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ม.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 สูงสุดในรอบเกือบทศวรรษช่วยเพิ่มความหวังที่ว่า
เศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสแรก ปี 48 และเป็นการสวนทางกับการที่หลายฝ่ายคาด
การณ์ว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีกำลังเสียสมดุลย์จากการฟื้นตัว เนื่องจากเศรษฐกิจหดตัวอย่างรุนแรงในไตรมาสสุด
ท้ายของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผลผลิตฯ ดังกล่าวสอดคล้องกับที่มีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส
แรกของปีนี้ ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่จะมีการเปิดเผยตัวเลขครั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดการณ์ว่าผลผลิตภาค
อุตสาหกรรมในช่วงเริ่มต้นของปีนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่คำสั่งซื้อสินค้าภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ
7.6 เทียบต่อเดือนในเดือน ธ.ค.47 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่มีการรวมประเทศเยอรมนีในปี 2533 ส่วน
เดือน ม.ค.48 อุตสาหกรรมการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 เป็นการเพิ่มขึ้นรายเดือนสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.
ค.2536 การก่อสร้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 แต่ผลผลิตด้านพลังงานลดลงร้อยละ 2.8 (รอยเตอร์)
3. ดัชนีชี้วัดการบริโภคของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือน ม.ค.48 รายงานจากโตเกียว
เมื่อ 9 มี.ค.48 The Cabinet Office เปิดเผยว่า ดัชนีชี้วัดการบริโภค (The consumption index) ซึ่ง
เป็นดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจหลักของญี่ปุ่นในเดือน ม.ค.48 เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งร้อยละ 1.6 เทียบต่อเดือน เท่า
กับที่เคยเพิ่มขึ้นเมื่อเดือน มิ.ย.46 และนับเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ.43 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ขณะ
ที่เมื่อเทียบต่อปี ดัชนีฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดนับตั้งแต่ปี 40 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ
0.7 ในเดือนก่อนหน้า โดยสาเหตุที่ดัชนีฯ เมื่อเทียบต่อปีในเดือน ม.ค.48 เพิ่มขึ้นเนื่องจากการใช้จ่ายของครัว
เรือนและยอดขายปลีกที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นปัจจัยที่สะท้อนให้เห็นว่าการบริโภคภาคเอกชนซึ่งมีสัดส่วนเป็น
ร้อยละ 55 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ฟื้นตัวขึ้นแล้ว หลังจากที่ชะลอตัวลงร้อยละ 0.3 ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของ
ปี 47 เนื่องจากผลกระทบจากการเกิดพายุไต้ฝุ่นและแผ่นดินไหว รวมถึงภาวะซบเซาของรายได้และยอดขายสินค้า
ในฤดูหนาวเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่หนาวมาก ซึ่งการชะลอตัวของดัชนีฯ ในช่วงเวลาดังกล่าวได้ส่งผลให้อัตรา
การเติบโตทางเศรษฐกิจขยายตัวชะลอลงร้อยละ 0.1 จากไตรมาสก่อนหน้า นับเป็นการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง
ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งของ The consumption index ในเดือน
ม.ค.48 สะท้อนว่าภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงไตรมาสแรกของปี 48 อาจจะก้าวพ้นจากภาวะชะลอตัวได้ (รอย
เตอร์)
4. ดัชนีราคาขายส่งของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันและเหล็กกล้าที่เพิ่มสูงขึ้น รายงานจากโตเกียว
เมื่อ 10 มี.ค.48 ดัชนีชี้วัดราคาขายส่งในประเทศ หรือ CGPI ซึ่งติดตามแนวโน้มราคาสินค้าในระดับขายส่งใน
ประเทศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ในเดือน ก.พ.48 จากเดือนก่อน สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะคงที่ไม่
เปลี่ยนแปลงและเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกหลังจากอยู่ในระดับคงที่ 2 เดือนติดต่อกัน โดยหากเทียบต่อปีแล้ว CGPI
เพิ่มขึ้นมาตลอดตั้งแต่ต้นปี 47 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 ในเดือน ก.พ.48 สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะ
เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.1 โดยมีสาเหตุจากราคาน้ำมัน ถ่านหินและเหล็กกล้าที่เพิ่มสูงขึ้น โดยปัจจุบันน้ำมันยังมีราคา
ใกล้เคียง 55 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลซึ่งเป็นระดับราคาใกล้เคียงกับราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก่อนหน้านี้ที่
56 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาขายส่งเพิ่มขึ้น ดัชนีราคาผู้บริโภคกลับมีแนวโน้มลดลงสะท้อนให้เห็นว่า
ธุรกิจไม่กล้าผลักภาระต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้นให้ผู้บริโภคท่ามกลางการแข่งขันด้านราคาในขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภค
ยังอยู่ในภาวะซบเซา เศรษฐกิจของญี่ปุ่นหดตัวร้อยละ 0.1 ในไตรมาสสุดท้ายปี 47 นับเป็นการหดตัวไตรมาสที่ 3
ติดต่อกัน แต่คำสั่งซื้อเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 ในไตรมาสแรกปีนี้ชี้ให้เห็นแนวโน้มการลงทุนที่คาดว่าจะเพิ่ม
สูงขึ้นในอีก 6-9 เดือนข้างหน้า (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 10 มี.ค. 48
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 38.3 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 38.1169/38.4026 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.25 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 722.58/18.16 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,950/8,050 7,950/8,050 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 45.3 45.57 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.69*/15.19** 21.69*/15.19** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 5 มี.ค. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 22 ก.พ. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--