3.5 ความต้องการก๊าซธรรมชาติ
ในปี 2541 มีการใช้ก๊าซธรรมชาติจำนวนทั้งสิ้น 1,699 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน แยกเป็นการใช้เป็น เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า
จำนวน 1,345 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน (คิดเป็นร้อยละ 79.2 ของการใช้ทั้งหมด) ใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรม จำนวน 92 ล้าน
ลูกบาศก์ฟุต/วัน (ร้อยละ 5.4) และที่เหลืออีกจำนวน 262ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน (ร้อยละ 15.4) ใช้ผลิตเป็นก๊าซ LPG ซึ่งใช้ในครัวเรือน
อุตสาหกรรมและรถยนต์และใช้ผลิตเป็นโพรเพน และบิวเทนซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
สำหรับความต้องการก๊าซธรรมชาติในการผลิตพลังงานไฟฟ้า (กฟผ. และ IPP) จะเพิ่มขึ้นมาก ในช่วงปลายแผนฯ 8 และ
ตลอดแผนฯ 9 โดยคาดว่าความต้องการจะเพิ่มจากระดับ 1,205 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ในปี 2541 เป็น 1,807 และ 2,100 ล้าน
ลูกบาศก์ฟุต/วัน ในปี 2549 และ 2554 ตามลำดับ ส่วนความต้องการก๊าซธรรมชาติของโรงไฟฟ้า SPP และ Cogeneration
คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากระดับ 140 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วันในปี 2541 เป็น 349 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ในปี 2547 และจะคงที่ตลอดไปจนถึงปี 2554
ส่วนความต้องการในภาคอุตสาหกรรมจะเพิ่มจากระดับ 92 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน เป็น 262 และ 353 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน
ในช่วงเวลาเดียวกัน สำหรับความต้องการก๊าซธรรมชาติในการผลิตก๊าซ LPG และโพรเพนนั้น คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากระดับ 240 ล้าน
ลูกบาศก์ฟุต/วัน เป็น 400 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ในปี 2550ซึ่งจะมีการก่อสร้างโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 5
ความต้องการก๊าซธรรมชาติ
หน่วย : ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน
ผู้ใช้ 2540 2541 2544 2549 2554
ผลิตไฟฟ้า 1,257 1,345 1,813 2,156 2,449
- กฟผ. 771 839 1,069 1,180 1,091
- IPP - - 180 328 729
- EGCO 399 366 240 299 280
- SPP 87 140 324 349 349
อุตสาหกรรม 91 92 164 262 353
โรงแยกก๊าซ 216 262 274 290 401
รวม 1,564 1,699 2,251 2,708 3,203
3.6 ความต้องการถ่านหิน/ลิกไนต์
ในปี 2541 ความต้องการถ่านหินมีจำนวนทั้งสิ้น22.3 ล้านตัน แยกเป็นความต้องการใช้ในการผลิตไฟฟ้า จำนวน 16.1
ล้านตัน (15.4 ล้านตัน ใช้ในโรงไฟฟ้าแม่เมาะ และ 0.7 ล้านตัน ใช้ในโรงไฟฟ้า SPP) ใช้ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ 4.9 ล้านตัน
อุตสาหกรรมบ่มใบยาสูบ 0.08 ล้านตัน และในอุตสาหกรรม boiler จำนวน 1.2 ล้านตัน
แนวโน้มความต้องการถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า ของ กฟผ. ที่แม่เมาะจะอยู่ในระดับคงที่ 12 - 14 ล้านตัน ในช่วงปี
2542 - 2554 ความต้องการถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าของ IPP และทับสะแก จะเริ่มในปี 2545 เป็นต้นไป โดยความต้องการจะ
เพิ่มจากระดับ 0.33 ล้านตัน ในปี 2545 เป็น 5.3 และ 11.5 ล้านตัน ในปี 2549 และ 2554 ตามลำดับ และความต้องการถ่านหิน
ของโรงไฟฟ้า SPP จะอยู่ในระดับ 2.2 - 2.6 ล้านตัน ในช่วงปี 2544 - 2554
ความต้องการถ่านหินในอุตสาหกรรมซึ่งส่วนใหญ่ (มากกว่าร้อยละ 75) ใช้ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์จะเพิ่มขึ้นไม่มากเหมือน
ในอดีตที่ผ่านมา กล่าวคือในช่วงปี 2533 - 2540 ความต้องการถ่านหินเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2 โดยคาดว่าความต้องการถ่านหินในภาค
อุตสาหกรรมจะเพิ่มจากระดับ 6.0 ล้านตัน ในปี 2541 เป็น 8.1 และ 9.2 ล้านตัน ในปี 2549 และ 2554 ตามลำดับ
ความต้องการถ่านหิน/ลิกไนต์
หน่วย : ล้านตัน
ภาคการผลิต 2540 2541 2544 2549 2554 อัตราเพิ่มเฉลี่ยต่อปี/(%)
2540-44 2545-49 2550-54
ผลิตพลังงานไฟฟ้า 18.69 16.09 15.36 22.85 28.88 -1.8 3.8 4.8
- กฟผ. 18.01 15.39 13.21 15 18.25 -4.2 2.6 -0.3
- IPP และทับสะแก - - - 5.28 8.07 - - 16.9
- SPP 0.68 0.7 2.15 2.57 2.57 37.3 3.6 0
ภาคอุตสาหกรรม 7.01 6.19 6.71 8.15 9.22 -2.4 4 2.5
- ซีเมนต์ 5.34 4.9 5.35 6.59 7.42 -1.5 4.3 2.4
- บ่มใบยาสูบ 0.08 0.08 0.08 0.08 0.08 - - -
- อุตสาหกรรมไอน้ำ 1.59 1.21 1.28 1.48 1.72 -5.9 3 3.1
25.7 22.28 22.07 31 38.1 -2 7 4.2
4. การนำเข้าและส่งออกพลังงาน
4.1 ภาพรวมการนำเข้าพลังงาน
เนื่องจากแหล่งพลังงานในประเทศมีจำนวนจำกัด ในขณะที่ความต้องการพลังงานได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมาตลอด ประเทศไทย
จึงต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศในระดับที่สูง แม้ว่าในปี 2540 และ 2541ความต้องการพลังงานได้ชะลอตัวลงมาก แต่สัดส่วน
การพึ่งพาพลังงานเชิงพาณิชย์ (สุทธิ) ยังคงอยู่ในระดับสูงร้อยละ 56 ในปี 2541 การผลิตพลังงานในประเทศในอนาคต คงจะเพิ่มขึ้นได้
ไม่มากนัก โดยเฉพาะลิกไนต์ ถึงแม้ว่าจะมีปริมาณสำรองอยู่มากพอสมควร แต่คุณภาพไม่ค่อยดี จึงไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาใช้ได้ ดังนั้น
สัดส่วนการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เป็นร้อยละ 69 และ 76 ในปี 2549 และ 2554 ตามลำดับ
ชนิดของพลังงานที่นำเข้าจะเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต โดยสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันดิบจะลดลง แต่จะมีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป
เพิ่มมากขึ้นในช่วงแผนฯ 8 ต่อเนื่องจนถึงปลายแผนฯ 9 โดยสัดส่วนที่ลดลงนี้ จะถูกทดแทนโดยการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากสหภาพพม่า
และการนำเข้าถ่านหินมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า จะเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ต้นแผนฯ 9 เป็นต้นไป
4.2 การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
ในปี 2541 โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงทั้ง 6 แห่ง และโรงแยกก๊าซธรรมชาติทั้ง 4 แห่ง สามารถผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงได้รวมทั้งสิ้น
739 พันบาร์เรล/วัน ซึ่งยังต่ำกว่ากำลังการผลิตประมาณร้อยละ 7.0 ในขณะที่มี ความต้องการ 670 พันบาร์เรล/วัน จึงมีการส่งออก
น้ำมันเชื้อเพลิง (สุทธิ) จำนวน 68 พันบาร์เรล/วัน
ในปี 2542-43 คาดว่าปริมาณการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงของโรงกลั่นจะอยู่ในระดับ 730 พันบาร์เรล/วัน ซึ่งยังต่ำกว่ากำลัง
การผลิต เนื่องจากความต้องการยังคงอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตามคาดว่าปริมาณการผลิตจะเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นไป โดย
ปริมาณการผลิตจะอยู่ในระดับ 810-840 พันบาร์เรล/วัน ประเทศไทยจะมีกำลังการผลิต (สุทธิ) เกินความต้องการไปจนถึงปี 2550
หลังจากนั้นจะมีการนำเข้าน้ำมันสุทธิอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงปี 2551-54 โดยมีรายละเอียดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด ดังนี้
ก๊าซ LPG คาดว่าจะมีการส่งออกก๊าซ LPG ในระดับ 12-34 พันบาร์เรล/วัน ในช่วงปี 2542-2554
น้ำมันเบนซิน คาดว่าจะมีการส่งออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากระดับ 34 พันบาร์เรล/วัน ในปี 2542 ถึงระดับ 44 พันบาร์เรล/วัน
ในปี 2544 หลังจากนั้นระดับการส่งออก จะลดลงจนกระทั่งมีการนำเข้าอีกครั้ง ในช่วงปี 2550-54 ในระดับ 1-56 พันบาร์เรล/วัน
น้ำมันเครื่องบิน คาดว่าจะมีความสมดุลระหว่างการผลิตและความต้องการในช่วงปี 2542-45 หลังจากนั้นคาดว่าจะต้องส่ง
ออกน้ำมันเครื่องบิน 5-12 พันบาร์เรล/วัน ในช่วงปี 2546-2550 และจะต้องมีการนำเข้าอีกครั้งหนึ่งในระดับ 8-10 พันบาร์เรล/วัน
ในช่วงปี 2553-54
น้ำมันดีเซล คาดว่าจะมีการส่งออกน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นจากระดับ 37 พันบาร์เรล/วัน ในปี 2542 เป็น 41 พันบาร์เรล/วัน
ในปี 2544 หลังจากนั้นการส่งออกจะลดลงเรื่อยๆ จนถึงมีการนำเข้าน้ำมันดีเซลอีกครั้ง ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นไป
น้ำมันเตา คาดว่าจะมีการส่งออกน้ำมันเตาตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นไป ปริมาณการส่งออกจะเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นไป
ทั้งนี้เนื่องจากมีการลดการใช้น้ำมันเตาของ กฟผ. แม้ว่าจะมีการใช้น้ำมันเตาเพิ่มมากขึ้นในโรงไฟฟ้าราชบุรี ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นไปก็ตาม
แต่ปริมาณการใช้อยู่ในระดับ 20 พันบาร์เรล/วัน เท่านั้น จึงยังทำให้ต้องมีการส่งออกน้ำมันเตาอยู่ต่อไป
4.3 การนำเข้าก๊าซธรรมชาติ
ความต้องการก๊าซธรรมชาติคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากระดับ 1,877 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วัน ในปี 2542 เป็น 3,203 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วัน
ในปี 2554 ในขณะที่การผลิตในประเทศจากอ่าวไทยจะอยู่ในระดับ 1,649-2,225 ล้านลูกบาศ์ฟุต/วัน และจากแหล่งบนบกจะอยู่ในระดับ
130 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วัน ในช่วงปี 2542-2547 และจะลดลงมาอยู่ในระดับ 67 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วัน ในช่วงปี 2548-2554 ทำให้ต้องมี
การนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศ โดยคาดว่าจะมีการนำเข้าจากแหล่งยานาดาในระดับ 127 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ในปี 2542 และ
จะเพิ่มมาอยู่ในระดับ 383 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วัน ในปี 2547-2554 และจากแหล่งเยตากุน โดยคาดว่าจะเริ่ม นำเข้าในปี 2543 ในระดับ
103 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วัน และจะเพิ่มมาอยู่ในระดับ 206 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วัน ในช่วงปี 2544-2554 นอกจากนั้นคาดว่าจะมีการนำเข้า
จากแหล่งของสหภาพพม่า (เพิ่มเติม) อีกในปี 2549 เป็นต้นไปในระดับ 300-400 ล้านลูกบาศ์ฟุต/วัน
สำหรับการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และก๊าซธรรมชาติจากแหล่งนาทูนาของอินโดนีเซียนั้น คาดว่าคงจะยังไม่เกิดขึ้น
ก่อนปี 2554 ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาพบว่า ปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่แหล่งผลิตในปัจจุบัน มีปริมาณมากขึ้นจากที่ได้คาดการณ์ไว้
ในขณะเดียวกันความต้องการได้ชะลอตัวลง
4.4 การนำเข้าถ่านหิน
ความต้องการถ่านหิน/ลิกไนต์ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม จะเพิ่มขึ้นจากระดับ 6.19 ล้านตันในปี 2542 เป็น 8.15 และ 9.22
ล้านตัน ในปี 2549 และ 2554 ตามลำดับ ในขณะที่การผลิตลิกไนต์ในประเทศคาดว่า จะอยู่ในระดับ 5-6 ล้านตัน ทำให้ต้องมีการนำเข้า
มาใช้ในภาคอุตสาหกรรมในระดับ 1.58 และ 5.41 ล้านตัน ในปี 2549 และ 2554 ตามลำดับ
ส่วนการนำเข้าถ่านหินมาใช้ในโรงไฟฟ้าเอกชน (IPP) จะเริ่มในปี 2545 ในระดับ 3.33 ล้านตันหลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้นอย่าง
รวดเร็ว มาอยู่ในระดับ 5.28 และ 11.54 ล้านตัน ในปี 2549 และ 2554 ตามลำดับ
สำหรับการนำเข้าถ่านหินมาใช้ในโรงไฟฟ้า SPP จะเพิ่มจากระดับ 0.70 ล้านตัน ในปี 2541 เป็น 2.15 ล้านตัน ในปี 2544
หลังจากนั้นจะคงที่อยู่ในระดับ 2.15 - 2.57 ล้านตัน ในช่วงปี 2545-2554
5. ความต้องการพลังงานแยกตามภาคการผลิต (Final Energy Demand by Sectors)
5.1 ภาพรวมความต้องการพลังงาน
ในปี 2541 การใช้พลังงานในสาขาการผลิตต่างๆ (Final Energy Demand) มีจำนวนทั้งสิ้น 970.5 พันบาร์เรลน้ำมันดิบต่อวัน
ประกอบด้วย ภาคคมนาคมขนส่งซึ่งใช้พลังงานมากที่สุด จำนวน 388.9 พันบาร์เรลน้ำมันดิบต่อวัน (ร้อยละ 40.1) รองลงมาได้แก่
ภาคอุตสาหกรรม จำนวน 315.0 พันบาร์เรลน้ำมันดิบต่อวัน(ร้อยละ 32.5) ภาคที่อยู่อาศัยและการพาณิชย์ จำนวน 237.5 พันบาร์เรล
น้ำมันดิบต่อวัน (ร้อยละ 24.5) และภาคเกษตร จำนวน 29.1 พันบาร์เรลน้ำมันดิบต่อวัน (ร้อยละ 3.0)
น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นพลังงานหลัก โดยในปี 2541 มีสัดส่วนการใช้ถึงร้อยละ 54.2 ของพลังงานทั้งหมด รองลงมาได้แก่
พลังงานหมุนเวียน (ร้อยละ 23.5) ไฟฟ้า (ร้อยละ 12.3) ถ่านหิน/ลิกไนต์ (ร้อยละ 6.1) และก๊าซธรรมชาติ (ร้อยละ 3.8)
จากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงต้นแผนฯ 8 ส่งผลให้ความต้องการพลังงาน ชะลอตัวลงในช่วง 3ปีแรก หลังจากนั้น คาดว่า
ความต้องการจะเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉลี่ยร้อยละ 4.8 และ 4.7 ในช่วงแผนฯ 9 และ 10 ตามลำดับ
แนวโน้มความต้องการพลังงานในภาคคมนาคมขนส่งและภาคอุตสาหกรรม จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าภาคการผลิตอื่นๆ ส่งผล
ให้สัดส่วนการใช้พลังงานในภาคคมนาคมขนส่ง เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 42.2 และ 43.6 ในปี 2549 และ 2554 ตามลำดับ และสัดส่วนการ
ใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 33.9 และ 34.5 ในช่วงเวลาเดียวกัน น้ำมันเชื้อเพลิง ยังคงเป็นพลังงานหลัก โดย
สัดส่วนการใช้ยังคงอยู่ในระดับร้อยละ 54-57 ในช่วงแผนฯ 9 และ 10 สัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน จะลดลงเรื่อยๆ แต่จะมีก๊าซ
ธรรมชาติ และไฟฟ้าเข้ามาทดแทน
ความต้องการพลังงานแยกตามภาคการผลิต
หน่วย : พันบาร์เรลน้ำมันดิบ/วัน
ภาคการผลิต 2540 2541 2544 2549 2554 อัตราเพิ่มเฉลี่ยต่อปี/(%)
2540-44 2545-49 2550-54
เกษตร 29.8 29.1 30.3 32.9 35 -3.3 1.7 1.3
อุตสาหกรรม 359.6 315 344.6 450.7 578.1 -1.2 5.5 5.1
คมนาคมขนส่ง 428.9 388.9 431 560.3 730.6 1.3 5.4 5.5
ที่อยู่อาศัยและ 248.1 237.5 248.1 285.3 330.8 -0.7 2.8 3
การพาณิชย์
รวม 1066.5 970.5 1053.9 1329.1 1674.5 -0.2 4.7 4.7
ความต้องการพลังงานแยกตามชนิดของเชื้อเพลิง
หน่วย : พันบาร์เรลน้ำมันดิบ/วัน
ชนิดเชื้อเพลิง 2540 2541 2544 2549 2554 อัตราเพิ่มเฉลี่ยต่อปี/(%)
2540-44 2545-49 2550-54
น้ำมันเชื้อเพลิง 581.7 526.4 574.6 735.4 953.4 0.2 5.1 5.3
ก๊าซธรรมชาติ 29.8 37 51.9 79.1 94.9 13.3 8.8 3.7
ไฟฟ้า 130.6 119.4 130.9 174.1 228.9 0.3 5.9 5.6
ถ่านหิน 82.9 59.4 61.9 77.2 101 -7.2 4.5 5.5
พลังงานหมุนเวียน 241.4 228.3 234.8 263.4 296.2 -1 2.3 2.4
รวม 1066.5 970.5 1053.9 1329.1 1674.5 -0.2 4.7 4.7
5.2 ภาคการเกษตร
ภาคการเกษตรมีการใช้พลังงานน้อยมาก เมื่อเทียบกับภาคการผลิตอื่นๆ โดยในปี 2541 มีการใช้พลังงานเพียง 29.1 พันบาร์เรล
น้ำมันดิบต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 3.0 ของการใช้พลังงานทั้งหมด น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงหลักในภาคการเกษตร รองลงมาคือน้ำมันเบนซิน
โดยในปี 2541 มีการใช้น้ำมันดีเซลถึงร้อยละ 95 ของการใช้พลังงานทั้งหมด ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนมากใช้ในสาขาประมง
ความต้องการพลังงานในภาคเกษตร คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.7 และ 1.3 ในช่วงแผนฯ 9 และ 10 ตามลำดับ โดยใน
ปี 2554 จะมีการใช้พลังงานทั้งสิ้น 35.0 พันบาร์เรลน้ำมันดิบ/วัน
ความต้องการพลังงานในภาคเกษตร
หน่วย : พันบาร์เรลน้ำมันดิบ/วัน
ชนิดพลังงาน 2540 2541 2544 2549 2554 อัตราเพิ่มเฉลี่ยต่อปี/(%)
2540-44 2545-49 2550-54
น้ำมันเชื้อเพลิง 29.7 28.9 30.1 32.6 34.7 -3.3 1.7 1.3
- เบนซิน 1 0.9 0.9 1 1.1 -1.1 0.8 0.9
- ดีเซล 28.5 27.6 28.7 31 32.9 -3.3 1.6 1.2
- อื่นๆ 0.2 0.3 0.4 0.5 0.7 -9.9 6.3 5.5
ไฟฟ้า 0.2 0.2 0.2 0.2 0.3 - - -
รวม 29.8 29.1 30.3 32.9 35 -3.3 1.7 1.3
-ยังมีต่อ-
--กองนโยบายและแผนพลังงาน/สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ--
-ยก-
ในปี 2541 มีการใช้ก๊าซธรรมชาติจำนวนทั้งสิ้น 1,699 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน แยกเป็นการใช้เป็น เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า
จำนวน 1,345 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน (คิดเป็นร้อยละ 79.2 ของการใช้ทั้งหมด) ใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรม จำนวน 92 ล้าน
ลูกบาศก์ฟุต/วัน (ร้อยละ 5.4) และที่เหลืออีกจำนวน 262ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน (ร้อยละ 15.4) ใช้ผลิตเป็นก๊าซ LPG ซึ่งใช้ในครัวเรือน
อุตสาหกรรมและรถยนต์และใช้ผลิตเป็นโพรเพน และบิวเทนซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
สำหรับความต้องการก๊าซธรรมชาติในการผลิตพลังงานไฟฟ้า (กฟผ. และ IPP) จะเพิ่มขึ้นมาก ในช่วงปลายแผนฯ 8 และ
ตลอดแผนฯ 9 โดยคาดว่าความต้องการจะเพิ่มจากระดับ 1,205 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ในปี 2541 เป็น 1,807 และ 2,100 ล้าน
ลูกบาศก์ฟุต/วัน ในปี 2549 และ 2554 ตามลำดับ ส่วนความต้องการก๊าซธรรมชาติของโรงไฟฟ้า SPP และ Cogeneration
คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากระดับ 140 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วันในปี 2541 เป็น 349 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ในปี 2547 และจะคงที่ตลอดไปจนถึงปี 2554
ส่วนความต้องการในภาคอุตสาหกรรมจะเพิ่มจากระดับ 92 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน เป็น 262 และ 353 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน
ในช่วงเวลาเดียวกัน สำหรับความต้องการก๊าซธรรมชาติในการผลิตก๊าซ LPG และโพรเพนนั้น คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากระดับ 240 ล้าน
ลูกบาศก์ฟุต/วัน เป็น 400 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ในปี 2550ซึ่งจะมีการก่อสร้างโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 5
ความต้องการก๊าซธรรมชาติ
หน่วย : ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน
ผู้ใช้ 2540 2541 2544 2549 2554
ผลิตไฟฟ้า 1,257 1,345 1,813 2,156 2,449
- กฟผ. 771 839 1,069 1,180 1,091
- IPP - - 180 328 729
- EGCO 399 366 240 299 280
- SPP 87 140 324 349 349
อุตสาหกรรม 91 92 164 262 353
โรงแยกก๊าซ 216 262 274 290 401
รวม 1,564 1,699 2,251 2,708 3,203
3.6 ความต้องการถ่านหิน/ลิกไนต์
ในปี 2541 ความต้องการถ่านหินมีจำนวนทั้งสิ้น22.3 ล้านตัน แยกเป็นความต้องการใช้ในการผลิตไฟฟ้า จำนวน 16.1
ล้านตัน (15.4 ล้านตัน ใช้ในโรงไฟฟ้าแม่เมาะ และ 0.7 ล้านตัน ใช้ในโรงไฟฟ้า SPP) ใช้ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ 4.9 ล้านตัน
อุตสาหกรรมบ่มใบยาสูบ 0.08 ล้านตัน และในอุตสาหกรรม boiler จำนวน 1.2 ล้านตัน
แนวโน้มความต้องการถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า ของ กฟผ. ที่แม่เมาะจะอยู่ในระดับคงที่ 12 - 14 ล้านตัน ในช่วงปี
2542 - 2554 ความต้องการถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าของ IPP และทับสะแก จะเริ่มในปี 2545 เป็นต้นไป โดยความต้องการจะ
เพิ่มจากระดับ 0.33 ล้านตัน ในปี 2545 เป็น 5.3 และ 11.5 ล้านตัน ในปี 2549 และ 2554 ตามลำดับ และความต้องการถ่านหิน
ของโรงไฟฟ้า SPP จะอยู่ในระดับ 2.2 - 2.6 ล้านตัน ในช่วงปี 2544 - 2554
ความต้องการถ่านหินในอุตสาหกรรมซึ่งส่วนใหญ่ (มากกว่าร้อยละ 75) ใช้ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์จะเพิ่มขึ้นไม่มากเหมือน
ในอดีตที่ผ่านมา กล่าวคือในช่วงปี 2533 - 2540 ความต้องการถ่านหินเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2 โดยคาดว่าความต้องการถ่านหินในภาค
อุตสาหกรรมจะเพิ่มจากระดับ 6.0 ล้านตัน ในปี 2541 เป็น 8.1 และ 9.2 ล้านตัน ในปี 2549 และ 2554 ตามลำดับ
ความต้องการถ่านหิน/ลิกไนต์
หน่วย : ล้านตัน
ภาคการผลิต 2540 2541 2544 2549 2554 อัตราเพิ่มเฉลี่ยต่อปี/(%)
2540-44 2545-49 2550-54
ผลิตพลังงานไฟฟ้า 18.69 16.09 15.36 22.85 28.88 -1.8 3.8 4.8
- กฟผ. 18.01 15.39 13.21 15 18.25 -4.2 2.6 -0.3
- IPP และทับสะแก - - - 5.28 8.07 - - 16.9
- SPP 0.68 0.7 2.15 2.57 2.57 37.3 3.6 0
ภาคอุตสาหกรรม 7.01 6.19 6.71 8.15 9.22 -2.4 4 2.5
- ซีเมนต์ 5.34 4.9 5.35 6.59 7.42 -1.5 4.3 2.4
- บ่มใบยาสูบ 0.08 0.08 0.08 0.08 0.08 - - -
- อุตสาหกรรมไอน้ำ 1.59 1.21 1.28 1.48 1.72 -5.9 3 3.1
25.7 22.28 22.07 31 38.1 -2 7 4.2
4. การนำเข้าและส่งออกพลังงาน
4.1 ภาพรวมการนำเข้าพลังงาน
เนื่องจากแหล่งพลังงานในประเทศมีจำนวนจำกัด ในขณะที่ความต้องการพลังงานได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมาตลอด ประเทศไทย
จึงต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศในระดับที่สูง แม้ว่าในปี 2540 และ 2541ความต้องการพลังงานได้ชะลอตัวลงมาก แต่สัดส่วน
การพึ่งพาพลังงานเชิงพาณิชย์ (สุทธิ) ยังคงอยู่ในระดับสูงร้อยละ 56 ในปี 2541 การผลิตพลังงานในประเทศในอนาคต คงจะเพิ่มขึ้นได้
ไม่มากนัก โดยเฉพาะลิกไนต์ ถึงแม้ว่าจะมีปริมาณสำรองอยู่มากพอสมควร แต่คุณภาพไม่ค่อยดี จึงไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาใช้ได้ ดังนั้น
สัดส่วนการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เป็นร้อยละ 69 และ 76 ในปี 2549 และ 2554 ตามลำดับ
ชนิดของพลังงานที่นำเข้าจะเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต โดยสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันดิบจะลดลง แต่จะมีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป
เพิ่มมากขึ้นในช่วงแผนฯ 8 ต่อเนื่องจนถึงปลายแผนฯ 9 โดยสัดส่วนที่ลดลงนี้ จะถูกทดแทนโดยการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากสหภาพพม่า
และการนำเข้าถ่านหินมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า จะเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ต้นแผนฯ 9 เป็นต้นไป
4.2 การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
ในปี 2541 โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงทั้ง 6 แห่ง และโรงแยกก๊าซธรรมชาติทั้ง 4 แห่ง สามารถผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงได้รวมทั้งสิ้น
739 พันบาร์เรล/วัน ซึ่งยังต่ำกว่ากำลังการผลิตประมาณร้อยละ 7.0 ในขณะที่มี ความต้องการ 670 พันบาร์เรล/วัน จึงมีการส่งออก
น้ำมันเชื้อเพลิง (สุทธิ) จำนวน 68 พันบาร์เรล/วัน
ในปี 2542-43 คาดว่าปริมาณการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงของโรงกลั่นจะอยู่ในระดับ 730 พันบาร์เรล/วัน ซึ่งยังต่ำกว่ากำลัง
การผลิต เนื่องจากความต้องการยังคงอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตามคาดว่าปริมาณการผลิตจะเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นไป โดย
ปริมาณการผลิตจะอยู่ในระดับ 810-840 พันบาร์เรล/วัน ประเทศไทยจะมีกำลังการผลิต (สุทธิ) เกินความต้องการไปจนถึงปี 2550
หลังจากนั้นจะมีการนำเข้าน้ำมันสุทธิอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงปี 2551-54 โดยมีรายละเอียดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด ดังนี้
ก๊าซ LPG คาดว่าจะมีการส่งออกก๊าซ LPG ในระดับ 12-34 พันบาร์เรล/วัน ในช่วงปี 2542-2554
น้ำมันเบนซิน คาดว่าจะมีการส่งออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากระดับ 34 พันบาร์เรล/วัน ในปี 2542 ถึงระดับ 44 พันบาร์เรล/วัน
ในปี 2544 หลังจากนั้นระดับการส่งออก จะลดลงจนกระทั่งมีการนำเข้าอีกครั้ง ในช่วงปี 2550-54 ในระดับ 1-56 พันบาร์เรล/วัน
น้ำมันเครื่องบิน คาดว่าจะมีความสมดุลระหว่างการผลิตและความต้องการในช่วงปี 2542-45 หลังจากนั้นคาดว่าจะต้องส่ง
ออกน้ำมันเครื่องบิน 5-12 พันบาร์เรล/วัน ในช่วงปี 2546-2550 และจะต้องมีการนำเข้าอีกครั้งหนึ่งในระดับ 8-10 พันบาร์เรล/วัน
ในช่วงปี 2553-54
น้ำมันดีเซล คาดว่าจะมีการส่งออกน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นจากระดับ 37 พันบาร์เรล/วัน ในปี 2542 เป็น 41 พันบาร์เรล/วัน
ในปี 2544 หลังจากนั้นการส่งออกจะลดลงเรื่อยๆ จนถึงมีการนำเข้าน้ำมันดีเซลอีกครั้ง ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นไป
น้ำมันเตา คาดว่าจะมีการส่งออกน้ำมันเตาตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นไป ปริมาณการส่งออกจะเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นไป
ทั้งนี้เนื่องจากมีการลดการใช้น้ำมันเตาของ กฟผ. แม้ว่าจะมีการใช้น้ำมันเตาเพิ่มมากขึ้นในโรงไฟฟ้าราชบุรี ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นไปก็ตาม
แต่ปริมาณการใช้อยู่ในระดับ 20 พันบาร์เรล/วัน เท่านั้น จึงยังทำให้ต้องมีการส่งออกน้ำมันเตาอยู่ต่อไป
4.3 การนำเข้าก๊าซธรรมชาติ
ความต้องการก๊าซธรรมชาติคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากระดับ 1,877 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วัน ในปี 2542 เป็น 3,203 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วัน
ในปี 2554 ในขณะที่การผลิตในประเทศจากอ่าวไทยจะอยู่ในระดับ 1,649-2,225 ล้านลูกบาศ์ฟุต/วัน และจากแหล่งบนบกจะอยู่ในระดับ
130 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วัน ในช่วงปี 2542-2547 และจะลดลงมาอยู่ในระดับ 67 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วัน ในช่วงปี 2548-2554 ทำให้ต้องมี
การนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศ โดยคาดว่าจะมีการนำเข้าจากแหล่งยานาดาในระดับ 127 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ในปี 2542 และ
จะเพิ่มมาอยู่ในระดับ 383 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วัน ในปี 2547-2554 และจากแหล่งเยตากุน โดยคาดว่าจะเริ่ม นำเข้าในปี 2543 ในระดับ
103 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วัน และจะเพิ่มมาอยู่ในระดับ 206 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วัน ในช่วงปี 2544-2554 นอกจากนั้นคาดว่าจะมีการนำเข้า
จากแหล่งของสหภาพพม่า (เพิ่มเติม) อีกในปี 2549 เป็นต้นไปในระดับ 300-400 ล้านลูกบาศ์ฟุต/วัน
สำหรับการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และก๊าซธรรมชาติจากแหล่งนาทูนาของอินโดนีเซียนั้น คาดว่าคงจะยังไม่เกิดขึ้น
ก่อนปี 2554 ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาพบว่า ปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่แหล่งผลิตในปัจจุบัน มีปริมาณมากขึ้นจากที่ได้คาดการณ์ไว้
ในขณะเดียวกันความต้องการได้ชะลอตัวลง
4.4 การนำเข้าถ่านหิน
ความต้องการถ่านหิน/ลิกไนต์ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม จะเพิ่มขึ้นจากระดับ 6.19 ล้านตันในปี 2542 เป็น 8.15 และ 9.22
ล้านตัน ในปี 2549 และ 2554 ตามลำดับ ในขณะที่การผลิตลิกไนต์ในประเทศคาดว่า จะอยู่ในระดับ 5-6 ล้านตัน ทำให้ต้องมีการนำเข้า
มาใช้ในภาคอุตสาหกรรมในระดับ 1.58 และ 5.41 ล้านตัน ในปี 2549 และ 2554 ตามลำดับ
ส่วนการนำเข้าถ่านหินมาใช้ในโรงไฟฟ้าเอกชน (IPP) จะเริ่มในปี 2545 ในระดับ 3.33 ล้านตันหลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้นอย่าง
รวดเร็ว มาอยู่ในระดับ 5.28 และ 11.54 ล้านตัน ในปี 2549 และ 2554 ตามลำดับ
สำหรับการนำเข้าถ่านหินมาใช้ในโรงไฟฟ้า SPP จะเพิ่มจากระดับ 0.70 ล้านตัน ในปี 2541 เป็น 2.15 ล้านตัน ในปี 2544
หลังจากนั้นจะคงที่อยู่ในระดับ 2.15 - 2.57 ล้านตัน ในช่วงปี 2545-2554
5. ความต้องการพลังงานแยกตามภาคการผลิต (Final Energy Demand by Sectors)
5.1 ภาพรวมความต้องการพลังงาน
ในปี 2541 การใช้พลังงานในสาขาการผลิตต่างๆ (Final Energy Demand) มีจำนวนทั้งสิ้น 970.5 พันบาร์เรลน้ำมันดิบต่อวัน
ประกอบด้วย ภาคคมนาคมขนส่งซึ่งใช้พลังงานมากที่สุด จำนวน 388.9 พันบาร์เรลน้ำมันดิบต่อวัน (ร้อยละ 40.1) รองลงมาได้แก่
ภาคอุตสาหกรรม จำนวน 315.0 พันบาร์เรลน้ำมันดิบต่อวัน(ร้อยละ 32.5) ภาคที่อยู่อาศัยและการพาณิชย์ จำนวน 237.5 พันบาร์เรล
น้ำมันดิบต่อวัน (ร้อยละ 24.5) และภาคเกษตร จำนวน 29.1 พันบาร์เรลน้ำมันดิบต่อวัน (ร้อยละ 3.0)
น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นพลังงานหลัก โดยในปี 2541 มีสัดส่วนการใช้ถึงร้อยละ 54.2 ของพลังงานทั้งหมด รองลงมาได้แก่
พลังงานหมุนเวียน (ร้อยละ 23.5) ไฟฟ้า (ร้อยละ 12.3) ถ่านหิน/ลิกไนต์ (ร้อยละ 6.1) และก๊าซธรรมชาติ (ร้อยละ 3.8)
จากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงต้นแผนฯ 8 ส่งผลให้ความต้องการพลังงาน ชะลอตัวลงในช่วง 3ปีแรก หลังจากนั้น คาดว่า
ความต้องการจะเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉลี่ยร้อยละ 4.8 และ 4.7 ในช่วงแผนฯ 9 และ 10 ตามลำดับ
แนวโน้มความต้องการพลังงานในภาคคมนาคมขนส่งและภาคอุตสาหกรรม จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าภาคการผลิตอื่นๆ ส่งผล
ให้สัดส่วนการใช้พลังงานในภาคคมนาคมขนส่ง เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 42.2 และ 43.6 ในปี 2549 และ 2554 ตามลำดับ และสัดส่วนการ
ใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 33.9 และ 34.5 ในช่วงเวลาเดียวกัน น้ำมันเชื้อเพลิง ยังคงเป็นพลังงานหลัก โดย
สัดส่วนการใช้ยังคงอยู่ในระดับร้อยละ 54-57 ในช่วงแผนฯ 9 และ 10 สัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน จะลดลงเรื่อยๆ แต่จะมีก๊าซ
ธรรมชาติ และไฟฟ้าเข้ามาทดแทน
ความต้องการพลังงานแยกตามภาคการผลิต
หน่วย : พันบาร์เรลน้ำมันดิบ/วัน
ภาคการผลิต 2540 2541 2544 2549 2554 อัตราเพิ่มเฉลี่ยต่อปี/(%)
2540-44 2545-49 2550-54
เกษตร 29.8 29.1 30.3 32.9 35 -3.3 1.7 1.3
อุตสาหกรรม 359.6 315 344.6 450.7 578.1 -1.2 5.5 5.1
คมนาคมขนส่ง 428.9 388.9 431 560.3 730.6 1.3 5.4 5.5
ที่อยู่อาศัยและ 248.1 237.5 248.1 285.3 330.8 -0.7 2.8 3
การพาณิชย์
รวม 1066.5 970.5 1053.9 1329.1 1674.5 -0.2 4.7 4.7
ความต้องการพลังงานแยกตามชนิดของเชื้อเพลิง
หน่วย : พันบาร์เรลน้ำมันดิบ/วัน
ชนิดเชื้อเพลิง 2540 2541 2544 2549 2554 อัตราเพิ่มเฉลี่ยต่อปี/(%)
2540-44 2545-49 2550-54
น้ำมันเชื้อเพลิง 581.7 526.4 574.6 735.4 953.4 0.2 5.1 5.3
ก๊าซธรรมชาติ 29.8 37 51.9 79.1 94.9 13.3 8.8 3.7
ไฟฟ้า 130.6 119.4 130.9 174.1 228.9 0.3 5.9 5.6
ถ่านหิน 82.9 59.4 61.9 77.2 101 -7.2 4.5 5.5
พลังงานหมุนเวียน 241.4 228.3 234.8 263.4 296.2 -1 2.3 2.4
รวม 1066.5 970.5 1053.9 1329.1 1674.5 -0.2 4.7 4.7
5.2 ภาคการเกษตร
ภาคการเกษตรมีการใช้พลังงานน้อยมาก เมื่อเทียบกับภาคการผลิตอื่นๆ โดยในปี 2541 มีการใช้พลังงานเพียง 29.1 พันบาร์เรล
น้ำมันดิบต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 3.0 ของการใช้พลังงานทั้งหมด น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงหลักในภาคการเกษตร รองลงมาคือน้ำมันเบนซิน
โดยในปี 2541 มีการใช้น้ำมันดีเซลถึงร้อยละ 95 ของการใช้พลังงานทั้งหมด ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนมากใช้ในสาขาประมง
ความต้องการพลังงานในภาคเกษตร คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.7 และ 1.3 ในช่วงแผนฯ 9 และ 10 ตามลำดับ โดยใน
ปี 2554 จะมีการใช้พลังงานทั้งสิ้น 35.0 พันบาร์เรลน้ำมันดิบ/วัน
ความต้องการพลังงานในภาคเกษตร
หน่วย : พันบาร์เรลน้ำมันดิบ/วัน
ชนิดพลังงาน 2540 2541 2544 2549 2554 อัตราเพิ่มเฉลี่ยต่อปี/(%)
2540-44 2545-49 2550-54
น้ำมันเชื้อเพลิง 29.7 28.9 30.1 32.6 34.7 -3.3 1.7 1.3
- เบนซิน 1 0.9 0.9 1 1.1 -1.1 0.8 0.9
- ดีเซล 28.5 27.6 28.7 31 32.9 -3.3 1.6 1.2
- อื่นๆ 0.2 0.3 0.4 0.5 0.7 -9.9 6.3 5.5
ไฟฟ้า 0.2 0.2 0.2 0.2 0.3 - - -
รวม 29.8 29.1 30.3 32.9 35 -3.3 1.7 1.3
-ยังมีต่อ-
--กองนโยบายและแผนพลังงาน/สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ--
-ยก-