ภาวะเศรษฐกิจการเงินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดือนตุลาคม 2542 ยังคงซบเซาต่อเนื่องจากเดือนก่อน ราคาพืชผลยังเคลื่อนไหวขึ้นลงตามภาวะตลาด และเป็นช่วงผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาด
ผู้ประกอบการภาคธุรกิจยังคงไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเท่าที่ควร โดยเฉพาะการแข่งขันทั้งทางด้านตลาดในและต่างประเทศ ภาคการเงินยังคงซบเซาและผู้ประกอบการภาคธุรกิจยังต้องแบกภาระดอกเบี้ยเงินกู้มากขึ้นจากเดือนก่อน ทั้ง ๆ ที่อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดมีแนวโน้มลดลง
ภาคเกษตร
ปริมาณฝนเฉลี่ยในเดือนตุลาคม 82.6 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน พืชสำคัญ (ข้าว มันสำปะหลัง ปอ) ผลผลิตกำลังออกสู่ท้องตลาด ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังอยู่ในช่วงเพาะปลูก ราคาผลผลิตส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน เนื่องจากความต้องการรับซื้อของพ่อค้าเพิ่มขึ้น ยกเว้นราคามันสำปะหลังที่ราคาลดลงจากเดือนก่อนเล็กน้อย
นอกภาคเกษตร
การสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจประจำเดือนตุลาคม 2542 โดยสอบถามผู้ประกอบการ 19 จังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 154 ราย ผลสรุปได้ดังนี้
1) ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนตุลาคมร้อยละ 47.1 ลดลงจากเดือนก่อนที่อยู่ที่ร้อยละ 47.8 และมีแนวโน้มดีขึ้นในระยะ 4 เดือนข้างหน้า โดยปัจจัยความเชื่อมั่นด้านอำนาจซื้อของประชาชน ด้านการจ้างงาน ด้านต้นทุนการประกอบการ รวมทั้งความสามารถในการส่งออกลดลงจากเดือนก่อน แต่ปัจจัยความเชื่อมั่นด้านผลประกอบการทางธุรกิจและการลงทุนโดยรวมดีขึ้นจากเดือนก่อน
2) การแข่งขันทางธุรกิจด้านตลาดและราคาในประเทศสูงขึ้นจากเดือนก่อน
3) ภาวะการเงินเดือนตุลาคมยังทรงตัวจากเดือนก่อน ธุรกิจมีสภาพคล่องทางการเงินและการให้เครดิตกับลูกค้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม ธุรกิจยังมีภาระดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน
4) แนวโน้มตลาดเงินช่วงพฤศจิกายน 2542 - มกราคม 2543 มีแนวโน้มลดลงอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น ธุรกิจจะมีสภาพคล่องลดลง นอกจากนี้ อัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลลาร์มีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกในระยะต่อไปได้
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการมีข้อเสนอแนะถึงภาครัฐ ดังนี้
1. ภาครัฐควรดูแลเรื่องราคาสินค้าเกษตรให้เหมาะสมในช่วงที่ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาด
2. ภาครัฐควรแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ระดับล่างก่อน โดยเร่งสร้างงานและพัฒนาฝืมือแรงงานเพื่อแก้ปัญหาการว่างงานและสร้างกำลังซื้อให้มากขึ้น รวมทั้งหาตลาดให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยรวมให้ดีขึ้น
3. ธนาคารพาณิชย์ควรปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจยังคงขาดสภาพคล่อง โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs
4. ควรเร่งแก้ไขปัญหา SMEs อย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งควรมีการประเมินผลงานของโครงการที่ผ่านมาด้วย
5. ธนาคารพาณิชย์ควรลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงอีกเพื่อกระตุ้นการลงทุน
6. การที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น ทำให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม
7. ควรมีการอัดฉีดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากโครงการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ (มิยาซาว่า) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง
8. ควรส่งเสริมให้มีการจัดประชุมสัมมนาในภูมิภาคให้มากขึ้น
อัตราเงินเฟ้อ
ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือเดือนตุลาคมปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 0.2 จากเดือนกันยายน แต่ลดลงร้อยละ 0.5 จากระยะเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 0.7 ส่วนสินค้าหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารสูงขึ้นร้อยละ 0.5
ภาคการเงิน
เดือนกันยายน 2542 ในภาคฯ มีสาขาธนาคารพาณิชย์ 525 สำนักงาน เท่ากับเดือนก่อน โดยมียอดเงินฝากคงค้าง 236,112.3 ล้านบาท (ตัวเลขประมาณการ) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.6 และร้อยละ 0.07 จากเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผู้ฝากยังคงมั่นใจกับการฝากเงินกับธนาคารมากกว่าจะนำไปลงทุนในด้านอื่น ถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำ ส่วนทางด้านสินเชื่อมียอดคงค้าง 236,136.4 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.6 และร้อยละ 10.1 จากเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ยังคงระมัดระวังในเรื่องปัญหาหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงอยู่ สำหรับอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากในภาคฯ ลดลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 101.1 มาเป็น 100.0 ในเดือนนี้ เป็นผลมาจากปริมาณเงินฝากเพิ่มขึ้น ในขณะที่ธนาคารปล่อยสินเชื่อได้ลดลง
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและสินเชื่อจากการสำรวจจากธนาคารพาณิชย์ในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เดือนกันยายนยังคงลดลงต่อเนื่องจากเดือนสิงหาคม โดยที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากแบบมีงวดเวลาทั้ง 3 ประเภท ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.25 ต่อปี สำหรับเงินฝากประจำ 3 เดือนลดลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 4.25-4.75 มาเป็นร้อยละ 4.00-4.75 ในเดือนนี้ ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือนลดลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 4.25-5.00 ต่อปี มาเป็นร้อยละ 4.00-5.00 และดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ลดลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 4.50-5.25 ต่อปี มาเป็นร้อยละ 4.25-5.00 ต่อปีในเดือนนี้ ด้านเงินฝากออมทรัพย์ลดลงร้อยละ 0.25 ต่อปี จากเดือนก่อนร้อยละ 3.75-4.25 ต่อปี มาเป็นร้อยละ 3.50-4.00 ต่อปีในเดือนนี้ สำหรับสาเหตุที่ทำในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมีการปรับตัวลดลงเนื่องจากสภาพคล่องในระบบโดยรวมของธนาคารพาณิชย์ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง เนื่องจากเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น ในขณะที่ยังไม่อาจปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้น
ทางด้านอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเดือนกันยายนส่วนใหญ่ยังทรงตัวเท่ากับสิงหาคมก่อนโดยดอกเบี้ย MOR อยู่ที่ร้อยละ 9.00-10.75 ต่อปี ดอกเบี้ย MLR อยู่ที่ร้อยละ 8.50-10.50 ต่อปี และดอกเบี้ย MRR อยู่ที่ร้อยละ 9.00-11.75 ต่อปี แต่ที่มีการเปลี่ยนแปลงคือเพิ่มขึ้นจากกันยายนก่อนคือดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าทั่วไปที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.50 ต่อปีในบางธนาคาร มีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยลูกค้าทั่วไปโดยรวมมีการปรับตัวเพิ่มจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 10.25-14.50 ต่อปี มาเป็นร้อยละ 11.75-14.50 ต่อปีในเดือนนี้
เงินโอนจากแรงงานไทยในต่างประเทศเดือนกันยายนมีการโอนกลับมาในภาคฯ เป็นเงิน 1,992.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมร้อยละ 0.7
ภาคการคลัง
เดือนตุลาคม 2542 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจัดเก็บรายได้รวมทั้งสิ้น 1,252.8 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 11.0 เนื่องจากการจัดเก็บภาษีลดลงทุกประเภท
การค้าชายแดนไทย-ลาว
เดือนตุลาคมมีมูลค่าการค้าทั้งสิ้น 1,580.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.8 การส่งออกตลอดเดือน 1,380.0 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.5 และการนำเข้า 200.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนถึงร้อยละ 21.9 เนื่องจากการนำเข้าไม้และผลิตภัณฑ์ไม้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ไทยยังเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าลาว 1,180.0 ล้านบาท
--ธนาคารแห่งประเทศไทย/สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ--
-ยก-
ผู้ประกอบการภาคธุรกิจยังคงไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเท่าที่ควร โดยเฉพาะการแข่งขันทั้งทางด้านตลาดในและต่างประเทศ ภาคการเงินยังคงซบเซาและผู้ประกอบการภาคธุรกิจยังต้องแบกภาระดอกเบี้ยเงินกู้มากขึ้นจากเดือนก่อน ทั้ง ๆ ที่อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดมีแนวโน้มลดลง
ภาคเกษตร
ปริมาณฝนเฉลี่ยในเดือนตุลาคม 82.6 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน พืชสำคัญ (ข้าว มันสำปะหลัง ปอ) ผลผลิตกำลังออกสู่ท้องตลาด ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังอยู่ในช่วงเพาะปลูก ราคาผลผลิตส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน เนื่องจากความต้องการรับซื้อของพ่อค้าเพิ่มขึ้น ยกเว้นราคามันสำปะหลังที่ราคาลดลงจากเดือนก่อนเล็กน้อย
นอกภาคเกษตร
การสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจประจำเดือนตุลาคม 2542 โดยสอบถามผู้ประกอบการ 19 จังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 154 ราย ผลสรุปได้ดังนี้
1) ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนตุลาคมร้อยละ 47.1 ลดลงจากเดือนก่อนที่อยู่ที่ร้อยละ 47.8 และมีแนวโน้มดีขึ้นในระยะ 4 เดือนข้างหน้า โดยปัจจัยความเชื่อมั่นด้านอำนาจซื้อของประชาชน ด้านการจ้างงาน ด้านต้นทุนการประกอบการ รวมทั้งความสามารถในการส่งออกลดลงจากเดือนก่อน แต่ปัจจัยความเชื่อมั่นด้านผลประกอบการทางธุรกิจและการลงทุนโดยรวมดีขึ้นจากเดือนก่อน
2) การแข่งขันทางธุรกิจด้านตลาดและราคาในประเทศสูงขึ้นจากเดือนก่อน
3) ภาวะการเงินเดือนตุลาคมยังทรงตัวจากเดือนก่อน ธุรกิจมีสภาพคล่องทางการเงินและการให้เครดิตกับลูกค้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม ธุรกิจยังมีภาระดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน
4) แนวโน้มตลาดเงินช่วงพฤศจิกายน 2542 - มกราคม 2543 มีแนวโน้มลดลงอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น ธุรกิจจะมีสภาพคล่องลดลง นอกจากนี้ อัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลลาร์มีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกในระยะต่อไปได้
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการมีข้อเสนอแนะถึงภาครัฐ ดังนี้
1. ภาครัฐควรดูแลเรื่องราคาสินค้าเกษตรให้เหมาะสมในช่วงที่ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาด
2. ภาครัฐควรแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ระดับล่างก่อน โดยเร่งสร้างงานและพัฒนาฝืมือแรงงานเพื่อแก้ปัญหาการว่างงานและสร้างกำลังซื้อให้มากขึ้น รวมทั้งหาตลาดให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยรวมให้ดีขึ้น
3. ธนาคารพาณิชย์ควรปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจยังคงขาดสภาพคล่อง โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs
4. ควรเร่งแก้ไขปัญหา SMEs อย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งควรมีการประเมินผลงานของโครงการที่ผ่านมาด้วย
5. ธนาคารพาณิชย์ควรลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงอีกเพื่อกระตุ้นการลงทุน
6. การที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น ทำให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม
7. ควรมีการอัดฉีดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากโครงการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ (มิยาซาว่า) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง
8. ควรส่งเสริมให้มีการจัดประชุมสัมมนาในภูมิภาคให้มากขึ้น
อัตราเงินเฟ้อ
ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือเดือนตุลาคมปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 0.2 จากเดือนกันยายน แต่ลดลงร้อยละ 0.5 จากระยะเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 0.7 ส่วนสินค้าหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารสูงขึ้นร้อยละ 0.5
ภาคการเงิน
เดือนกันยายน 2542 ในภาคฯ มีสาขาธนาคารพาณิชย์ 525 สำนักงาน เท่ากับเดือนก่อน โดยมียอดเงินฝากคงค้าง 236,112.3 ล้านบาท (ตัวเลขประมาณการ) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.6 และร้อยละ 0.07 จากเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผู้ฝากยังคงมั่นใจกับการฝากเงินกับธนาคารมากกว่าจะนำไปลงทุนในด้านอื่น ถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำ ส่วนทางด้านสินเชื่อมียอดคงค้าง 236,136.4 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.6 และร้อยละ 10.1 จากเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ยังคงระมัดระวังในเรื่องปัญหาหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงอยู่ สำหรับอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากในภาคฯ ลดลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 101.1 มาเป็น 100.0 ในเดือนนี้ เป็นผลมาจากปริมาณเงินฝากเพิ่มขึ้น ในขณะที่ธนาคารปล่อยสินเชื่อได้ลดลง
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและสินเชื่อจากการสำรวจจากธนาคารพาณิชย์ในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เดือนกันยายนยังคงลดลงต่อเนื่องจากเดือนสิงหาคม โดยที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากแบบมีงวดเวลาทั้ง 3 ประเภท ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.25 ต่อปี สำหรับเงินฝากประจำ 3 เดือนลดลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 4.25-4.75 มาเป็นร้อยละ 4.00-4.75 ในเดือนนี้ ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือนลดลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 4.25-5.00 ต่อปี มาเป็นร้อยละ 4.00-5.00 และดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ลดลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 4.50-5.25 ต่อปี มาเป็นร้อยละ 4.25-5.00 ต่อปีในเดือนนี้ ด้านเงินฝากออมทรัพย์ลดลงร้อยละ 0.25 ต่อปี จากเดือนก่อนร้อยละ 3.75-4.25 ต่อปี มาเป็นร้อยละ 3.50-4.00 ต่อปีในเดือนนี้ สำหรับสาเหตุที่ทำในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมีการปรับตัวลดลงเนื่องจากสภาพคล่องในระบบโดยรวมของธนาคารพาณิชย์ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง เนื่องจากเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น ในขณะที่ยังไม่อาจปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้น
ทางด้านอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเดือนกันยายนส่วนใหญ่ยังทรงตัวเท่ากับสิงหาคมก่อนโดยดอกเบี้ย MOR อยู่ที่ร้อยละ 9.00-10.75 ต่อปี ดอกเบี้ย MLR อยู่ที่ร้อยละ 8.50-10.50 ต่อปี และดอกเบี้ย MRR อยู่ที่ร้อยละ 9.00-11.75 ต่อปี แต่ที่มีการเปลี่ยนแปลงคือเพิ่มขึ้นจากกันยายนก่อนคือดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าทั่วไปที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.50 ต่อปีในบางธนาคาร มีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยลูกค้าทั่วไปโดยรวมมีการปรับตัวเพิ่มจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 10.25-14.50 ต่อปี มาเป็นร้อยละ 11.75-14.50 ต่อปีในเดือนนี้
เงินโอนจากแรงงานไทยในต่างประเทศเดือนกันยายนมีการโอนกลับมาในภาคฯ เป็นเงิน 1,992.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมร้อยละ 0.7
ภาคการคลัง
เดือนตุลาคม 2542 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจัดเก็บรายได้รวมทั้งสิ้น 1,252.8 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 11.0 เนื่องจากการจัดเก็บภาษีลดลงทุกประเภท
การค้าชายแดนไทย-ลาว
เดือนตุลาคมมีมูลค่าการค้าทั้งสิ้น 1,580.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.8 การส่งออกตลอดเดือน 1,380.0 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.5 และการนำเข้า 200.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนถึงร้อยละ 21.9 เนื่องจากการนำเข้าไม้และผลิตภัณฑ์ไม้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ไทยยังเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าลาว 1,180.0 ล้านบาท
--ธนาคารแห่งประเทศไทย/สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ--
-ยก-