นายไชยยศ สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยถึงผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซม ครั้งที่ 6 (The Sixth ASEM Finance Ministers Meeting) ระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน 2548 ณ เมืองเทียนจิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ดังนี้
การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วยรัฐมนตรีคลังจากสมาชิก 38 ประเทศ และกรรมาธิการยุโรปด้านการคลัง รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ได้แก่ ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และธนาคารกลางสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซมหลังจากเพิ่มสมาชิกใหม่ โดยในส่วนของเอเชีย ได้เพิ่มสมาชิกจากเดิม 10 ประเทศ เป็น 13 ประเทศ และฝ่ายยุโรปได้เพิ่มจากเดิม 15 ประเทศ เป็น 25 ประเทศ ด้วยจำนวนสมาชิกทั้งหมดจำนวน 38 ประเทศนี้ เป็นตัวแทนของร้อยละ40 ของประชากรโลก ซึ่งมี Gross Domestic Product (GDP) รวมเท่ากับร้อยละ 50 ของ GDPโลก และมูลค่าการค้ารวมร้อยละ 60 ของมูลค่าการค้าโลก
นาย Wen Jiabao นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมครั้งนี้ และได้กล่าวสุนทรพจน์เสนอแนะแนวทางความร่วมมือระหว่างภูมิภาคเอเชียและยุโรปในอนาคต ได้แก่ การเสริมสร้างความแข็งแกร่งในกระบวนการหารือนโยบายเศรษฐกิจมหภาค การเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรบุคคล โดยโครงการแลกเปลี่ยนบุคลากร การสัมมนา และฝึกอบรม และ การกระชับความร่วมมือเพื่อให้บรรลุ ‘Win-Win International Economic Cooperation’
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนได้กล่าวถึงนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของจีน
โดยเน้นว่าทุกประเทศมีสิทธิในการเลือกใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจของตน และการปฏิรูประบบอัตราแลกเปลี่ยน ควรจะดำเนินการโดยอิสระจากแรงกดดันของประเทศอื่น รวมทั้งต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังและในเวลาที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง
สำหรับการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซม ครั้งที่ 6 มีนาย Jin Renqing รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประธานการประชุม ซึ่งผลสรุปของการประชุมสรุปได้ ดังนี้
1. ภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาค
สถาบันการเงินระหว่างประเทศได้แก่ IMF ADB และ ECB ได้รายงานภาวะเศรษฐกิจโลก
และเศรษฐกิจในภูมิภาคว่าในปี 2548 ยังคงมีอัตราการเจริญเติบโตที่ดี แต่จะลดลงเมื่อเทียบกับปี 2547 โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากความไม่สมดุลของภาวะเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น พร้อมทั้งเสนอแนะให้สมาชิกอาเซมดำเนินนโยบายการเงินการคลังอย่างระมัดระวัง ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซมได้เรียกร้องให้มีการปรับปรุงข้อมูล การผลิตและการสำรองน้ำมันให้มีความโปร่งใสมากขึ้น และให้มีนโยบายส่งเสริมการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานทดแทน และให้ประเทศผู้ผลิตและผู้นำเข้าน้ำมันมีการหารือกันอย่างใกล้ชิด ในการนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายไชยยศ สะสมทรัพย์) ได้รายงานต่อที่ประชุมว่าประเทศไทยสามารถปรับตัวให้รองรับกับปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และปัญหาความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกได้ในระดับที่ไม่มีผลกระทบกับเศรษฐกิจมากนัก เนื่องจากการใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว การขยายตลาดไปสู่ประเทศคู่ค้าใหม่มากขึ้น รวมทั้งการดำเนินนโยบายแบบ Dual Track และการลงทุนในโครงการ Mega Projects จะช่วยให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง
2. เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals: MDGs)
ที่ประชุมได้หารือในเรื่องความคืบหน้าและการดำเนินนโยบายของแต่ละประเทศสมาชิกในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซมได้เรียกร้องให้ประชาคมโลกดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาดังกล่าว โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งจะต้องเพิ่มเงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา (Official Development Assistance: ODA) ให้ได้ตามเป้าหมาย 0.7% ของ Gross National Income (GNI) ในปี 2558 (ค.ศ.2015) นอกจากนี้ ได้เรียกร้องประชาคมโลก โดยเฉพาะสถาบันการเงินระหว่างประเทศ พิจารณายกหนี้ให้ประเทศยากจน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายไชยยศ สะสมทรัพย์) รายงานที่ประชุมว่าประเทศไทยสามารถที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษได้ทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมดก่อนปี 2558นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสานต่อจากความสำเร็จตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษในด้านต่างๆ ประเทศไทยได้ริเริ่มแนวคิด “MDG Plus” ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สอดคล้องกับบริบทการพัฒนาของประเทศไทยและเป็นจุดเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ท้าทายยิ่งขึ้นกว่าเป้าหมาย MDGs ที่กำหนดไว้เดิม
นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซม ได้เน้นถึงความสำคัญของการขยายการค้าระหว่างประเทศภายใต้องค์การการค้าโลก เนื่องจากจะช่วยแก้ปัญหาความยากจนของประชาคมโลกอย่างแท้จริง
3. ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการเงินของอาเซม
ที่ประชุมได้พิจารณาและให้การรับรอง มาตรการริเริ่มเทียนจิน (Tianjin Initiative) ซึ่งประกอบด้วย 4 เรื่องหลัก ได้แก่
1) กองทุนอาเซม (ASEM Trust Fund: ATF) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซม
เห็นชอบการให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อประเมินผลการดำเนินการ กองทุนอาเซมระยะที่ 1 และระยะที่ 2 เพื่อนำผลมาปรับปรุงกลไกการดำเนินการกองทุนอาเซมระยะที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการกำหนดรูปแบบของความช่วยเหลือทางวิชาการ เพื่อพัฒนาภาคการเงินและสังคมโดยใช้ความชำนาญจากทั้งสองภูมิภาครวมทั้งความร่วมมือเพื่อพัฒนาตลาดพันธบัตรระหว่างสองภูมิภาค
2) การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรของสองภูมิภาค (Strengthening Capacity Building) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีมติสนับสนุนข้อเสนอโครงการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรระหว่างภูมิภาคเอเชียและยุโรป ซึ่งประกอบด้วยโครงการแลกเปลี่ยนบุคลากร การฝึกอบรม สัมมนา และโครงการความร่วมมือต่างๆของกระทรวงการคลังระหว่าง 2 ภูมิภาคโดยอาจ ใช้เงินสนับสนุนส่วนหนึ่งจากกองทุนอาเซมได้
3) ข้อเสนอของASEM Taskforce on Closer Economic Partnership รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซม มีมติให้มีการศึกษาและพิจารณาการเชื่อมโยงการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชียและยุโรปด้วย
4) การจัดตั้งASEM Contingency Dialogue Mechanism ที่ประชุมเห็นชอบกับแนวทางการจัดตั้งกลไกความร่วมมือที่จะปรึกษาหารือเพื่อแก้ปัญหากรณีที่มีเหตุการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วนเกิดขึ้นในประเทศสมาชิก
4. การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการประชุม
ได้มีการหารือแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซมและเห็นว่าการจัดเตรียมระเบียบวาระการประชุมที่ชัดเจนและเน้นประเด็นที่ทั้ง 2 ภูมิภาคให้ความสนใจ รวมทั้งการจัดประชุมในลักษณะที่ไม่เป็นทางการ หรือในลักษณะRetreat จะเป็นแนวทางที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างใกล้ชิดมากขึ้น นอกจากนั้น ที่ประชุมมีมติให้มีการจัดประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซมทุกสองปีหลังจากปี 2549 เพื่อให้สอดคล้องกับตารางการประชุมผู้นำอาเซม และเพื่อเตรียมการนำเสนอมติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซมต่อที่ประชุมผู้นำอาเซมต่อไป
สำหรับการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซมครั้งที่ 7 จะจัดขึ้นในปี 2549 ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 47/2548 29 มิถุนายน 48--
การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วยรัฐมนตรีคลังจากสมาชิก 38 ประเทศ และกรรมาธิการยุโรปด้านการคลัง รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ได้แก่ ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และธนาคารกลางสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซมหลังจากเพิ่มสมาชิกใหม่ โดยในส่วนของเอเชีย ได้เพิ่มสมาชิกจากเดิม 10 ประเทศ เป็น 13 ประเทศ และฝ่ายยุโรปได้เพิ่มจากเดิม 15 ประเทศ เป็น 25 ประเทศ ด้วยจำนวนสมาชิกทั้งหมดจำนวน 38 ประเทศนี้ เป็นตัวแทนของร้อยละ40 ของประชากรโลก ซึ่งมี Gross Domestic Product (GDP) รวมเท่ากับร้อยละ 50 ของ GDPโลก และมูลค่าการค้ารวมร้อยละ 60 ของมูลค่าการค้าโลก
นาย Wen Jiabao นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมครั้งนี้ และได้กล่าวสุนทรพจน์เสนอแนะแนวทางความร่วมมือระหว่างภูมิภาคเอเชียและยุโรปในอนาคต ได้แก่ การเสริมสร้างความแข็งแกร่งในกระบวนการหารือนโยบายเศรษฐกิจมหภาค การเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรบุคคล โดยโครงการแลกเปลี่ยนบุคลากร การสัมมนา และฝึกอบรม และ การกระชับความร่วมมือเพื่อให้บรรลุ ‘Win-Win International Economic Cooperation’
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนได้กล่าวถึงนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของจีน
โดยเน้นว่าทุกประเทศมีสิทธิในการเลือกใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจของตน และการปฏิรูประบบอัตราแลกเปลี่ยน ควรจะดำเนินการโดยอิสระจากแรงกดดันของประเทศอื่น รวมทั้งต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังและในเวลาที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง
สำหรับการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซม ครั้งที่ 6 มีนาย Jin Renqing รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประธานการประชุม ซึ่งผลสรุปของการประชุมสรุปได้ ดังนี้
1. ภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาค
สถาบันการเงินระหว่างประเทศได้แก่ IMF ADB และ ECB ได้รายงานภาวะเศรษฐกิจโลก
และเศรษฐกิจในภูมิภาคว่าในปี 2548 ยังคงมีอัตราการเจริญเติบโตที่ดี แต่จะลดลงเมื่อเทียบกับปี 2547 โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากความไม่สมดุลของภาวะเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น พร้อมทั้งเสนอแนะให้สมาชิกอาเซมดำเนินนโยบายการเงินการคลังอย่างระมัดระวัง ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซมได้เรียกร้องให้มีการปรับปรุงข้อมูล การผลิตและการสำรองน้ำมันให้มีความโปร่งใสมากขึ้น และให้มีนโยบายส่งเสริมการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานทดแทน และให้ประเทศผู้ผลิตและผู้นำเข้าน้ำมันมีการหารือกันอย่างใกล้ชิด ในการนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายไชยยศ สะสมทรัพย์) ได้รายงานต่อที่ประชุมว่าประเทศไทยสามารถปรับตัวให้รองรับกับปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และปัญหาความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกได้ในระดับที่ไม่มีผลกระทบกับเศรษฐกิจมากนัก เนื่องจากการใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว การขยายตลาดไปสู่ประเทศคู่ค้าใหม่มากขึ้น รวมทั้งการดำเนินนโยบายแบบ Dual Track และการลงทุนในโครงการ Mega Projects จะช่วยให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง
2. เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals: MDGs)
ที่ประชุมได้หารือในเรื่องความคืบหน้าและการดำเนินนโยบายของแต่ละประเทศสมาชิกในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซมได้เรียกร้องให้ประชาคมโลกดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาดังกล่าว โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งจะต้องเพิ่มเงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา (Official Development Assistance: ODA) ให้ได้ตามเป้าหมาย 0.7% ของ Gross National Income (GNI) ในปี 2558 (ค.ศ.2015) นอกจากนี้ ได้เรียกร้องประชาคมโลก โดยเฉพาะสถาบันการเงินระหว่างประเทศ พิจารณายกหนี้ให้ประเทศยากจน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายไชยยศ สะสมทรัพย์) รายงานที่ประชุมว่าประเทศไทยสามารถที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษได้ทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมดก่อนปี 2558นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสานต่อจากความสำเร็จตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษในด้านต่างๆ ประเทศไทยได้ริเริ่มแนวคิด “MDG Plus” ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สอดคล้องกับบริบทการพัฒนาของประเทศไทยและเป็นจุดเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ท้าทายยิ่งขึ้นกว่าเป้าหมาย MDGs ที่กำหนดไว้เดิม
นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซม ได้เน้นถึงความสำคัญของการขยายการค้าระหว่างประเทศภายใต้องค์การการค้าโลก เนื่องจากจะช่วยแก้ปัญหาความยากจนของประชาคมโลกอย่างแท้จริง
3. ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการเงินของอาเซม
ที่ประชุมได้พิจารณาและให้การรับรอง มาตรการริเริ่มเทียนจิน (Tianjin Initiative) ซึ่งประกอบด้วย 4 เรื่องหลัก ได้แก่
1) กองทุนอาเซม (ASEM Trust Fund: ATF) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซม
เห็นชอบการให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อประเมินผลการดำเนินการ กองทุนอาเซมระยะที่ 1 และระยะที่ 2 เพื่อนำผลมาปรับปรุงกลไกการดำเนินการกองทุนอาเซมระยะที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการกำหนดรูปแบบของความช่วยเหลือทางวิชาการ เพื่อพัฒนาภาคการเงินและสังคมโดยใช้ความชำนาญจากทั้งสองภูมิภาครวมทั้งความร่วมมือเพื่อพัฒนาตลาดพันธบัตรระหว่างสองภูมิภาค
2) การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรของสองภูมิภาค (Strengthening Capacity Building) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีมติสนับสนุนข้อเสนอโครงการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรระหว่างภูมิภาคเอเชียและยุโรป ซึ่งประกอบด้วยโครงการแลกเปลี่ยนบุคลากร การฝึกอบรม สัมมนา และโครงการความร่วมมือต่างๆของกระทรวงการคลังระหว่าง 2 ภูมิภาคโดยอาจ ใช้เงินสนับสนุนส่วนหนึ่งจากกองทุนอาเซมได้
3) ข้อเสนอของASEM Taskforce on Closer Economic Partnership รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซม มีมติให้มีการศึกษาและพิจารณาการเชื่อมโยงการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชียและยุโรปด้วย
4) การจัดตั้งASEM Contingency Dialogue Mechanism ที่ประชุมเห็นชอบกับแนวทางการจัดตั้งกลไกความร่วมมือที่จะปรึกษาหารือเพื่อแก้ปัญหากรณีที่มีเหตุการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วนเกิดขึ้นในประเทศสมาชิก
4. การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการประชุม
ได้มีการหารือแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซมและเห็นว่าการจัดเตรียมระเบียบวาระการประชุมที่ชัดเจนและเน้นประเด็นที่ทั้ง 2 ภูมิภาคให้ความสนใจ รวมทั้งการจัดประชุมในลักษณะที่ไม่เป็นทางการ หรือในลักษณะRetreat จะเป็นแนวทางที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างใกล้ชิดมากขึ้น นอกจากนั้น ที่ประชุมมีมติให้มีการจัดประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซมทุกสองปีหลังจากปี 2549 เพื่อให้สอดคล้องกับตารางการประชุมผู้นำอาเซม และเพื่อเตรียมการนำเสนอมติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซมต่อที่ประชุมผู้นำอาเซมต่อไป
สำหรับการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซมครั้งที่ 7 จะจัดขึ้นในปี 2549 ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 47/2548 29 มิถุนายน 48--