สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--27 ม.ค.-บิสนิวส์
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
กระเทียม : การปราบปรามการลักลอบนำเข้า
ตามที่ชมรมผู้ปลูกและผู้ค้ากระเทียมภาคเหนือได้มีการร้องเรียนว่ามีการลักลอบนำเข้ากระเทียมจากประเทศเพื่อนบ้านตามชายแดนจังหวัดเชียงราย มุกดาหาร และจังหวัดทางชายแดนภาคใต้เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2541 เนื่องจากกระเทียมในประเทศมีราคาสูงกว่า เป็นเหตุให้ไม่สามารถระบายกระเทียมเก่าในสต็อกออกสู่ตลาด ประกอบกับคาดว่าผลผลิตกระเทียมในปี 2541/42 จะมีปริมาณถึง 130,307 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 120,055 ตัน ในปีที่ผ่านมา ประมาณร้อยละ 8.54 ขณะที่ความต้องการใช้ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เป็นที่เกรงว่าจะทำให้เกิดปัญหาความเดือดร้อนแก่เกษตรกร เพราะเป็นช่วงที่ผลผลิตกระเทียมเริ่มออกสู่ตลาด สำหรับราคาเกษตรกรขายได้เฉลี่ย 3 สัปดาห์ของเดือนมกราคม 2542 กระเทียมแห้งใหญ่คละกิโลกรัมละ 46.50 บาท และราคากระเทียมสดคละกิโลกรัมละ 7.01 บาท
ในการนี้ คณะกรรมการปราบปรามลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรเมื่อคราวประชุมวันที่ 18 มกราคม 2542 ได้มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
(1) กรมวิชาการเกษตร เร่งศึกษาวิจัยเพื่อหาข้อพิสูจน์ความแตกต่างระหว่างกระเทียมที่ผลิตในประเทศกับต่างประเทศ แล้วฝึกอบรมเจ้าหน้าที่จากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้สามารถพิสูจน์จำแนกความแตกต่างได้
(2) กรมศุลกากรเข้มงวดกวดขันสอดส่องดูแลโดยเฉพาะจังหวัดตามชายแดน เช่น เชียงราย มุกดาหาร และจังหวัดตามชายแดนภาคใต้
(3) กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทย ที่มีหน่วยงานตามแนวชายแดน แจ้งหมายเลขโทรศัพท์ให้กระทรวงพาณิชย์ทราบ เพื่อจะได้ประสานงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง
(4) กองทัพเรือช่วยสอดส่องดูแลเข้มงวดตามลำน้ำต่าง ๆ โดยเฉพาะตามลำน้ำโขง
(5) กระทรวงพาณิชย์เข้มงวดในการออกใบรับรองภายใต้ตามข้อตกลง WTO และอาจจำเป็นต้องกำหนดระยะเวลาหมดอายุใบอนุญาต เพื่อป้องกันมิให้นำไปใช้หมุนเวียนต่อไปได้
คาดว่า การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้ในระดับหนึ่ง
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญกุ้งกุลาดำ : ราคาโน้มสูงขึ้นเพราะประเทศคู่แข่งประสบปัญหาในการผลิต
สถานการณ์ราคากุ้ง ปี 2541
ราคากุ้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2541 ได้ตกต่ำลงมาก สาเหตุจากช่วงต้นปี ราคาอยู่ในระดับสูงจูงใจให้เกษตรกรเลี้ยงกุ้งกันมากขึ้น รวมทั้งมีการขยายการเพาะเลี้ยงไปยังพื้นที่น้ำจืดซึ่งเป็นพื้นที่นาข้าวและพื้นที่เกษตรดั้งเดิม จนเกิดปัญหาระหว่างเกษตรกร 2 ฝ่าย และรัฐบาลได้ประกาศห้ามทำการเลี้ยงในที่สุด และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาผ่อนผันการเลี้ยงในวันที่ 4 ธันวาคม 2541 เกษตรกรได้เร่งจับกุ้งทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดมากกว่าปกติ ในขณะที่ตลาดส่งออกที่สำคัญ ทั้งสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ได้ลดปริมาณการนำเข้าจากไทยลงด้วย ส่งผลให้ราคากุ้งในประเทศตกต่ำลง กล่าวคือ ราคาที่เกษตรกรขายได้ กุ้งขนาด 31-40 ตัว/กก. จากที่เคยขายได้กิโลกรัมละ 333.75-445.75 บาท ภายในเดือนมกราคม-มิถุนายน 2541 ได้ตกลงอย่างต่อเนื่องเหลือเพียงกิโลกรัมละ 202.40 บาท ในเดือนพฤศจิกายน
อย่างไรก็ตาม ในเดือนธันวาคม ราคาได้ขยับตัวสูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 230.00 บาท และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอีกในต้นปี 2542 ทั้งนี้เนื่องจากทั้งสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ได้นำเข้ากุ้งจากไทยเพิ่มมากขึ้น เนื่องจาก
(1) สหรัฐอเมริกา แหล่งเพาะเลี้ยงกุ้งที่สำคัญของประเทศได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ทำให้ผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดในช่วงไตรมาสแรกมีปริมาณลดลง ไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค ประกอบกับผู้นำเข้าของสหรัฐอเมริกามีความพอใจราคากุ้งที่ไทยเสนอขาย จึงมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
(2) ญี่ปุ่น ได้ซื้อกุ้งจากไทยเพิ่มขึ้นแทนการซื้อจากอินเดีย เนื่องจากเห็นว่ากุ้งไทยราคาต่ำ เมื่อเทียบกับค่าเงินเยนที่แข็งขึ้น
(3) แหล่งผลิตที่สำคัญของโลก คือ อินโดนีเซียและเวียดนาม ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ขณะที่ อินเดีย ลดปริมาณการเลี้ยงลง ประเทศผู้นำเข้าต่าง ๆ จึงหันมานำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้นแนวโน้มสถานการณ์ปี 2542
การผลิต คาดว่าผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงจะได้ประมาณ 200,000 ตัน ลดลงที่ผลิตได้ 230,000 ตัน ในปี 2541 ร้อยละ 13.04 เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศให้ยกเลิกการเลี้ยงกุ้งกุลาดำในเขตพื้นที่น้ำจืดทั่วประเทศ
การส่งออก แม้ว่าไทยจะส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแข็งไปบางประเทศได้เพิ่มขึ้น แต่คาดว่าการส่งออกโดยรวมจะลดลง คือ ประมาณ 120,000 ตัน ลดลงจากที่คาดว่าจะส่งออกได้ 150,000 ตัน ในปี 2541 ร้อยละ 20 เนื่องจาก คาดว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้าที่สำคัญ เช่น ญี่ปุ่นจะยังคงถดถอย ประกอบกับสหภาพยุโรปตัดสิทธิ์ GSP กุ้งไทย 100% ตั้งแต่ 1 มกราคม 2542 ทำให้กุ้งไทยต้องเสียภาษีนำเข้าสูงถึง 14.4 % ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาจึงลดลง ขณะนี้ผู้ส่งออกของไทยพยายามที่จะปรับตัว โดยการส่งออกผ่านไปยังประเทศที่ 3 ที่ยังไม่ถูกตัดสิทธิ์ GSP เช่น มาเลเซีย ที่เก็บภาษีในอัตรา 4.6 % เท่านั้น นอกจากนี้ จีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหม่ของไทยอีกประเทศหนึ่ง เข้มงวดในการเก็บภาษีนำเข้ากุ้งจากไทยสูงถึงร้อยละ 30 และภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 17
ข้อเสนอแนะ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงควรเร่งหาตลาดส่งออกใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าประเทศในแอฟริกาใต้และละตินอเมริกาจะเป็นตลาดส่งออกกุ้งที่สำคัญในอนาคต
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 18 - 24 ม.ค. 2542--
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
กระเทียม : การปราบปรามการลักลอบนำเข้า
ตามที่ชมรมผู้ปลูกและผู้ค้ากระเทียมภาคเหนือได้มีการร้องเรียนว่ามีการลักลอบนำเข้ากระเทียมจากประเทศเพื่อนบ้านตามชายแดนจังหวัดเชียงราย มุกดาหาร และจังหวัดทางชายแดนภาคใต้เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2541 เนื่องจากกระเทียมในประเทศมีราคาสูงกว่า เป็นเหตุให้ไม่สามารถระบายกระเทียมเก่าในสต็อกออกสู่ตลาด ประกอบกับคาดว่าผลผลิตกระเทียมในปี 2541/42 จะมีปริมาณถึง 130,307 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 120,055 ตัน ในปีที่ผ่านมา ประมาณร้อยละ 8.54 ขณะที่ความต้องการใช้ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เป็นที่เกรงว่าจะทำให้เกิดปัญหาความเดือดร้อนแก่เกษตรกร เพราะเป็นช่วงที่ผลผลิตกระเทียมเริ่มออกสู่ตลาด สำหรับราคาเกษตรกรขายได้เฉลี่ย 3 สัปดาห์ของเดือนมกราคม 2542 กระเทียมแห้งใหญ่คละกิโลกรัมละ 46.50 บาท และราคากระเทียมสดคละกิโลกรัมละ 7.01 บาท
ในการนี้ คณะกรรมการปราบปรามลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรเมื่อคราวประชุมวันที่ 18 มกราคม 2542 ได้มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
(1) กรมวิชาการเกษตร เร่งศึกษาวิจัยเพื่อหาข้อพิสูจน์ความแตกต่างระหว่างกระเทียมที่ผลิตในประเทศกับต่างประเทศ แล้วฝึกอบรมเจ้าหน้าที่จากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้สามารถพิสูจน์จำแนกความแตกต่างได้
(2) กรมศุลกากรเข้มงวดกวดขันสอดส่องดูแลโดยเฉพาะจังหวัดตามชายแดน เช่น เชียงราย มุกดาหาร และจังหวัดตามชายแดนภาคใต้
(3) กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทย ที่มีหน่วยงานตามแนวชายแดน แจ้งหมายเลขโทรศัพท์ให้กระทรวงพาณิชย์ทราบ เพื่อจะได้ประสานงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง
(4) กองทัพเรือช่วยสอดส่องดูแลเข้มงวดตามลำน้ำต่าง ๆ โดยเฉพาะตามลำน้ำโขง
(5) กระทรวงพาณิชย์เข้มงวดในการออกใบรับรองภายใต้ตามข้อตกลง WTO และอาจจำเป็นต้องกำหนดระยะเวลาหมดอายุใบอนุญาต เพื่อป้องกันมิให้นำไปใช้หมุนเวียนต่อไปได้
คาดว่า การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้ในระดับหนึ่ง
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญกุ้งกุลาดำ : ราคาโน้มสูงขึ้นเพราะประเทศคู่แข่งประสบปัญหาในการผลิต
สถานการณ์ราคากุ้ง ปี 2541
ราคากุ้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2541 ได้ตกต่ำลงมาก สาเหตุจากช่วงต้นปี ราคาอยู่ในระดับสูงจูงใจให้เกษตรกรเลี้ยงกุ้งกันมากขึ้น รวมทั้งมีการขยายการเพาะเลี้ยงไปยังพื้นที่น้ำจืดซึ่งเป็นพื้นที่นาข้าวและพื้นที่เกษตรดั้งเดิม จนเกิดปัญหาระหว่างเกษตรกร 2 ฝ่าย และรัฐบาลได้ประกาศห้ามทำการเลี้ยงในที่สุด และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาผ่อนผันการเลี้ยงในวันที่ 4 ธันวาคม 2541 เกษตรกรได้เร่งจับกุ้งทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดมากกว่าปกติ ในขณะที่ตลาดส่งออกที่สำคัญ ทั้งสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ได้ลดปริมาณการนำเข้าจากไทยลงด้วย ส่งผลให้ราคากุ้งในประเทศตกต่ำลง กล่าวคือ ราคาที่เกษตรกรขายได้ กุ้งขนาด 31-40 ตัว/กก. จากที่เคยขายได้กิโลกรัมละ 333.75-445.75 บาท ภายในเดือนมกราคม-มิถุนายน 2541 ได้ตกลงอย่างต่อเนื่องเหลือเพียงกิโลกรัมละ 202.40 บาท ในเดือนพฤศจิกายน
อย่างไรก็ตาม ในเดือนธันวาคม ราคาได้ขยับตัวสูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 230.00 บาท และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอีกในต้นปี 2542 ทั้งนี้เนื่องจากทั้งสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ได้นำเข้ากุ้งจากไทยเพิ่มมากขึ้น เนื่องจาก
(1) สหรัฐอเมริกา แหล่งเพาะเลี้ยงกุ้งที่สำคัญของประเทศได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ทำให้ผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดในช่วงไตรมาสแรกมีปริมาณลดลง ไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค ประกอบกับผู้นำเข้าของสหรัฐอเมริกามีความพอใจราคากุ้งที่ไทยเสนอขาย จึงมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
(2) ญี่ปุ่น ได้ซื้อกุ้งจากไทยเพิ่มขึ้นแทนการซื้อจากอินเดีย เนื่องจากเห็นว่ากุ้งไทยราคาต่ำ เมื่อเทียบกับค่าเงินเยนที่แข็งขึ้น
(3) แหล่งผลิตที่สำคัญของโลก คือ อินโดนีเซียและเวียดนาม ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ขณะที่ อินเดีย ลดปริมาณการเลี้ยงลง ประเทศผู้นำเข้าต่าง ๆ จึงหันมานำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้นแนวโน้มสถานการณ์ปี 2542
การผลิต คาดว่าผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงจะได้ประมาณ 200,000 ตัน ลดลงที่ผลิตได้ 230,000 ตัน ในปี 2541 ร้อยละ 13.04 เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศให้ยกเลิกการเลี้ยงกุ้งกุลาดำในเขตพื้นที่น้ำจืดทั่วประเทศ
การส่งออก แม้ว่าไทยจะส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแข็งไปบางประเทศได้เพิ่มขึ้น แต่คาดว่าการส่งออกโดยรวมจะลดลง คือ ประมาณ 120,000 ตัน ลดลงจากที่คาดว่าจะส่งออกได้ 150,000 ตัน ในปี 2541 ร้อยละ 20 เนื่องจาก คาดว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้าที่สำคัญ เช่น ญี่ปุ่นจะยังคงถดถอย ประกอบกับสหภาพยุโรปตัดสิทธิ์ GSP กุ้งไทย 100% ตั้งแต่ 1 มกราคม 2542 ทำให้กุ้งไทยต้องเสียภาษีนำเข้าสูงถึง 14.4 % ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาจึงลดลง ขณะนี้ผู้ส่งออกของไทยพยายามที่จะปรับตัว โดยการส่งออกผ่านไปยังประเทศที่ 3 ที่ยังไม่ถูกตัดสิทธิ์ GSP เช่น มาเลเซีย ที่เก็บภาษีในอัตรา 4.6 % เท่านั้น นอกจากนี้ จีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหม่ของไทยอีกประเทศหนึ่ง เข้มงวดในการเก็บภาษีนำเข้ากุ้งจากไทยสูงถึงร้อยละ 30 และภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 17
ข้อเสนอแนะ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงควรเร่งหาตลาดส่งออกใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าประเทศในแอฟริกาใต้และละตินอเมริกาจะเป็นตลาดส่งออกกุ้งที่สำคัญในอนาคต
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 18 - 24 ม.ค. 2542--