นายราเชนทร์ พจน์สุนทร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่าตั้งแต่ปี 2541 กระทรวงพาณิชย์ได้อนุญาตให้นำรถยนต์ที่ใช้แล้วเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อปรับสภาพแล้วส่งออก ซึ่งเป็นการสร้างงานภายในและนำเงินตราเข้าประเทศ โดยในปี 2545-2547 มีการนำรถยนต์ที่ใช้แล้วเข้ามาปรับสภาพเพื่อส่งออกจำนวน 7,819 คัน, 11,751 คัน และ 14,116 คัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 483 ล้านบาท, 950 ล้านบาท และ 1,252 ล้านบาท ตามลำดับ สำหรับการส่งออกรถยนต์ปรับสภาพในปี 2547 ส่งออกไปแล้วจำนวนประมาณ 8,300 คันเศษ โดยตลาดส่งออกรถยนต์ปรับสภาพที่สำคัญของไทยได้แก่ กัมพูชา จีน ลาว และพม่า นอกจากนี้ยังมีตลาดใหม่ที่มีลู่ทางในการส่งออกที่น่าสนใจ เช่น เวียดนาม แอฟริกาใต้ เป็นต้น
ในช่วงที่ผ่านมา การนำรถยนต์ที่ใช้แล้วเข้ามาปรับสภาพเพื่อส่งออกเป็นธุรกิจที่สามารถนำเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศปีละประมาณ 900 — 1,000 ล้านบาทเศษ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการจ้างงาน พัฒนาฝีมือแรงงาน และสามารถขายชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตภายในประเทศเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ประเทศผู้นำเข้ารถยนต์ปรับสภาพที่สำคัญของไทย คือ กัมพูชา พม่า ลาว เป็นต้น ประเทศดังกล่าวจะอนุญาตให้มีการนำเข้ารถยนต์ที่ใช้แล้วเฉพาะรถยนต์ที่ขับเคลื่อนพวงมาลัยซ้ายเท่านั้น และมีเงื่อนไขอื่นๆ อาทิ อายุการใช้งานของรถยนต์ สภาพของรถยนต์ เป็นต้น ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้ในแต่ละประเทศอาจมีแตกต่างกันไป ดังนั้นผู้ประกอบการที่จะส่งออกรถยนต์ ปรับสภาพไปประเทศคู่ค้าเหล่านี้ควรศึกษากฎระเบียบต่างๆ ให้ชัดเจน รวมทั้งสถานการณ์ของประเทศคู่ค้าและปัญหาทางด่านชายแดนก่อนการส่งสินค้านี้ออกไปประเทศต่างๆ ด้วย
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันในธุรกิจอย่างเท่าเทียมกันตามหลักการค้าเสรี และเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมประเภทนี้ให้มีมูลค่าการ ส่งออกมากขึ้น ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้แก้ไขระเบียบเกี่ยวกับการอนุญาตให้นำเข้ารถยนต์ปรับสภาพ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งเขตปลอดอากรหรือผู้ได้รับใบรับรองให้เป็นผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรจากกรมศุลกากรสามารถนำรถยนต์เข้ามาปรับสภาพได้ด้วย ซึ่งระเบียบเดิมจะอนุญาตให้เฉพาะผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกของการนิคมแห่งประเทศไทยเท่านั้น ขณะนี้ระเบียบที่แก้ไขใหม่ดังกล่าวอยู่ระหว่างการนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
--กรมการค้าระหว่างประเทศ--
-สส-
ในช่วงที่ผ่านมา การนำรถยนต์ที่ใช้แล้วเข้ามาปรับสภาพเพื่อส่งออกเป็นธุรกิจที่สามารถนำเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศปีละประมาณ 900 — 1,000 ล้านบาทเศษ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการจ้างงาน พัฒนาฝีมือแรงงาน และสามารถขายชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตภายในประเทศเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ประเทศผู้นำเข้ารถยนต์ปรับสภาพที่สำคัญของไทย คือ กัมพูชา พม่า ลาว เป็นต้น ประเทศดังกล่าวจะอนุญาตให้มีการนำเข้ารถยนต์ที่ใช้แล้วเฉพาะรถยนต์ที่ขับเคลื่อนพวงมาลัยซ้ายเท่านั้น และมีเงื่อนไขอื่นๆ อาทิ อายุการใช้งานของรถยนต์ สภาพของรถยนต์ เป็นต้น ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้ในแต่ละประเทศอาจมีแตกต่างกันไป ดังนั้นผู้ประกอบการที่จะส่งออกรถยนต์ ปรับสภาพไปประเทศคู่ค้าเหล่านี้ควรศึกษากฎระเบียบต่างๆ ให้ชัดเจน รวมทั้งสถานการณ์ของประเทศคู่ค้าและปัญหาทางด่านชายแดนก่อนการส่งสินค้านี้ออกไปประเทศต่างๆ ด้วย
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันในธุรกิจอย่างเท่าเทียมกันตามหลักการค้าเสรี และเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมประเภทนี้ให้มีมูลค่าการ ส่งออกมากขึ้น ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้แก้ไขระเบียบเกี่ยวกับการอนุญาตให้นำเข้ารถยนต์ปรับสภาพ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งเขตปลอดอากรหรือผู้ได้รับใบรับรองให้เป็นผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรจากกรมศุลกากรสามารถนำรถยนต์เข้ามาปรับสภาพได้ด้วย ซึ่งระเบียบเดิมจะอนุญาตให้เฉพาะผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกของการนิคมแห่งประเทศไทยเท่านั้น ขณะนี้ระเบียบที่แก้ไขใหม่ดังกล่าวอยู่ระหว่างการนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
--กรมการค้าระหว่างประเทศ--
-สส-