1. ประเด็นเศรษฐกิจต่างประเทศ (26 เมษายน -- 26 พฤษภาคม 2548)
ในไตรมาสแรกของปี 2548 เศรษฐกิจสหรัฐและกลุ่มประเทศยูโรส่งสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่องโดยตัวเลขกิจกรรมทางเศรษฐกิจสำคัญในช่วงที่ผ่านมาและจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของทั้งสองภูมิภาคเริ่มแสดงถึงแนวโน้มดังกล่าว ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้นหลังจากการฟื้นตัวได้ชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2547
สหรัฐอเมริกา
เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มชะลอตัวลง โดย GDP (revised) ไตรมาสที่ 1 ปี 2548 ขยายตัวร้อยละ 3.5 (qoq, annualized) (หรือขยายตัวร้อยละ 3.7 yoy) ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.8 (qoq, annualized) (หรือขยายตัวร้อยละ 3.9 yoy) ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค และสำหรับการเพิ่มขึ้นของ ระดับสินค้าคงคลังในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลจากการที่ผู้บริโภคและผู้ผลิตได้เริ่มชะลอการซื้อสินค้าลง และหากสินค้าคงคลังยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ผู้ผลิตอาจปรับลดการผลิตลงในระยะต่อไป ทั้งนี้ แม้ว่า GDP ของสหรัฐฯ จะชะลอตัวลง แต่ GDP deflator ที่ปรับสูงขึ้นร้อยละ 3.2 เทียบกับร้อยละ 2.3 ในไตรมาสก่อนชี้ว่าแรงกดดันด้าน เงินเฟ้อได้เริ่มปรับเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตชะลอตัวลงเช่นกัน โดยในส่วนของดัชนีความเชื่อมั่น ผู้บริโภค (U. of Michigan Confidence Index) ในเดือน พฤษภาคมปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 85.3 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2546 อันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ขณะที่ดัชนีความ เชื่อมั่นภาคธุรกิจในส่วนของภาคอุตสาหกรรม หรือ ISM Manufacturing ในเดือนเมษายนปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 53.3 ตามยอดสั่งซื้อที่ปรับลดลง สะท้อนว่าการผลิต มีแนวโน้มปรับลดลงในระยะต่อไป
ในการประชุมของ Fed เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2548 คณะกรรมการมีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 3 โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินให้ความเห็นว่า หลังจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้แล้ว stance ของนโยบายการเงินยังคงเป็นแบบผ่อนคลาย กอปรกับการขยายตัวของผลิตภาพ การผลิต (productivity) ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อไป การใช้จ่ายชะลอลงจากการปรับขึ้นเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่การคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมและยอมรับได้
ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินมองว่าความเสี่ยง (upside and downside risks) ของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อในช่วง 2-3 ไตรมาสข้างหน้า roughly equal และให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ย ในอนาคตไว้เช่นเดิม คือ "policy accommodation can be removed at a pace that is likely to be measured" และจะเปลี่ยนแปลงนโยบายตามภาวะเศรษฐกิจตามจำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพของระดับราคา
กลุ่มประเทศยูโร
ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจเบื้องต้น (Preliminary GDP growth) ของกลุ่มประเทศยูโรในช่วง ไตรมาสแรกของปี 2548 ขยายตัวร้อยละ 1.4 (yoy) หรือ ร้อยละ 0.5 (qoq) ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของตลาด โดยตัวเลขเบื้องต้นของเยอรมันดีกว่าที่คาดไว้มากตามการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ตัวเลขเบื้องต้นของอิตาลีและเนเธอร์แลนด์ยังคงหดตัว นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปได้ปรับลดประมาณการ GDP ในไตรมาส 2 ลงเหลือร้อยละ 0.2-0.6 (qoq) จากเดิมที่ร้อยละ 0.3-0.7 (qoq) และ คาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 จะขยายตัวร้อยละ 0.2-0.6 (qoq)
ทั้งนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของกลุ่มประเทศยูโร ในช่วงที่ผ่านมาแสดงถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอลง โดย ผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคมหดตัวร้อยละ 0.1 (yoy) จากการหดตัวของผลผลิตอุตสาหกรรมในประเทศหลัก เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี โดยเฉพาะการผลิต ในกลุ่มสินค้าคงทนและสินค้าขั้นกลาง นอกจากนี้ ดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรมในเดือนเมษายนลดลงต่ำกว่าระดับ 50 ต่ำสุดในรอบ 20 เดือนมาอยู่ที่ระดับ 49.2 ซึ่งสะท้อนว่าภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มชะลอตัวลงในระยะต่อไป
สำหรับอัตราเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศยูโรของในเดือนเมษายนทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.1 (yoy) สูงกว่าเป้า ของ ECB ที่ร้อยละ 2 เป็นผลมาจากราคาพลังงานที่ยังคงเร่งตัวขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานกลับชะลอลงมาอยู่ที่ ร้อยละ 1.4 (yoy)
ด้านนโยบายการเงิน ในการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมาที่ประชุมมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Refinancing rate) ไว้ที่ร้อยละ 2.0 ต่อปีเช่นเดิม เนื่องจาก ECB เห็นว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อยังคงสอดคล้องกับเป้าหมายเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางอยู่ รวมทั้งยังไม่เห็นแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น แม้ว่าจะชะลอลงบ้างในระยะสั้น จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น อนึ่ง ECB ยังคงยืนยันท่าทีที่จะเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป (continued vigilant) ต่อไปเนื่องจากยังคงมี upside risks ต่อแรงกดดันเงินเฟ้อ และมีการเร่งตัวของสินเชื่อและปริมาณเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางอีกด้วย
ญี่ปุ่น
เศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาสแรกของปี 2548 ขยายตัวร้อยละ 1.3 (qoq, annualized ร้อยละ 5.3) หรือ ร้อยละ 1.2 (yoy) โดยเป็นผลมาจากการปรับตัวที่ดีขึ้น ของอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาค เอกชนซึ่งกลับมาขยายตัวร้อยละ 1.2 (qoq) จากที่หดตัวในไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2547
ทั้งนี้ แม้ว่าญี่ปุ่นยังคงประสบกับปัญหาการ ชะลอตัวของการส่งออกมานับตั้งแต่ต้นปี 2548 แต่ล่าสุดในเดือนเมษายนการส่งออกได้ขยายตัวดีขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 7.8 (yoy) ซึ่งทางการคาดว่า ตลาดเทคโนโลยีโลกจะปรับตัวดีขึ้น หลังจากกลางปี 2548 และจะทำให้การส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นค่อยๆ ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นโดยทางการคาดว่าในปีงบประมาณ 2548 เศรษฐกิจจขยายตัว ร้อยละ 1.5 (yoy)
เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2548 ธนาคารกลางญี่ปุ่น ได้ประกาศที่จะยอมให้ยอดคงค้าง current account สถาบันการเงินซึ่งดำรงไว้ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นต่ำกว่า เป้าหมายได้ในบางช่วง หากความต้องการลดลง (ปัจจุบัน อยู่ที่ 30-35 ล้านล้านเยน) โดยธนาคารกลางญี่ปุ่นย้ำว่า การดำเนินการดังกล่าว ไม่ได้เป็นการเริ่มที่จะดำเนิน นโยบายแบบเข้มงวด แต่เป็นเพียง technical adjustment และธนาคารกลางญี่ปุ่นยืนยันที่จะคงนโยบายการเงิน ผ่อนคลายต่อไปจนกว่าเศรษฐกิจจะสามารถพ้นจากภาวะเงินฝืดได้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นภายในปี 2549
บริษัท จัดอันดับ Fitch Ratings ได้ปรับเพิ่ม Outlook ของตราสารหนี้ต่างประเทศระยะยาวจาก Negative เป็น Stable เนื่องจากเห็นว่า ในช่วง 3-5 ปีจากนี้ไป เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ประมาณร้อยละ 2 ต่อปี และจะทำให้ทางการสามารถดำเนินนโยบายการคลังที่เข้มงวดขึ้นได้ ซึ่งจะเป็นหนทางหนึ่ง ในการพยายามลดหนี้ภาครัฐที่เป็นปัญหาเรื้อรังของญี่ปุ่น
เอเชีย
ภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียในไตรมาสแรกชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน
ญี่ปุ่นโดยปัจจัยสำคัญของการขยายตัวมาจากอุปสงค์ภายในประเทศ ขณะที่อุปสงค์จากต่างประเทศ ยังอยู่ในภาวะ ซบเซาต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ ในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจในภูมิภาค เอเชียจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของอุปสงค์ในตลาดโลก
เศรษฐกิจไตรมาสแรกของเกาหลีใต้ขยายตัวร้อยละ 2.7 (yoy) ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.3 โดยปัจจัยสำคัญของการชะลอตัวมาจาก การลงทุนและภาคการส่งออกที่ยังอยู่ในภาวะซบเซา ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวโดยขยายตัวสูงสุดในรอบ 9 ไตรมาสที่ร้อยละ 1.4 (yoy) ทั้งนี้ ธนาคารกลางเกาหลียังคงคาดว่าเศรษฐกิจทั้งปี 2548 จะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 4
เศรษฐกิจไตรมาสแรกของไต้หวันขยายตัวร้อยละ 2.5 (yoy) ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว ร้อยละ 3.3 และนับเป็นการขยายตัวในระดับต่ำที่สุดในรอบ 7 ไตรมาส เนื่องจากการชะลอตัวของการส่งออก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ไต้หวัน นอกจากนี้ รัฐบาลไต้หวันได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ลงจากร้อยละ 4.2 เหลือร้อยละ 3.6 ชะลอลงจากปี 2547 ที่เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 5.7
เศรษฐกิจไตรมาสแรกของมาเลเซียขยายตัวร้อยละ 5.7 (yoy) สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ร้อยละ 5.1 แต่ชะลอลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนซึ่งขยายตัวร้อยละ 5.8 (ทางการปรับตัวเลขเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ขยายตัวร้อยละ 5.6) โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ยังคงเป็นอุปสงค์ภายในประเทศที่ช่วยชดเชยภาวะซบเซาของอุปสงค์จากต่างประเทศ เช่นเดียวกับ ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 โดยการใช้จ่ายของผู้บริโภคภาคเอกชนขยายตัวสูงถึงร้อยละ 10.1 (yoy) ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียคาดว่าเศรษฐกิจทั้งปี 2548 จะขยายตัวร้อยละ 5-6 ชะลอลงจากปี 2547 ที่ขยายตัวร้อยละ 7.1
เศรษฐกิจไตรมาสแรกของอินโดนีเซียขยายตัวร้อยละ 6.4 (yoy) ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 6.7 แต่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.5 ปัจจัยสำคัญมาจากการลงทุนแลการส่งออกที่ปรับตัวดีกว่าที่คาด โดยส่วนหนึ่งเป็นการลงทุนเพื่อฟื้นฟูสภาพพื้นที่ภายหลังจากได้รับผลกระทบจากสึนามิ โครงการลงทุนด้านสาธารณูปโภค ตลอดจนจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่กลับมาดีขึ้นนับตั้งแต่ การเลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จสิ้นในเดือนกันยายน 2547 ที่ผ่านมา
เศรษฐกิจไตรมาสแรกของสิงคโปร์ขยายตัวร้อยละ 2.5 (yoy) ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 6.5 ทั้งนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ได้ปรับลดคาดการณ์ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปี 2548 ลงจากร้อยละ 3-5 เป็นร้อยละ 2.5-4.5 เนื่องจากการขยายตัวของไตรมาสแรก ต่ำกว่าที่คาด และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยังอยู่ในภาวะซบเซา
- การส่งออกเดือน เม ษ ยน ของป ระเทศในภูมิภาคค่อนข้างชะลอตัวตามอุปสงค์ในตลาดโลก และตามอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังอยู่ในช่วง ของการปรับตัว โดยการส่งออกของจีนในเดือนเมษายน ขยายตัวร้อยละ 31.9 (yoy) ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน ที่ขยายตัวร้อยละ 32.9 การนำเข้าชะลอตัวลงเช่นกัน โดยขยายตัวร้อยละ 16.2 เทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 18.6 ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการชะลอความร้อนแรง ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ส่งผลให้จีนเกินดุลการค้า 4.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
- อัตราเงินเฟ้อเดือนเมษายนของประเทศในภูมิภาคเอเชียยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ดัชนีราคาผู้ผลิตของจีนในเดือนเมษายนสูงขึ้นร้อยละ 5.8 (yoy) เร่งขึ้นจากเดือนก่อนที่สูงขึ้นร้อยละ 5.6 จากการปรับเพิ่มราคาของวัตถุดิบและค่าไฟ และคาดว่าจะเป็นแรงกดดันให้ดัชนีราคาผู้บริโภคในจีนปรับตัวสูงขึ้นตามในระยะต่อไปอัตราเงินเฟ้อของมาเลเซียเดือนเมษายนอยู่ที่ร้อยละ 2.7 (yoy) เร่งขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2.6 และนับเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 6 ปี เนื่องจาก การปรับตัวสูงขึ้นของราคาอาหาร เฟอร์นิเจอร์ และเชื้อ เพลิง ทั้งนี้ แรงกดดันต่อเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก ในช่วงต่อไป ตามที่รัฐบาลได้ปรับราคาน้ำมันดีเซลและ เบนซินขึ้นร้อยละ 23 และ 7 ตามลำดับ โดยให้มีผลตั้งแต่ เดือนพฤษภาคมนี้
- นโยบายการเงินและการคลัง ธนาคารกลางหลายแห่งในภูมิภาคเอเชียยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดอย่างระมัดระวังต่อเนื่องจากช่วงก่อนเพื่อลด แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง แต่ไม่ต้องการ ให้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ ขณะที่อุปสงค์จากต่างประเทศยังซบเซา
ทั้งนี้ ธนาคารกลางเกาหลีใต้ ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมที่ร้อยละ 3.25 เพื่อสนับสนุนการ ฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจโดยรวมยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงและการแข็งค่าของเงินวอนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้กระทรวงการคลังและเศรษฐกิจของเกาหลีอาจต้องพิจารณาถึงรายจ่ายงบประมาณ เพิ่มเติม (supplementary budget) ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และอาจ ส่งผลต่อเป้างบประมาณของรัฐบาลในปีนี้ซึ่งตั้งไว้ที่เกินดุลร้อยละ 0.7 ของ GDP
รัฐบาลอินโดนีเซียเกินดุลงบประมาณในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2548 ที่ 2.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. จากที่ได้ตั้งเป้าการขาดดุลงบประมาณในปี 2548 ไว้ที่ร้อยละ 1.3 ของ GDP ทั้งนี้ การปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันมาก กว่าที่คาดทำให้รัฐบาลต้องปรับเพิ่มรายจ่ายงบประมาณ ในการพยุงราคาน้ำมันจาก 19 ล้านล้านรูเปียห์เป็น 39.8 ล้านล้านรูเปียห์
รัฐบาลฟิลิปปินส์อาจปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 12 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 เป็นต้นไปเพื่อลดปัญหาการขาดดุลการคลัง ในกรณี สามารถเก็บรายรับจากภาษีมูลค่าเพิ่มได้เกินร้อยละ 2.8 ของ GDP ในปี 2548 หรือในกรณีที่รัฐบาลกลางขาดดุล งบประมาณเกินร้อยละ 1.5 ของ GDP นอกจากนี้ รัฐบาล จะปรับขึ้นอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 32 ในปัจจุบันเป็นร้อยละ 35 เริ่มตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปี 2551 และจะปรับลดลงเหลือร้อยละ 30 ในปี 2552
สำหรับแรงกดดันต่อการปรับค่าเงินหยวน สำนักงานปริวรรตเงินตราจีนได้ปรับกฎการลงทุนในต่างประเทศของบริษัทจีนใหม่ โดยอนุญาตให้บริษัทจีน
นำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศในปีนี้ เป็น 5,000 ล้านดอลลาร์สรอ. จาก 3,300 ล้านดอลลาร์สรอ. ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2548 เป็นต้นไป เพื่อผ่อนคลายแรงกดดันต่อ การปรับค่าเงินหยวน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีแรงกดดันจากสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2548 สหรัฐฯ กดดันจีนมากขึ้น โดยเสนอให้จีนปรับค่าเงินหยวน ให้แข็งขึ้นร้อยละ 10 เพื่อไม่ให้รัฐสภาสหรัฐฯ ต้องออก กฎหมายกีดกันทางการค้ากับจีน โดยจะจัดเก็บภาษีสินค้า จีนในอัตราร้อยละ 27.5
ทั้งนี้ ธนาคารกลางฮ่องกงได้ปรับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนให้มี convertibility zone สำหรับอัตราแลกเปลี่ยน เงินดอลลาร์ฮ่องกง โดยให้สามารถแข็งค่าไปจนถึง 7.75 ต่อดอลลาร์ สรอ. ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2548 เป็นต้นไป และสามารถอ่อนค่าไปจนถึง 7.85 ต่อดอลลาร์ สรอ.ตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคมเป็นต้นไป เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับ ระบบอัตราแลกเปลี่ยนของฮ่องกงและลดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการแข็งค่าของค่าเงินฮ่องกง
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังของมาเลเซียประกาศว่าไม่มีแผนที่จะเก็บภาษีจากเงินทุนที่ไหลออกจากมาเลเซีย (exit tax) จากการที่มีเงินทุนไหลเข้ามาเลเซีย จำนวนมากเพื่อเก็งกำไรจากค่าเงินริงกิตที่คาดว่าจะมี การปรับค่าในช่วงที่ผ่านมา
ส่วนเศรษฐกิจต่างประเทศ
โทร. 0-2283-5147
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ในไตรมาสแรกของปี 2548 เศรษฐกิจสหรัฐและกลุ่มประเทศยูโรส่งสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่องโดยตัวเลขกิจกรรมทางเศรษฐกิจสำคัญในช่วงที่ผ่านมาและจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของทั้งสองภูมิภาคเริ่มแสดงถึงแนวโน้มดังกล่าว ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้นหลังจากการฟื้นตัวได้ชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2547
สหรัฐอเมริกา
เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มชะลอตัวลง โดย GDP (revised) ไตรมาสที่ 1 ปี 2548 ขยายตัวร้อยละ 3.5 (qoq, annualized) (หรือขยายตัวร้อยละ 3.7 yoy) ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.8 (qoq, annualized) (หรือขยายตัวร้อยละ 3.9 yoy) ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค และสำหรับการเพิ่มขึ้นของ ระดับสินค้าคงคลังในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลจากการที่ผู้บริโภคและผู้ผลิตได้เริ่มชะลอการซื้อสินค้าลง และหากสินค้าคงคลังยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ผู้ผลิตอาจปรับลดการผลิตลงในระยะต่อไป ทั้งนี้ แม้ว่า GDP ของสหรัฐฯ จะชะลอตัวลง แต่ GDP deflator ที่ปรับสูงขึ้นร้อยละ 3.2 เทียบกับร้อยละ 2.3 ในไตรมาสก่อนชี้ว่าแรงกดดันด้าน เงินเฟ้อได้เริ่มปรับเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตชะลอตัวลงเช่นกัน โดยในส่วนของดัชนีความเชื่อมั่น ผู้บริโภค (U. of Michigan Confidence Index) ในเดือน พฤษภาคมปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 85.3 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2546 อันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ขณะที่ดัชนีความ เชื่อมั่นภาคธุรกิจในส่วนของภาคอุตสาหกรรม หรือ ISM Manufacturing ในเดือนเมษายนปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 53.3 ตามยอดสั่งซื้อที่ปรับลดลง สะท้อนว่าการผลิต มีแนวโน้มปรับลดลงในระยะต่อไป
ในการประชุมของ Fed เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2548 คณะกรรมการมีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 3 โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินให้ความเห็นว่า หลังจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้แล้ว stance ของนโยบายการเงินยังคงเป็นแบบผ่อนคลาย กอปรกับการขยายตัวของผลิตภาพ การผลิต (productivity) ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อไป การใช้จ่ายชะลอลงจากการปรับขึ้นเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่การคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมและยอมรับได้
ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินมองว่าความเสี่ยง (upside and downside risks) ของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อในช่วง 2-3 ไตรมาสข้างหน้า roughly equal และให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ย ในอนาคตไว้เช่นเดิม คือ "policy accommodation can be removed at a pace that is likely to be measured" และจะเปลี่ยนแปลงนโยบายตามภาวะเศรษฐกิจตามจำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพของระดับราคา
กลุ่มประเทศยูโร
ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจเบื้องต้น (Preliminary GDP growth) ของกลุ่มประเทศยูโรในช่วง ไตรมาสแรกของปี 2548 ขยายตัวร้อยละ 1.4 (yoy) หรือ ร้อยละ 0.5 (qoq) ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของตลาด โดยตัวเลขเบื้องต้นของเยอรมันดีกว่าที่คาดไว้มากตามการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ตัวเลขเบื้องต้นของอิตาลีและเนเธอร์แลนด์ยังคงหดตัว นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปได้ปรับลดประมาณการ GDP ในไตรมาส 2 ลงเหลือร้อยละ 0.2-0.6 (qoq) จากเดิมที่ร้อยละ 0.3-0.7 (qoq) และ คาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 จะขยายตัวร้อยละ 0.2-0.6 (qoq)
ทั้งนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของกลุ่มประเทศยูโร ในช่วงที่ผ่านมาแสดงถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอลง โดย ผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคมหดตัวร้อยละ 0.1 (yoy) จากการหดตัวของผลผลิตอุตสาหกรรมในประเทศหลัก เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี โดยเฉพาะการผลิต ในกลุ่มสินค้าคงทนและสินค้าขั้นกลาง นอกจากนี้ ดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรมในเดือนเมษายนลดลงต่ำกว่าระดับ 50 ต่ำสุดในรอบ 20 เดือนมาอยู่ที่ระดับ 49.2 ซึ่งสะท้อนว่าภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มชะลอตัวลงในระยะต่อไป
สำหรับอัตราเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศยูโรของในเดือนเมษายนทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.1 (yoy) สูงกว่าเป้า ของ ECB ที่ร้อยละ 2 เป็นผลมาจากราคาพลังงานที่ยังคงเร่งตัวขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานกลับชะลอลงมาอยู่ที่ ร้อยละ 1.4 (yoy)
ด้านนโยบายการเงิน ในการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมาที่ประชุมมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Refinancing rate) ไว้ที่ร้อยละ 2.0 ต่อปีเช่นเดิม เนื่องจาก ECB เห็นว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อยังคงสอดคล้องกับเป้าหมายเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางอยู่ รวมทั้งยังไม่เห็นแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น แม้ว่าจะชะลอลงบ้างในระยะสั้น จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น อนึ่ง ECB ยังคงยืนยันท่าทีที่จะเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป (continued vigilant) ต่อไปเนื่องจากยังคงมี upside risks ต่อแรงกดดันเงินเฟ้อ และมีการเร่งตัวของสินเชื่อและปริมาณเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางอีกด้วย
ญี่ปุ่น
เศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาสแรกของปี 2548 ขยายตัวร้อยละ 1.3 (qoq, annualized ร้อยละ 5.3) หรือ ร้อยละ 1.2 (yoy) โดยเป็นผลมาจากการปรับตัวที่ดีขึ้น ของอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาค เอกชนซึ่งกลับมาขยายตัวร้อยละ 1.2 (qoq) จากที่หดตัวในไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2547
ทั้งนี้ แม้ว่าญี่ปุ่นยังคงประสบกับปัญหาการ ชะลอตัวของการส่งออกมานับตั้งแต่ต้นปี 2548 แต่ล่าสุดในเดือนเมษายนการส่งออกได้ขยายตัวดีขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 7.8 (yoy) ซึ่งทางการคาดว่า ตลาดเทคโนโลยีโลกจะปรับตัวดีขึ้น หลังจากกลางปี 2548 และจะทำให้การส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นค่อยๆ ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นโดยทางการคาดว่าในปีงบประมาณ 2548 เศรษฐกิจจขยายตัว ร้อยละ 1.5 (yoy)
เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2548 ธนาคารกลางญี่ปุ่น ได้ประกาศที่จะยอมให้ยอดคงค้าง current account สถาบันการเงินซึ่งดำรงไว้ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นต่ำกว่า เป้าหมายได้ในบางช่วง หากความต้องการลดลง (ปัจจุบัน อยู่ที่ 30-35 ล้านล้านเยน) โดยธนาคารกลางญี่ปุ่นย้ำว่า การดำเนินการดังกล่าว ไม่ได้เป็นการเริ่มที่จะดำเนิน นโยบายแบบเข้มงวด แต่เป็นเพียง technical adjustment และธนาคารกลางญี่ปุ่นยืนยันที่จะคงนโยบายการเงิน ผ่อนคลายต่อไปจนกว่าเศรษฐกิจจะสามารถพ้นจากภาวะเงินฝืดได้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นภายในปี 2549
บริษัท จัดอันดับ Fitch Ratings ได้ปรับเพิ่ม Outlook ของตราสารหนี้ต่างประเทศระยะยาวจาก Negative เป็น Stable เนื่องจากเห็นว่า ในช่วง 3-5 ปีจากนี้ไป เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ประมาณร้อยละ 2 ต่อปี และจะทำให้ทางการสามารถดำเนินนโยบายการคลังที่เข้มงวดขึ้นได้ ซึ่งจะเป็นหนทางหนึ่ง ในการพยายามลดหนี้ภาครัฐที่เป็นปัญหาเรื้อรังของญี่ปุ่น
เอเชีย
ภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียในไตรมาสแรกชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน
ญี่ปุ่นโดยปัจจัยสำคัญของการขยายตัวมาจากอุปสงค์ภายในประเทศ ขณะที่อุปสงค์จากต่างประเทศ ยังอยู่ในภาวะ ซบเซาต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ ในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจในภูมิภาค เอเชียจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของอุปสงค์ในตลาดโลก
เศรษฐกิจไตรมาสแรกของเกาหลีใต้ขยายตัวร้อยละ 2.7 (yoy) ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.3 โดยปัจจัยสำคัญของการชะลอตัวมาจาก การลงทุนและภาคการส่งออกที่ยังอยู่ในภาวะซบเซา ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวโดยขยายตัวสูงสุดในรอบ 9 ไตรมาสที่ร้อยละ 1.4 (yoy) ทั้งนี้ ธนาคารกลางเกาหลียังคงคาดว่าเศรษฐกิจทั้งปี 2548 จะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 4
เศรษฐกิจไตรมาสแรกของไต้หวันขยายตัวร้อยละ 2.5 (yoy) ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว ร้อยละ 3.3 และนับเป็นการขยายตัวในระดับต่ำที่สุดในรอบ 7 ไตรมาส เนื่องจากการชะลอตัวของการส่งออก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ไต้หวัน นอกจากนี้ รัฐบาลไต้หวันได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ลงจากร้อยละ 4.2 เหลือร้อยละ 3.6 ชะลอลงจากปี 2547 ที่เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 5.7
เศรษฐกิจไตรมาสแรกของมาเลเซียขยายตัวร้อยละ 5.7 (yoy) สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ร้อยละ 5.1 แต่ชะลอลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนซึ่งขยายตัวร้อยละ 5.8 (ทางการปรับตัวเลขเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ขยายตัวร้อยละ 5.6) โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ยังคงเป็นอุปสงค์ภายในประเทศที่ช่วยชดเชยภาวะซบเซาของอุปสงค์จากต่างประเทศ เช่นเดียวกับ ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 โดยการใช้จ่ายของผู้บริโภคภาคเอกชนขยายตัวสูงถึงร้อยละ 10.1 (yoy) ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียคาดว่าเศรษฐกิจทั้งปี 2548 จะขยายตัวร้อยละ 5-6 ชะลอลงจากปี 2547 ที่ขยายตัวร้อยละ 7.1
เศรษฐกิจไตรมาสแรกของอินโดนีเซียขยายตัวร้อยละ 6.4 (yoy) ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 6.7 แต่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.5 ปัจจัยสำคัญมาจากการลงทุนแลการส่งออกที่ปรับตัวดีกว่าที่คาด โดยส่วนหนึ่งเป็นการลงทุนเพื่อฟื้นฟูสภาพพื้นที่ภายหลังจากได้รับผลกระทบจากสึนามิ โครงการลงทุนด้านสาธารณูปโภค ตลอดจนจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่กลับมาดีขึ้นนับตั้งแต่ การเลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จสิ้นในเดือนกันยายน 2547 ที่ผ่านมา
เศรษฐกิจไตรมาสแรกของสิงคโปร์ขยายตัวร้อยละ 2.5 (yoy) ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 6.5 ทั้งนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ได้ปรับลดคาดการณ์ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปี 2548 ลงจากร้อยละ 3-5 เป็นร้อยละ 2.5-4.5 เนื่องจากการขยายตัวของไตรมาสแรก ต่ำกว่าที่คาด และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยังอยู่ในภาวะซบเซา
- การส่งออกเดือน เม ษ ยน ของป ระเทศในภูมิภาคค่อนข้างชะลอตัวตามอุปสงค์ในตลาดโลก และตามอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังอยู่ในช่วง ของการปรับตัว โดยการส่งออกของจีนในเดือนเมษายน ขยายตัวร้อยละ 31.9 (yoy) ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน ที่ขยายตัวร้อยละ 32.9 การนำเข้าชะลอตัวลงเช่นกัน โดยขยายตัวร้อยละ 16.2 เทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 18.6 ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการชะลอความร้อนแรง ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ส่งผลให้จีนเกินดุลการค้า 4.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
- อัตราเงินเฟ้อเดือนเมษายนของประเทศในภูมิภาคเอเชียยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ดัชนีราคาผู้ผลิตของจีนในเดือนเมษายนสูงขึ้นร้อยละ 5.8 (yoy) เร่งขึ้นจากเดือนก่อนที่สูงขึ้นร้อยละ 5.6 จากการปรับเพิ่มราคาของวัตถุดิบและค่าไฟ และคาดว่าจะเป็นแรงกดดันให้ดัชนีราคาผู้บริโภคในจีนปรับตัวสูงขึ้นตามในระยะต่อไปอัตราเงินเฟ้อของมาเลเซียเดือนเมษายนอยู่ที่ร้อยละ 2.7 (yoy) เร่งขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2.6 และนับเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 6 ปี เนื่องจาก การปรับตัวสูงขึ้นของราคาอาหาร เฟอร์นิเจอร์ และเชื้อ เพลิง ทั้งนี้ แรงกดดันต่อเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก ในช่วงต่อไป ตามที่รัฐบาลได้ปรับราคาน้ำมันดีเซลและ เบนซินขึ้นร้อยละ 23 และ 7 ตามลำดับ โดยให้มีผลตั้งแต่ เดือนพฤษภาคมนี้
- นโยบายการเงินและการคลัง ธนาคารกลางหลายแห่งในภูมิภาคเอเชียยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดอย่างระมัดระวังต่อเนื่องจากช่วงก่อนเพื่อลด แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง แต่ไม่ต้องการ ให้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ ขณะที่อุปสงค์จากต่างประเทศยังซบเซา
ทั้งนี้ ธนาคารกลางเกาหลีใต้ ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมที่ร้อยละ 3.25 เพื่อสนับสนุนการ ฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจโดยรวมยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงและการแข็งค่าของเงินวอนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้กระทรวงการคลังและเศรษฐกิจของเกาหลีอาจต้องพิจารณาถึงรายจ่ายงบประมาณ เพิ่มเติม (supplementary budget) ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และอาจ ส่งผลต่อเป้างบประมาณของรัฐบาลในปีนี้ซึ่งตั้งไว้ที่เกินดุลร้อยละ 0.7 ของ GDP
รัฐบาลอินโดนีเซียเกินดุลงบประมาณในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2548 ที่ 2.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. จากที่ได้ตั้งเป้าการขาดดุลงบประมาณในปี 2548 ไว้ที่ร้อยละ 1.3 ของ GDP ทั้งนี้ การปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันมาก กว่าที่คาดทำให้รัฐบาลต้องปรับเพิ่มรายจ่ายงบประมาณ ในการพยุงราคาน้ำมันจาก 19 ล้านล้านรูเปียห์เป็น 39.8 ล้านล้านรูเปียห์
รัฐบาลฟิลิปปินส์อาจปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 12 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 เป็นต้นไปเพื่อลดปัญหาการขาดดุลการคลัง ในกรณี สามารถเก็บรายรับจากภาษีมูลค่าเพิ่มได้เกินร้อยละ 2.8 ของ GDP ในปี 2548 หรือในกรณีที่รัฐบาลกลางขาดดุล งบประมาณเกินร้อยละ 1.5 ของ GDP นอกจากนี้ รัฐบาล จะปรับขึ้นอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 32 ในปัจจุบันเป็นร้อยละ 35 เริ่มตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปี 2551 และจะปรับลดลงเหลือร้อยละ 30 ในปี 2552
สำหรับแรงกดดันต่อการปรับค่าเงินหยวน สำนักงานปริวรรตเงินตราจีนได้ปรับกฎการลงทุนในต่างประเทศของบริษัทจีนใหม่ โดยอนุญาตให้บริษัทจีน
นำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศในปีนี้ เป็น 5,000 ล้านดอลลาร์สรอ. จาก 3,300 ล้านดอลลาร์สรอ. ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2548 เป็นต้นไป เพื่อผ่อนคลายแรงกดดันต่อ การปรับค่าเงินหยวน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีแรงกดดันจากสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2548 สหรัฐฯ กดดันจีนมากขึ้น โดยเสนอให้จีนปรับค่าเงินหยวน ให้แข็งขึ้นร้อยละ 10 เพื่อไม่ให้รัฐสภาสหรัฐฯ ต้องออก กฎหมายกีดกันทางการค้ากับจีน โดยจะจัดเก็บภาษีสินค้า จีนในอัตราร้อยละ 27.5
ทั้งนี้ ธนาคารกลางฮ่องกงได้ปรับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนให้มี convertibility zone สำหรับอัตราแลกเปลี่ยน เงินดอลลาร์ฮ่องกง โดยให้สามารถแข็งค่าไปจนถึง 7.75 ต่อดอลลาร์ สรอ. ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2548 เป็นต้นไป และสามารถอ่อนค่าไปจนถึง 7.85 ต่อดอลลาร์ สรอ.ตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคมเป็นต้นไป เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับ ระบบอัตราแลกเปลี่ยนของฮ่องกงและลดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการแข็งค่าของค่าเงินฮ่องกง
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังของมาเลเซียประกาศว่าไม่มีแผนที่จะเก็บภาษีจากเงินทุนที่ไหลออกจากมาเลเซีย (exit tax) จากการที่มีเงินทุนไหลเข้ามาเลเซีย จำนวนมากเพื่อเก็งกำไรจากค่าเงินริงกิตที่คาดว่าจะมี การปรับค่าในช่วงที่ผ่านมา
ส่วนเศรษฐกิจต่างประเทศ
โทร. 0-2283-5147
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--