กรุงเทพ--25 มี.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
ด้วยกระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ว่า ใน วันที่ 23 มีนาคม 2542 สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ลงนามสัญญาว่าด้วยความร่วมมือในการทำประมงระหว่างบริษัท Asian-Thai Fisheries Co.Ltd. ของไทย กับบริษัท Ladang Kanka Sdn.Bhd. และบริษัท Lingkaran Jaya Sdn.Bhd. ของมาเลเซีย โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมประมงมาเลเซีย ประธานคณะกรรมการด้านการประมงและ อุตสาหกรรมต่อเนื่อง หอการค้าไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน สัญญาการทำประมงดังกล่าวกำหนดให้ ฝ่ายไทยนำเรือประมงขนาดระวางขับน้ำ 100 ตันจำนวน 5 ลำ ไปจับปลาในทะเลน้ำลึกนอกชายฝั่งรัฐซาราวักของมาเลเซีย ได้เป็นเวลา 11 เดือนครึ่ง โดยใช้ใบอนุญาตจับปลาของนักธุรกิจมาเลเซีย ปลาทั้งหมดที่จับได้จะนำขึ้นฝั่งที่รัฐซาราวักเพื่อขายในรัฐ ซาราวัก สำหรับปลาส่วนเกินความต้องการสามารถส่งเข้ามายังประเทศไทยได้ ฝ่ายไทยคาดว่า จะสามารถเริ่มดำเนินการตามสัญญาได้ภายในเดือนเมษายน 2542 และจะใช้ไต้ก๋งและลูกเรือประมงที่เป็นคนไทยทั้งหมด
ความสำเร็จครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากปัจจัยสำคัญหลายประการ กล่าวคือ (1) การผลักดันของ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้มีหนังสือลงนามไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของมาเลเซีย (2) ความพร้อมของรัฐบาลมาเลเซียที่จะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยเข้าไปร่วมมือกับเอกชนมาเลเซียเพื่อพัฒนาธุรกิจประมง ที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์สำหรับทั้ง 2 ฝ่าย และ (3) ความสนใจอย่างจริงจังของภาคเอกชนไทยที่จะแปรโอกาสที่ฝ่ายมาเลเซียเสนอให้นี้ไปสู่ความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม
ความร่วมมือดังกล่าวเป็นผลจากการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตฯ ภายใต้โครงการรักษา พัฒนา และส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทยโดยความร่วมมือของหอการค้าไทย และ INFOFISH ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศที่รับผิดชอบเรื่องประมงในการนำคณะนักธุรกิจประมง และอุตสาหกรรมต่อเนื่องของไทยเดินทางไปเยือนกรุงกัวลาลัมเปอร์ ทั้งนี้ หากทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ก็น่าจะนำไปสู่การขยายความร่วมมือทางประมงระหว่างสองประเทศ ที่กว้างขวางยิ่งขึ้นโดยไม่จำเป็นจะต้องจำกัดอยู่เฉพาะผู้ประกอบการ 3 รายนี้เท่านั้น
จึงแจ้งมาเพื่อโปรดทราบ--จบ--
ด้วยกระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ว่า ใน วันที่ 23 มีนาคม 2542 สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ลงนามสัญญาว่าด้วยความร่วมมือในการทำประมงระหว่างบริษัท Asian-Thai Fisheries Co.Ltd. ของไทย กับบริษัท Ladang Kanka Sdn.Bhd. และบริษัท Lingkaran Jaya Sdn.Bhd. ของมาเลเซีย โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมประมงมาเลเซีย ประธานคณะกรรมการด้านการประมงและ อุตสาหกรรมต่อเนื่อง หอการค้าไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน สัญญาการทำประมงดังกล่าวกำหนดให้ ฝ่ายไทยนำเรือประมงขนาดระวางขับน้ำ 100 ตันจำนวน 5 ลำ ไปจับปลาในทะเลน้ำลึกนอกชายฝั่งรัฐซาราวักของมาเลเซีย ได้เป็นเวลา 11 เดือนครึ่ง โดยใช้ใบอนุญาตจับปลาของนักธุรกิจมาเลเซีย ปลาทั้งหมดที่จับได้จะนำขึ้นฝั่งที่รัฐซาราวักเพื่อขายในรัฐ ซาราวัก สำหรับปลาส่วนเกินความต้องการสามารถส่งเข้ามายังประเทศไทยได้ ฝ่ายไทยคาดว่า จะสามารถเริ่มดำเนินการตามสัญญาได้ภายในเดือนเมษายน 2542 และจะใช้ไต้ก๋งและลูกเรือประมงที่เป็นคนไทยทั้งหมด
ความสำเร็จครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากปัจจัยสำคัญหลายประการ กล่าวคือ (1) การผลักดันของ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้มีหนังสือลงนามไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของมาเลเซีย (2) ความพร้อมของรัฐบาลมาเลเซียที่จะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยเข้าไปร่วมมือกับเอกชนมาเลเซียเพื่อพัฒนาธุรกิจประมง ที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์สำหรับทั้ง 2 ฝ่าย และ (3) ความสนใจอย่างจริงจังของภาคเอกชนไทยที่จะแปรโอกาสที่ฝ่ายมาเลเซียเสนอให้นี้ไปสู่ความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม
ความร่วมมือดังกล่าวเป็นผลจากการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตฯ ภายใต้โครงการรักษา พัฒนา และส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทยโดยความร่วมมือของหอการค้าไทย และ INFOFISH ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศที่รับผิดชอบเรื่องประมงในการนำคณะนักธุรกิจประมง และอุตสาหกรรมต่อเนื่องของไทยเดินทางไปเยือนกรุงกัวลาลัมเปอร์ ทั้งนี้ หากทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ก็น่าจะนำไปสู่การขยายความร่วมมือทางประมงระหว่างสองประเทศ ที่กว้างขวางยิ่งขึ้นโดยไม่จำเป็นจะต้องจำกัดอยู่เฉพาะผู้ประกอบการ 3 รายนี้เท่านั้น
จึงแจ้งมาเพื่อโปรดทราบ--จบ--