In Focus"ลี กวน ยู" นายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ บิดาผู้อยู่เบื้องหลังความรุ่งเรืองของเมืองสิงโตทะเล

ข่าวต่างประเทศ Wednesday March 18, 2015 11:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

เมื่อไม่นานมานี้ ทั้งสื่อไทยและเทศต่างตีข่าวการเข้ารักษาตัวของนายลี กวน ยู รัฐบุรุษอาวุโสของสิงคโปร์ ซึ่งกุมอำนาจบริหารของสิงคโปร์มาอย่างยาวนานถึง 31 ปี เนื่องจากนายลี กวน ยู เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ และได้รับการยกย่องเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดอิสรภาพแห่งดินแดน นับตั้งแต่วันเริ่มก่อตั้งจนเติบโตขึ้นเป็นประเทศที่ประชาชนอยู่ดีกินดีอย่างน่าอิจฉา แม้จะเคยมีคนตราหน้าว่า เขาคือนักเผด็จการตัวพ่อก็ตาม

นายลี กวน ยู เกิดเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2466 ในครอบครัวเชื้อสายจีนฐานะดีที่อาศัยอยู่ในสิงคโปร์สมัยที่ยังตกเป็นประเทศอาณานิคมของอังกฤษ อดีตนายกฯสิงคโปร์ ได้เรียนด้านกฎหมายที่อังกฤษจนได้รับการรับรองเพื่อว่าความในอังกฤษ แต่เขาก็ได้เดินทางกลับสิงคโปร์เพื่อขอประกอบอาชีพในบ้านเกิด

นายลี กวน ยู ได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์เมื่อปี 2502 จนกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในโลกถึง 31 ปี โดยเขาได้เข้ามามีบทบาทสำคัญมากมายที่ปรากฎเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งของสิงคโปร์ในทุกๆวันนี้ ทั้งในภาคอุตสาหกรรม ผังเมือง การศึกษา ตลอดจนในเรื่องของการเมืองการปกครอง

*จุดเริ่มต้นทางการเมือง

ขณะนั้นสิงคโปร์ยังตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งปกครองโดยบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นส่วนใหญ่ จนถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 50 ประชาชนในสิงคโปร์เริ่มมีการพูดคุยถึงการปฏิรูปรัฐธรรมนูญและอิสรภาพของดินแดน โดยนายลี กวน ยู ได้รวมตัวกับผู้ที่มีความเห็นคล้ายกันเพื่อแสดงจุดยืนที่มีต่อโครงสร้างการปกครองของสิงคโปร์ จนเป็นจุดกำเนิดของพรรคกิจประชาชน (People's Action Party)

*การแผ่อิทธิพลของพรรคกิจประชาชน

เมื่อปี 2498 หรือ 60 ปีก่อนหน้านี้ สิงคโปร์ได้ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งเปิดโอกาสให้สมาชิกสภามาจากการเลือกตั้งในสัดส่วนที่มากกว่าการแต่งตั้ง อย่างไรก็ตามพรรคกิจประชาชนของนายลี กวน ยู สามารถคว้ามาได้เพียง 3 ที่นั่ง เมื่อเทียบกับพรรคแนวร่วมแรงงาน (Labour Front) ที่ครองไปได้ 13 ที่นั่ง จากทั้งหมด 32 ที่นั่งด้วยกัน

แม้ว่าจะมีอำนาจปกครองเพียงน้อยนิด แต่ก็มากพอที่จะเปิดทางให้นายลี กวน ยู เดินทางไปยังกรุงลอนดอนเพื่อขออำนาจในการปกครองให้กับสิงคโปร์ แม้จะถูกปฏิเสธกลับมาอย่างไร้หนทางสู้ แต่นายลีก็ไม่ยอมแพ้ จนก่อให้เกิดการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้ง

*การเลือกตั้งครั้งแรก

รัฐธรรมนูญใหม่นั้นได้เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถลงคะแนนเลือกผู้นำของตนเอง โดยเมื่อเดือนมิถุนายน 2502 นายลี กวน ยู ได้ออกแคมเปญหาเสียงด้วยจุดยืนต่อต้านการตกเป็นอาณานิคมและลัทธิคอมมิวนิสต์ พร้อมชูนโยบายปฏิรูปสังคมและสานความสัมพันธ์ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย

พรรคของนายลีสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างขาดลอย ด้วยอำนาจปกครอง 43 ที่นั่งจากทั้งหมด 51 ที่นั่ง โดยนายลี กวน ยู ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2502 หลังสิงคโปร์ได้รับอำนาจในการปกครองด้วยตนเอง เว้นแต่เพียงด้านกลาโหมและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเขาก็ได้เสนอแผนปฏิรูปขนานใหญ่ ทั้งในเรื่องของผังเมือง อสังหาริมทรัพย์ สิทธิสตรี การศึกษา และอุตสาหกรรม

*ความฝันที่พังทลายลงด้วยคราบน้ำตา

นายลี กวน ยู เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกและคนเดียวที่ได้เห็นมาเลเซียและสิงคโปร์ผนวกรวมกันและพังทลายลงในพริบตา โดยเริ่มแรกนั้น นายลี กวน ยู ได้หันมาเจรจากับเพื่อนเก่าในวัยเรียนอย่างนายตุนกู อับดุล รามาน นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียในสมัยนั้น เพื่อผนวกรวมสิงคโปร์และมาเลเซียเข้าไว้ด้วยกัน และแสวงหาอิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษอย่างสมบูรณ์ตามรอยมาเลเซีย ท้ายที่สุด สิงคโปร์ก็ได้เข้าร่วม “สหพันธรัฐมาเลเซีย" เมื่อปี 2506 และนายลี กวน ยู ก็ยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ต่อไป

แต่ความจริงนั้นช่างโหดร้ายสำหรับนายลี กวน ยู เมื่อความฝันที่จะได้เห็นสิงคโปร์และมาเลเซียรวมเป็นทองแผ่นเดียวกันนั้นต้องสลายตัวลง เมื่อชาวจีนและชาวมาเลเกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง จนเป็นชนวนจุดความโกลาหลระหว่างทั้งสองเชื้อชาติ ซึ่งไม่ว่านายลีจะพยายามประนีประนอมสักเพียงใด แต่ก็ถูกนักการเมืองมาเลเซียบีบให้ถอนตัวออกจากมาเลเซีย และในที่สุดนายลีจำต้องลงนามแยกสิงคโปร์ออกจากมาเลเซียในปี 2508 ด้วยคราบน้ำตา

*การดิ้นรนของชาติอิสระ

ความล้มเหลวในการรวมตัวกับมาเลเซียนั้นได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อจิตใจของนายลี ซึ่งเชื่อว่าการรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวนั้นจำเป็นสำหรับการอยู่รอดของสิงคโปร์ แต่นายลี กวน ยู ไม่ยอมแพ้เพียงเท่านี้ เพราะเขามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เพื่อสร้างสิงคโปร์ให้ยิ่งใหญ่ “บนรากฐานของอิสรภาพและความยุติธรรม ตลอดจนความเป็นอยู่และความผาสุกของประชาชน ในสังคมที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเท่าเทียม"

เนื่องจากสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็กๆที่ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ สิงคโปร์จึงจำเป็นต้องสร้างเศรษฐกิจให้มีความแข็งแกร่งเพื่ออยู่รอด โดยนายลีได้นำร่องโครงการใหม่ๆเพื่อเปลี่ยนโฉมสิงคโปร์เป็นผู้ส่งออกสินค้าสำเร็จรูป อีกทั้งยังส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน จนในที่สุดสิงคโปร์ก็ได้เทียบชั้นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับต้นๆของโลก

ผลงานทั้งหมดตลอดจนแนวทางการบริหารประเทศของนายลี กวน ยู ทำให้เขาได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนเรื่อยมา แม้จะมีเสียงต่อต้านบ้างว่าการบริหารของเขาคล้ายระบอบเผด็จการ ทั้งยังออกกฎหมายที่เข้มงวดอันเป็นที่โจษจันไปทั่วโลกถึงความเด็ดขาดของกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นข้อหาเล็กๆไปจนถึงความผิดขั้นรุนแรง ทุกวันนี้ สิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับนานาประเทศ จนถือกำเนิดเป็นศูนย์กลางธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการเงิน การค้าขาย การท่องเที่ยว และเทคโนโลยีทันสมัย ทั้ง ๆที่แต่เดิมนั้น สิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็กๆที่เรียกได้ว่าไม่มีอะไรเลย

ด้วยเหตุนี้เอง จึงถือได้ว่านายลี กวน ยู มีวิสัยทัศน์อันเฉียบแหลมและกว้างไกลในการบริหารประเทศ เนื่องจากสำหรับประเทศเล็กๆที่ไม่มีอะไรแล้ว คุณภาพของประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเขาได้วางกลยุทธ์ด้านการศึกษาให้กับเยาวชน ที่ส่งเสริมทั้งภาษาจีนกลางและภาษาอังกฤษ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสำคัญในแง่ของการลงทุน ควบคู่กับการนำเสนอเทคโนโลยีสมัยใหม่จากชาติตะวันตก ทั้งหมดนี้ทำให้ดินแดนที่ถูกตัดความสัมพันธ์อย่างไร้เยื่อใยอย่างสิงคโปร์ ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศแถวหน้า และได้รับการยกย่องจากผู้นำทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้

สำหรับความคืบหน้าล่าสุดของอาการของนายลี กวน ยู เมื่อวานนี้ ทำเนียบรัฐบาลสิงคโปร์เปิดเผยว่า นายลี กวน ยู วัย 91 ปี มีอาการ "ย่ำแย่ลง" เนื่องจากการติดเชื้อ และต้องรับยาปฏิชีวนะ โดยคณะแพทย์ยังคงติดตามดูอาการของนายลีอย่างใกล้ชิด หลังจากที่เขาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. เนื่องจากอาการปอดบวมขั้นรุนแรง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ