I. ข้อมูลพื้นฐานทั่วไป
- เนื้อที่ (ตารางไมล์) 145,855
- จำนวนประชากร (ล้านคน) 124.80 (1993)
- เมืองหลวง โตเกียว
- เมืองธุรกิจ YOKOHAMA, OSAKA, NAGOYA, KOBE,
KYOTO
- โครงสร้างทางเศรษฐกิจ (%) - อุตสาหกรรมและก่อสร้าง 31.3
- เกษตรและประมง 3.0
- บริการและอื่น ๆ 52.0
- อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ N.A.
- อัตราเงินเฟ้อ 1.2 % (1994)
- รายได้เฉลี่ยต่อคน (เหรียญสหรัฐ) 33,859 (1993)
- อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา US$1 = 99,857 YEN (1994)
- ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ N.A.
- สินค้าส่งออกและนำเข้าที่สำคัญ - ส่งออก รถยนต์ส่วนบุคคล คอมพิวเตอร์และ
ส่วนประกอบ วงจรอิเลคทรอนิกส์ ยานยนต์
สำหรับขนส่งของ เครื่องบันทึก-วีดีโอ เครื่อง
ส่งวิทยุ-โทรทัศน์ เครื่องอุปกรณ์ทางการแพทย์
เรือ เหล็กและเหล็กกล้า พลาสติกและผลิตภัณฑ์
พลาสติก
- นำเข้า น้ำมันดิบ น้ำมันปิโตรเลียม ก๊าซ
ปิโตรเลียมและก๊าซไฮโดรคาร์บอน
ถ่านหิน ไม้ที่ยังไม่ได้แปรรูป รถยนต์ อาหาร
ทะเลแช่เย็น ไม้แปรรูป เครื่องเพชรพลอย
เนื้อสัตว์เสื้อผ้าสำเร็จรูป ธัญพืช สินแร่
- ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ - ส่งออก สหรัฐ ฮ่องกง เกาหลีใต้ สิงคโปร์
จีน เยอรมนี
- นำเข้า สหรัฐ จีน ออสเตรเลีย เกาหลีใต้
อินโดนีเซีย เยอรมนี
- ภาษา ญี่ปุ่น อังกฤษ (ธุรกิจ)
- ศาสนา ชินโต พุทธ คริสต์
- เวลาแตกต่างจากไทย เร็วกว่า 2 ชั่วโมง
- ผู้นำประเทศ นายกรัฐมนตรีนายริวทาโร่ ฮาชิโมโต
II. ความตกลงทางการค้ากับประเทศไทย
ภาครัฐบาล
1. ความตกลงทางการค้า เมื่อปี 2500
2. การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย-ญี่ปุ่น เมื่อเดือนตุลาคม 2511 มีการประชุมครั้ง
ล่าสุดคือ ครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 7-10 ตุลาคม 2530 ณ กรุงโตเกียว
3. มีการประชุมในกรอบ Policy Dialogue ระดับอธิบดีมาแล้ว 4 ครั้ง ครั้งสุดท้าย เมื่อเดือน
มีนาคม 2538 ณ กรุงเทพฯ
ภาคเอกชน
1. มีคณะกรรมการร่วมทางการค้าระหว่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่ง
ประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย กับสหพันธ์องค์กรเศรษฐกิจแห่งญี่ปุ่น (เคดันเรน)
III. ภาวะการค้ากับประเทศไทย
1. การส่งออก ในปี 2537 และปี 2538 ไทยส่งออกไปญี่ปุ่นเป็นมูลค่า 194,276.2 ล้านบาท
และ 236,008.4 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 17 และ 16.8
ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของประเทศ
2. สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ยางพารา กุ้งสดแช่เย็น แช่แข็ง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และ
ส่วนประกอบ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เครื่องรับวิทยุ
โทรทัศน์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า ไก่สดแช่เย็น แช่แข็ง
3. การนำเข้า ในปี 2537 และปี 2538 ไทยนำเข้าจากญี่ปุ่นเป็นมูลค่า 413,321.0 ล้านบาท
และ 534,393.4 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 30.1 และ 30.8 ของมูลค่า
การนำเข้าทั้งหมดของประเทศ
4. สินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรม ส่วนประกอบ อุปกรณ์ โครงรถและ
ตัวถัง เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เหล็กและเหล็กกล้า เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์
โลหะ เครื่องมือวิทยาศาสตร์การแพทย์ รถยนต์นั่ง เครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนประกอบและอุปกรณ์รถ
จักรยานยนต์และรถจักรยาน
5. ดุลการค้า ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบดุลการค้ากับญี่ปุ่นมาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 2497 เป็นต้นมา
โดยในปี 2537 และปี 2538 ไทยเสียเปรียบดุลการค้ามูลค่า 231,658.7 ล้านบาท และ
326,186.5 ล้านบาท ตามลำดับ
IV. ปัญหาทางการค้าที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของไทย
1. มาตรการภาษี
1.1 ญี่ปุ่นเก็บภาษีนำเข้าสูง โดยเฉพาะสินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรมบางประเภท ได้แก่
- ไก่ถอดกระดูก ร้อยละ 12 ในขณะที่ไก่ติดกระดูก ร้อยละ 10
และผูกพันไว้ในแกตต์ด้วย
- น้ำตาลทราย ร้อยละ 41.5 - 63.5 เยนต่อกิโลกรัม
- แป้งมันสำปะหลัง แป้งข้าวเหนียว และแป้งข้าวเจ้า ร้อยละ 25
- ขนมปังอาราเร่ ร้อยละ 35 - 40
- ผักและผลไม้กระป๋อง ร้อยละ 25 - 45
- น้ำสับปะรดกระป๋อง ร้อยละ 22.5 - 35
2. มาตรการที่มิใช่ภาษี
2.1 ญี่ปุ่นกำหนดโควต้านำเข้าทั้งในรูปปริมาณและมูลค่า โดยจะประกาศโควต้าปีละ 2 ครั้ง
สินค้าไทยที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ แป้งมันสำปะหลัง แป้งข้าวเจ้า อาหารแปรรูปที่ทำจากข้าว
ถั่วนิ้วนางแดง ปลาหมึกสดและแห้ง
2.2 ญี่ปุ่นห้ามนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ เนื่องจากต้องการคุ้มครองเกษตรกรภายในประเทศ
ตามนโยบายความมั่นคงด้านอาหาร แต่เมื่อเดือนตุลาคม 2536 ญี่ปุ่นได้เริ่มนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ
เพราะมีปัญหาผลผลิตข้าวในประเทศตกต่ำ อันเนื่องมาจากภาวะอากาศแปรปรวน อย่างไรก็ดี ผลการ
เจรจาสินค้าเกษตรรอบอุรุกวัย ญี่ปุ่นจะค่อย ๆ เปิดตลาดข้าวมากขึ้นโดยการกำหนดโควต้าภาษี
2.3 การนำเข้าสินค้าอาหารของญี่ปุ่นต้องผ่านการตรวจสอบด้านสุขอนามัย การควบคุมโรคสัตว์และพืช
ภายใต้กฎหมายต่าง ๆ เช่น Food Sanitation Law, Plant Quarantine Law, Consumer
Product Law เป็นต้น ซึ่งมีกฎเกณฑ์ในการตรวจสอบเข้มงวดมาก สินค้าไทยที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่
- อาหารทะเลสดและแช่แข็ง เช่น ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำประเภทอื่น ๆ ประสบปัญหาในด้าน
สารพิษตกค้างและคุณภาพ
- เนื้อสุกร ประสบปัญหาโรคปากและเท้าเปื่อย
- ผักและผลไม้สดชนิดต่าง ๆ ประสบปัญหาการตรวจสอบคุณภาพ ซึ่งขณะนี้ญี่ปุ่นอนุญาตให้
นำเข้าผลไม้ 10 ชนิด ในจำนวนนี้เป็นผลไม้ที่ไทยส่งออกไปญี่ปุ่นได้เพียง 8 ชนิด คือ สับปะรด มะพร้าว
กล้วยดิบ มะม่วง (เฉพาะพันธุ์หนังกลางวัน แรด พิมเสน และน้ำดอกไม้) ทุเรียน องุ่น Pear และ
Apricots และญี่ปุ่นห้ามนำเข้าผลไม้สดจากไทย 4 ชนิดอย่างเด็ดขาด ได้แก่ ส้ม มะละกอ แตงโม
และกล้วยสุก
2.4 ไทยขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นมาโดยตลอด และมีแนวโน้มขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจาก
ลักษณะการลงทุนของญี่ปุ่นในไทย ต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบจากญี่ปุ่นเป็นมูลค่าสูง
แม้ว่าการส่งออกจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็นสินค้าอุตสาหกรรมมากขึ้น แต่ก็เป็นเพียงการนำเข้าวัตถุดิบ
มาแปรรูปเพื่อส่งออกไปยังญี่ปุ่นและประเทศที่สาม
2.5 กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการญี่ปุ่นได้ปรับปรุงกฎหมายสุขอนามัยด้านอาหาร โดยกำหนด
ระเบียบเกี่ยวกับการปิดฉลากด้านโภชนาการสำหรับสินค้าที่วางจำหน่ายในญี่ปุ่น ซึ่งมีผลบังคับใช้เดือน
พฤษภาคม 2539 โดยสินค้าดังกล่าวหากใช้ภาษาญี่ปุ่นต้องระบุรายละเอียด ปริมาณของโภชนาการหลักที่
สำคัญ เช่น พลังงาน โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และส่วนอื่นที่จำเป็นสำหรับอาหาร หากสินค้านำ
เข้าใช้ภาษอื่นที่ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องใช้ระเบียบนี้ แต่ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้ายังต้องรับ
ผิดชอบต่อคุณภาพของสินค้านั้นเมื่อมีการตรวจสอบเกิดขึ้น
2.6 กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการญี่ปุ่น ได้กำหนดรายการสินค้าที่สามารถตรวจสอบไว้ โดย
กำหนดให้ผู้นำเข้าต้องตรวจสอบอาหาร สารผสมอาหาร ภาชนะ และอุปกรณ์ในการบรรจุอาหารก่อน
การจำหน่ายสินค้า หากสงสัยว่าสินค้านั้นมีสารตกค้าง รายการสินค้าที่ต้องทำการตรวจสอบ ได้แก่
รายการสินค้าที่มีความเป็นไปได้ที่จะมีสารตกค้าง เช่น ยาฉีดสำหรับสัตว์ ยาฆ่าแมลง สารพิษ
สารอันตราย จุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคและเชื้อราที่ได้จากการผลิตสินค้านั้น ๆ รวมทั้งสินค้าที่มีประวัติ
การละเมิดบ่อยครั้ง
V. สินค้าที่ไทยมีลู่ทางขยายการส่งออก-นำเข้า
1. การส่งออก ยางพารา กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว น้ำตาลทราย ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง
ปลาหมึกสดแช่เย็นแช่แข็ง อาหารทะเลกระป๋อง ปลาสดแช่เย็นแช่แข็ง ยางพารา อัญมณีและเครื่อง-
ประดับ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้าสำเร็จรูป
2. การนำเข้า เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรม ส่วนประกอบและอุปกรณ์ รวมทั้งโครงรถและตัวถัง
เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เหล็กและเหล็กกล้า
--สรุปความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างไทยกับประเทศต่าง ๆ, สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย--
- เนื้อที่ (ตารางไมล์) 145,855
- จำนวนประชากร (ล้านคน) 124.80 (1993)
- เมืองหลวง โตเกียว
- เมืองธุรกิจ YOKOHAMA, OSAKA, NAGOYA, KOBE,
KYOTO
- โครงสร้างทางเศรษฐกิจ (%) - อุตสาหกรรมและก่อสร้าง 31.3
- เกษตรและประมง 3.0
- บริการและอื่น ๆ 52.0
- อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ N.A.
- อัตราเงินเฟ้อ 1.2 % (1994)
- รายได้เฉลี่ยต่อคน (เหรียญสหรัฐ) 33,859 (1993)
- อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา US$1 = 99,857 YEN (1994)
- ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ N.A.
- สินค้าส่งออกและนำเข้าที่สำคัญ - ส่งออก รถยนต์ส่วนบุคคล คอมพิวเตอร์และ
ส่วนประกอบ วงจรอิเลคทรอนิกส์ ยานยนต์
สำหรับขนส่งของ เครื่องบันทึก-วีดีโอ เครื่อง
ส่งวิทยุ-โทรทัศน์ เครื่องอุปกรณ์ทางการแพทย์
เรือ เหล็กและเหล็กกล้า พลาสติกและผลิตภัณฑ์
พลาสติก
- นำเข้า น้ำมันดิบ น้ำมันปิโตรเลียม ก๊าซ
ปิโตรเลียมและก๊าซไฮโดรคาร์บอน
ถ่านหิน ไม้ที่ยังไม่ได้แปรรูป รถยนต์ อาหาร
ทะเลแช่เย็น ไม้แปรรูป เครื่องเพชรพลอย
เนื้อสัตว์เสื้อผ้าสำเร็จรูป ธัญพืช สินแร่
- ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ - ส่งออก สหรัฐ ฮ่องกง เกาหลีใต้ สิงคโปร์
จีน เยอรมนี
- นำเข้า สหรัฐ จีน ออสเตรเลีย เกาหลีใต้
อินโดนีเซีย เยอรมนี
- ภาษา ญี่ปุ่น อังกฤษ (ธุรกิจ)
- ศาสนา ชินโต พุทธ คริสต์
- เวลาแตกต่างจากไทย เร็วกว่า 2 ชั่วโมง
- ผู้นำประเทศ นายกรัฐมนตรีนายริวทาโร่ ฮาชิโมโต
II. ความตกลงทางการค้ากับประเทศไทย
ภาครัฐบาล
1. ความตกลงทางการค้า เมื่อปี 2500
2. การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย-ญี่ปุ่น เมื่อเดือนตุลาคม 2511 มีการประชุมครั้ง
ล่าสุดคือ ครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 7-10 ตุลาคม 2530 ณ กรุงโตเกียว
3. มีการประชุมในกรอบ Policy Dialogue ระดับอธิบดีมาแล้ว 4 ครั้ง ครั้งสุดท้าย เมื่อเดือน
มีนาคม 2538 ณ กรุงเทพฯ
ภาคเอกชน
1. มีคณะกรรมการร่วมทางการค้าระหว่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่ง
ประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย กับสหพันธ์องค์กรเศรษฐกิจแห่งญี่ปุ่น (เคดันเรน)
III. ภาวะการค้ากับประเทศไทย
1. การส่งออก ในปี 2537 และปี 2538 ไทยส่งออกไปญี่ปุ่นเป็นมูลค่า 194,276.2 ล้านบาท
และ 236,008.4 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 17 และ 16.8
ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของประเทศ
2. สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ยางพารา กุ้งสดแช่เย็น แช่แข็ง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และ
ส่วนประกอบ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เครื่องรับวิทยุ
โทรทัศน์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า ไก่สดแช่เย็น แช่แข็ง
3. การนำเข้า ในปี 2537 และปี 2538 ไทยนำเข้าจากญี่ปุ่นเป็นมูลค่า 413,321.0 ล้านบาท
และ 534,393.4 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 30.1 และ 30.8 ของมูลค่า
การนำเข้าทั้งหมดของประเทศ
4. สินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรม ส่วนประกอบ อุปกรณ์ โครงรถและ
ตัวถัง เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เหล็กและเหล็กกล้า เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์
โลหะ เครื่องมือวิทยาศาสตร์การแพทย์ รถยนต์นั่ง เครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนประกอบและอุปกรณ์รถ
จักรยานยนต์และรถจักรยาน
5. ดุลการค้า ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบดุลการค้ากับญี่ปุ่นมาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 2497 เป็นต้นมา
โดยในปี 2537 และปี 2538 ไทยเสียเปรียบดุลการค้ามูลค่า 231,658.7 ล้านบาท และ
326,186.5 ล้านบาท ตามลำดับ
IV. ปัญหาทางการค้าที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของไทย
1. มาตรการภาษี
1.1 ญี่ปุ่นเก็บภาษีนำเข้าสูง โดยเฉพาะสินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรมบางประเภท ได้แก่
- ไก่ถอดกระดูก ร้อยละ 12 ในขณะที่ไก่ติดกระดูก ร้อยละ 10
และผูกพันไว้ในแกตต์ด้วย
- น้ำตาลทราย ร้อยละ 41.5 - 63.5 เยนต่อกิโลกรัม
- แป้งมันสำปะหลัง แป้งข้าวเหนียว และแป้งข้าวเจ้า ร้อยละ 25
- ขนมปังอาราเร่ ร้อยละ 35 - 40
- ผักและผลไม้กระป๋อง ร้อยละ 25 - 45
- น้ำสับปะรดกระป๋อง ร้อยละ 22.5 - 35
2. มาตรการที่มิใช่ภาษี
2.1 ญี่ปุ่นกำหนดโควต้านำเข้าทั้งในรูปปริมาณและมูลค่า โดยจะประกาศโควต้าปีละ 2 ครั้ง
สินค้าไทยที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ แป้งมันสำปะหลัง แป้งข้าวเจ้า อาหารแปรรูปที่ทำจากข้าว
ถั่วนิ้วนางแดง ปลาหมึกสดและแห้ง
2.2 ญี่ปุ่นห้ามนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ เนื่องจากต้องการคุ้มครองเกษตรกรภายในประเทศ
ตามนโยบายความมั่นคงด้านอาหาร แต่เมื่อเดือนตุลาคม 2536 ญี่ปุ่นได้เริ่มนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ
เพราะมีปัญหาผลผลิตข้าวในประเทศตกต่ำ อันเนื่องมาจากภาวะอากาศแปรปรวน อย่างไรก็ดี ผลการ
เจรจาสินค้าเกษตรรอบอุรุกวัย ญี่ปุ่นจะค่อย ๆ เปิดตลาดข้าวมากขึ้นโดยการกำหนดโควต้าภาษี
2.3 การนำเข้าสินค้าอาหารของญี่ปุ่นต้องผ่านการตรวจสอบด้านสุขอนามัย การควบคุมโรคสัตว์และพืช
ภายใต้กฎหมายต่าง ๆ เช่น Food Sanitation Law, Plant Quarantine Law, Consumer
Product Law เป็นต้น ซึ่งมีกฎเกณฑ์ในการตรวจสอบเข้มงวดมาก สินค้าไทยที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่
- อาหารทะเลสดและแช่แข็ง เช่น ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำประเภทอื่น ๆ ประสบปัญหาในด้าน
สารพิษตกค้างและคุณภาพ
- เนื้อสุกร ประสบปัญหาโรคปากและเท้าเปื่อย
- ผักและผลไม้สดชนิดต่าง ๆ ประสบปัญหาการตรวจสอบคุณภาพ ซึ่งขณะนี้ญี่ปุ่นอนุญาตให้
นำเข้าผลไม้ 10 ชนิด ในจำนวนนี้เป็นผลไม้ที่ไทยส่งออกไปญี่ปุ่นได้เพียง 8 ชนิด คือ สับปะรด มะพร้าว
กล้วยดิบ มะม่วง (เฉพาะพันธุ์หนังกลางวัน แรด พิมเสน และน้ำดอกไม้) ทุเรียน องุ่น Pear และ
Apricots และญี่ปุ่นห้ามนำเข้าผลไม้สดจากไทย 4 ชนิดอย่างเด็ดขาด ได้แก่ ส้ม มะละกอ แตงโม
และกล้วยสุก
2.4 ไทยขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นมาโดยตลอด และมีแนวโน้มขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจาก
ลักษณะการลงทุนของญี่ปุ่นในไทย ต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบจากญี่ปุ่นเป็นมูลค่าสูง
แม้ว่าการส่งออกจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็นสินค้าอุตสาหกรรมมากขึ้น แต่ก็เป็นเพียงการนำเข้าวัตถุดิบ
มาแปรรูปเพื่อส่งออกไปยังญี่ปุ่นและประเทศที่สาม
2.5 กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการญี่ปุ่นได้ปรับปรุงกฎหมายสุขอนามัยด้านอาหาร โดยกำหนด
ระเบียบเกี่ยวกับการปิดฉลากด้านโภชนาการสำหรับสินค้าที่วางจำหน่ายในญี่ปุ่น ซึ่งมีผลบังคับใช้เดือน
พฤษภาคม 2539 โดยสินค้าดังกล่าวหากใช้ภาษาญี่ปุ่นต้องระบุรายละเอียด ปริมาณของโภชนาการหลักที่
สำคัญ เช่น พลังงาน โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และส่วนอื่นที่จำเป็นสำหรับอาหาร หากสินค้านำ
เข้าใช้ภาษอื่นที่ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องใช้ระเบียบนี้ แต่ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้ายังต้องรับ
ผิดชอบต่อคุณภาพของสินค้านั้นเมื่อมีการตรวจสอบเกิดขึ้น
2.6 กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการญี่ปุ่น ได้กำหนดรายการสินค้าที่สามารถตรวจสอบไว้ โดย
กำหนดให้ผู้นำเข้าต้องตรวจสอบอาหาร สารผสมอาหาร ภาชนะ และอุปกรณ์ในการบรรจุอาหารก่อน
การจำหน่ายสินค้า หากสงสัยว่าสินค้านั้นมีสารตกค้าง รายการสินค้าที่ต้องทำการตรวจสอบ ได้แก่
รายการสินค้าที่มีความเป็นไปได้ที่จะมีสารตกค้าง เช่น ยาฉีดสำหรับสัตว์ ยาฆ่าแมลง สารพิษ
สารอันตราย จุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคและเชื้อราที่ได้จากการผลิตสินค้านั้น ๆ รวมทั้งสินค้าที่มีประวัติ
การละเมิดบ่อยครั้ง
V. สินค้าที่ไทยมีลู่ทางขยายการส่งออก-นำเข้า
1. การส่งออก ยางพารา กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว น้ำตาลทราย ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง
ปลาหมึกสดแช่เย็นแช่แข็ง อาหารทะเลกระป๋อง ปลาสดแช่เย็นแช่แข็ง ยางพารา อัญมณีและเครื่อง-
ประดับ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้าสำเร็จรูป
2. การนำเข้า เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรม ส่วนประกอบและอุปกรณ์ รวมทั้งโครงรถและตัวถัง
เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เหล็กและเหล็กกล้า
--สรุปความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างไทยกับประเทศต่าง ๆ, สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย--