บันทึกแนวทางดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ
ของรัฐบาลไทย
24 กุมภาพันธ์ 2541
I. ภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคสำหรับปี 2541
1. ทางการได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจใหม่ เนื่องจากอุปสงค์และผลผลิตในประเทศลดลงมาก รวมทั้งแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ดีขึ้นช้ากว่าที่คาด ซึ่งเป็นผลจากวิกฤติการณ์ทางการเงินในภูมิภาคที่ทวีความรุนแรงขึ้น (ตาราง) ทั้งนี้ คาดว่าการผลิตรวมจะลดลงระหว่างร้อยละ 3.-3.5 ในปี 2541 เนื่องจากการหดตัวอย่างรุนแรงของอุปสงค์ในประเทศ ในการนี้ ทางการได้ปรับปรุงแผนฟื้นฟูฯ เพื่อลดผลกระทบทางสังคมที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา ตลอดจนปรับเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ภาคการผลิตสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทั้งนี้ แม้ว่าการถดถอยทางเศรษฐกิจและการที่ความสามารถในการทำกำไรของภาคธุรกิจลดลงจะช่วยลดแรงกดดันต่อระดับราคา แต่ผลของค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้เงินเฟ้ออาจเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่าจะมีอัตราเฉลี่ยประมาณร้อยละ 11-12 ในปี 2541 สำหรับฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลประมาณร้อยละ 4 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ เนื่องจากการนำเข้ามีแนวโน้มลดลงมาก ซึ่งจะช่วยลดภาระหนี้ต่างประเทศของไทยได้เร็วขึ้น รัฐบาลตระหนักดีว่าการจะบรรลุวัตถุประสงค์หลักดังกล่าว จำเป็นต้องอาศัยมาตรการปรับโครงสร้างที่จริงจังและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่เน้นเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นสำคัญ
II. มาตรการปฏิรูปภาคการเงิน
2. การปฏิรูปภาคการเงินยังคงเป็นหลักสำคัญของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ แม้ว่าจะมีความคืบหน้าในการดำเนินการในด้านนี้ไปมากแล้ว แต่การทบทวนครั้งที่ 2 จะเป็นการผลักดันให้สถาบันการเงินมีความเข้มแข็งมากขึ้น ทั้งในสภาพคล่องและความเพียงพอของเงินกองทุน ทั้งนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การปล่อยสินเชื่อกลับสู่ปกติ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงได้ และเป็นฐานให้เศรษฐกิจ ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและยั่งยืน
การจำหน่ายโอนสินทรัพย์ของบริษัทเงินทุน 56 รายที่ถูกปิดกิจการ
3. หลังจากที่องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ประกาศให้บริษัทเงินทุนเปิดดำเนินการได้เพียง 2 รายการจากจำนวนที่ถูกระงับกิจการ 58 ราย เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2540 ทางการได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดจำหน่ายสินทรัพย์ของบริษัทเงินทุนที่ถูกปิดกิจการจากการทำงานร่วมกับที่ปรึกษาจากธนาคารโลก ทางการยืนยันว่าจะกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนการจำหน่ายสินทรัพย์ให้เสร็จสิ้นภายในกลางเดือนมีนาคม 2541 และคาดว่าการจำหน่ายสังหาริมทรัพย์จะเริ่มดำเนินการภายในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนการจำหน่ายสินทรัพย์ทางการเงินจะเริ่มได้ภายในเดือนมีนาคม นอกจากนี้ ทางการยังดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคาอย่างแท้จริง และให้มีการชำระเงินในรูปแบบซึ่งเป็นที่ยอมรับ เงื่อนเวลาสำหรับขั้นตอนดำเนินการสำคัญปรากฏใน Box 1
4. ทางการมีความตั้งใจจะจำหน่ายสินทรัพย์ให้แก่ภาคเอกชนให้มากที่สุดอย่างไรก็ดี ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและขนาดของตลาดที่ค่อนข้างเล็ก จำเป็นต้องมีมาตรการรองรับเพื่อมิให้มูลค่าของสินทรัพย์ลดต่ำลงมากจนเกินควร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินที่เปิดดำเนินกิจการอยู่ ดังนั้น ทางการจึงได้จัดตั้งสถาบันการเงินของรัฐขึ้นมา 2 แห่ง ได้แก่ ธนาคารรัตนสิน และบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) เพื่อเข้าร่วมประมูลซื้อสินทรัพย์ดังกล่าว โดยธนาคารรัตนสินจะเป็นผู้เข้าซื้อสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดีภายใต้หลักเกณฑ์ที่เข้มงวดที่สุดในเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้ ทางการมีเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะหาผู้ร่วมทุนต่างชาติเข้ามาร่วมถือหุ้นในธนาคารรัตนสินโดยเร็วที่สุด ส่วน บบส. จะเข้าประมูลซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยจะมีบทบาทเป็นผู้ซื้อรายสุดท้าย โดย บบส. มีหน้าที่บริหารสินทรัพย์เหล่านั้นเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนกลับคืนมา ในระยะปานกลางทั้งสองสถาบันจะมีเงินทุนเพียงพอภายในกลางเดือนมีนาคม 2541 ทั้งนี้จะมีการประเมินความคืบหน้าในการขายสินทรัพย์ของ ปรส. ตลอดจนบทบาทการดำเนินงานของธนาคารรัตนสินและ บบส. ในการทบทวนการปฏิบัติตามแผนฟื้นฟูฯ ครั้งที่ 3
5. ทางการตระหนักดีว่า เพื่อให้การจำหน่ายสินทรัพย์และการปฏิรูปธุรกิจเอกชนและสถาบันการเงินสามารถดำเนินต่อไปได้ จำเป็นต้องมีการปรับปรุงกฎหมายล้มละลาย และกระบวนการบังคับหลักประกัน ขั้นตอนดำเนินการเหล่านี้ปรากฏในย่อหน้า 27-28
การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของสถาบันการเงินที่เป็นหลักของระบบ
6. แนวทางในเรื่องนี้คือการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเงินกองทุนของสถาบันการเงินที่ยังเปิดดำเนินการอยู่ ด้วยการให้กันสำรองตามภาวะที่แท้จริงและให้เพิ่มทุนโดยมีภาคเอกชนเป็นแกนนำ (Box 2) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนต่ำกว่ามาตรฐานมาก และไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ตามปกติ ทางการได้เข้าแทรกแซงเพื่อรักษาความเชื่อมั่น ตั้งแต่การทบทวนครั้งที่ 1 ทางการได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษแก่ธนาคารพาณิชย์ 4 แห่งที่มีเงินกองทุนต่ำกว่ามาตรฐานมาก(มีสัดส่วนเงินฝากประมาณร้อยละ 10) และต้องพึ่งความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นจำนวนสูงมาก โดยได้ดำเนินการดังนี้ :
- ทางการได้เข้าแทรกแซงธนาคารพาณิชย์ขนาดกลาง 3 แห่ง ซึ่งไม่สามารถเพิ่มทุนได้เอง โดยการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร ลดทุนของผู้ถือหุ้นเดิมตามจำนวนความเสียหายที่เกิดขึ้นและเพิ่มทุนใหม่ผ่านการแปลงหนี้เป็นทุนโดยกองทุนฟื้นฟูฯ
- ทางการได้เข้าแทรกแซงธนาคารพาณิชย์อีกแห่งหนึ่ง (เป็นครั้งที่สอง) หลังจากที่กองทุนฟื้นฟู ได้เข้าไปดูแลการดำเนินงานในปี 2539 ด้วยการลดทุนและเพิ่มทุนใหม่ผ่านกองทุนฟื้นฟูฯ
ทางการคาดว่าจะไม่มีการแทรกแซงในลักษณะเช่นนี้อีก เนื่องจากสถาบันการเงินที่เหลืออยู่กำลังดำเนินการตามแผนการเพิ่มทุน
7. การแทรกแซงเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทางการในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ระบบการเงิน และคุ้มครองผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ ซึ่งได้รับการขานรับเป็นอย่างดีจากตลาดการเงิน โดยเฉพาะการถอนเงินของผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ได้หยุดลง ทำให้ธนาคารพาณิชย์ทั้งสี่รายไม่ต้องกู้ยืมเงินเพิ่มเติมสภาพคล่องจากกองทุนฟื้นฟูฯ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับปรุงการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์เหล่านั้นทันที เพื่อลดปริมาณธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งนี้จนกว่าจะสามารถแปรรูปให้กลับเป็นของเอกชนได้
8. ทางการตระหนักดีกว่าการแทรกแซงดังกล่าว ทำให้การถือหุ้นของภาครัฐในภาคการเงินเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้น รัฐบาลจึงมีเป้าหมายสำคัญจะลดสัดส่วนการถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์เหล่านี้ลงอย่างเร็วที่สุด และอยู่ในระหว่างกำหนดแนวทางขายหุ้นคืนให้แก่ภาคเอกชน ภายใต้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญภายนอกคาดว่าในปี 2541 การเจรจากับผู้ลงทุนภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศจะมีความคืบหน้าและสามารถลดลงได้ โดยจะศึกษาวิธีการที่จะกระตุ้นความสนใจของนักลงทุนภาคเอกชน และในขณะเดียวกันจะพยายามให้รัฐได้รับผลตอบแทนสูงสุด ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายใด ๆ เกี่ยวกับองค์การบริหารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (อบส.) จะอยู่ภายใต้การหารือกับกองทุนการเงินฯ
9. ในขณะเดียวกัน ทางการจะเร่งสร้างความเข้มแข็งของเงินกองทุนของสถาบันการเงินที่เปิดดำเนินการอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นสถาบันการเงินหลักของประเทศ
- ภายใต้กฎเกณฑ์ในการจัดชั้นสินเชื่อและการกันสำรองที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2540 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนที่มีเงินทุนไม่เพียงพอ เพื่อให้สถาบันเหล่านี้ทำการเพิ่มทุนในช่วงต้นปี 2541 ซึ่งธนาคารและบริษัทเงินทุนหลายแห่งได้บรรลุตามข้อกำหนดในบันทึกความเข้าใจแล้ว ทั้งนี้ กองทุนฟื้นฟูฯ ได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนในธนาคารพาณิชย์ของรัฐ
- ความพยายามในการเพิ่มทุนดังกล่าว ถือเป็นขั้นตอนแรกของการเพิ่มอัตราส่วนเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ภายใต้กรอบการจัดชั้นสินเชื่อและกันสำรองที่ได้มาตรฐานสากล โดยให้แล้วเสร็จภายในปี 2543 และจะมีการทยอยประกาศกฎเกณฑ์ใหม่ เริ่มก่อนสิ้นเดือนมีนาคม 2541 ทางการจะเร่งรัดการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่น
- จะให้ความสำคัญแก่ธนาคารและบริษัทเงินทุนเป็นอันดับแรก โดยในปี 2541 ทางการจะ (1) ทบทวนและดำเนินการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบกฎเกณฑ์ที่จำเป็น รวมทั้งเกณฑ์การจัดชั้นทรัพย์และการกันสำรอง การให้กู้ยืมแก่บุคคลที่มีความใกล้ชิด ความเสี่ยงจากการปริวรรต การปฏิบัติทางบัญชีและการตรวจสอบบัญชี ตลอดจนการเปิดเผยข้อมูล (2) ทบทวนโครงสร้าง และหน้าที่ในการกำกับดูแลสถาบันการเงิน เพื่อเสริมสร้างความเป็นอิสระอำนาจในการสั่งการ วิธีปฏิบัติงานและความรอบรู้ในเชิงวิชาการ โดยจะกำหนดแผนการปฎิบัติการข้างต้นให้สอดคล้องกับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวม (3) จัดทำแผนงานการจัดตั้งระบบประกันเงินฝากที่จำกัดวงเงินประกันและที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งจะทดแทนระบบการรับประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้เป็นการทั่วไปที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
- ทางการจะทบทวนบทบาทของสถาบันการเงินแต่ละประเภท ตลอดจนวิธีการกำกับดูแลสถาบันการเงินเหล่านั้น ซึ่งนอกจากธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ยังรวมถึงสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ภายใต้กระทรวงการคลัง และกรมการประกันภัย ภายใต้กระทรวงพาณิชย์ ทางการหวังว่าความพยายามเหล่านี้จะส่งผลให้ระบบการกำกับมีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาระบบการเงินให้มีความแข็งแกร่งและมีความสามารถในการแข่งขัน
III. นโยบายเศรษฐกิจมหภาค
นโยบายการเงิน
13. วัตถุประสงค์หลักของนโยบายการเงินคือ การสร้างเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนโดยตระหนักว่า ค่าเงินบาทอาจยังมีความผันผวนและมีค่าอ่อนเกินไป ทางการจึงมีความตั้งใจที่จะเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน ประการแรก เมื่อมีแรงกดดันด้านอัตราแลกเปลี่ยนทางการจะปรับอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนขึ้นประการที่สอง เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพและเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงที่เหมาะสม ทางการจะปรับอัตราดอกเบี้ยลง เนื่องจากตระหนักถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อภาคธุรกิจเอกชนและระบบการธนาคาร จากการที่สภาพคล่องตึงตัวระยะเวลานาน
14. ทางการได้ทบทวนเป้าหมายทางการเงินตามกรอบเศรษฐกิจมหาภาคที่ได้ปรับปรุงใหม่ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าที่คาดไว้ แต่ทางการมีความมุ่งมั่นที่จะรักษาแผนการเงินสำหรับปี 2541 การประมาณปริมาณเงินที่แท้จริงที่ลดลงในปี 2541 สอดคล้องกับการหดตัวของเศรษฐกิจ ตามแผนการเงินนี้คาดว่า ค่า Velocity ของปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (M2A) จะมีเสถียรภาพขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี เมื่อความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจการเงินกลับคืนมา โดยคาดว่า ณ สิ้นธันวาคม 2541 M2A จะขยายตัวประมาณร้อยละ 5 และในการกำหนดฐานเงินทางการมีสมมติฐานว่า แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของความต้องการถือเงินสดเทียบกับเงินฝากที่สถาบันการเงินจะทรงตัวในครึ่งหลังปี 2541 ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจะดูแลอัตราการขยายตัวของฐานเงินไว้ที่ประมาณร้อยละ 6.5 เกณฑ์สำหรับสินทรัพย์ในประเทศสุทธิของธนาคารแห่งประเทศไทย (NDA) ณ สิ้นเดือนมีนาคม และเดือนมิถุนายน และเป้าหมายแนวทางสำหรับฐานเงินปรากฎในภาคผนวก ก
15. ทางการจะดำเนินการเพื่อให้มีการจัดสรรสินเชื่ออย่างเพียงพอให้แก่ภาคธุรกิจเอกชนสำคัญที่ไม่ใช่ธนาคาร โดยเฉพาะผู้ส่งออก (ที่ยังคงประสบปัญหาแม้จะได้รับผลประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง) ผู้ผลิตในภาคเกษตร และผู้กู้รายย่อย ในการนี้ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ตกลงเรื่องโครงการให้สินเชื่อเพื่อการค้ากับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศญี่ปุ่น และธนาคารพัฒนาเอเชีย (จำนวนประมาณ 1.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากธนาคารแห่งประเทศไทย โดยการเพิ่มวงเงินรับช่วงซื้อลด (ถึงร้อยละ 60) ให้แก่ผู้ส่งออก ในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน โดยผ่านธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ สำหรับโครงการที่มีอยู่ได้เพิ่มวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ภาคเกษตร (ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ธุรกิจขนาดย่อย (ผ่านบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม) และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ต่ำ (ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์) จำนวนเงินที่นำมาอุดหนุนผ่านโครงการดังกล่าวมีจำนวนน้อยและได้รวมในแผนด้านการเงินแล้ว
นโยบายการคลัง
16.มาตรการที่ได้ดำเนินการในปีที่แล้ว อาทิ การตัดรายจ่ายร้อยละ 3.5 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศจากงบประมาณเดิม และการเพิ่มรายได้เกือบร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศเป็นมาตรการสำคัญที่ได้ช่วยรักษาฐานะการคลังในช่วงวิฤกตการณ์ และทำให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายเกณฑ์ปฏิบัติสำหรับดุลเงินสดสะสมของรัฐบาลกลาง ณ สิ้นเดือนธันวาคมได้อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของเศรษฐกิจ และผลกระทบจากการอ่อนลงของค่าเงินบาท ส่งผลให้รายได้รัฐบาลในปีงบประมาณ 2540/41 ลดลงร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศจากประมาณการเดิมนอกจากนี้ การที่เงินบาทยังมีค่าอ่อนลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา คาดว่าจะทำให้รายจ่ายเพิ่มขึ้น ประมาณร้อยละ 1 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ ซึ่งหากไม่มีมาตรการเพิ่มเติม ฐานะการคลังของรัฐบาลกลางจะขาดดุลร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ เทียบกับการเกินดุลร้อยละ 1 ในแผนฟื้นฟูฯ เดิม
17. ในขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะดำเนินมาตรการชดเชยการขาดดุลการคลังตามที่คาดการณ์ทั้งจำนวน ทั้งนี้ เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวดีกว่าเป้าหมายเดิมมาก การดำเนินมาตรการการคลังเพิ่มเติมเพื่อเร่งปรับตัวดังกล่าว อาจซ้ำเติมภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ และทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจช้ากว่าที่ควร อย่างไรก็ตาม ทางการอาจจะดำเนินมาตรการเพิ่มเติม หลังจากได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการรักษาวินัยทางการคลัง มาตรการดังกล่าวจะเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐ เพื่อนำไปในโครงการบรรเทาผลกระทบ
การคลังกลับมาเกินดุลได้เล็กน้อยในระยะปานกลาง
18. ในการนี้ ทางการจะดำเนินมาตรการเพิ่มรายได้ ซึ่งจะมาจากการจัดเก็บภาษีประมาณร้อยละ 0.25 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศปีงบประมาณ 2540/41 (ร้อยละ 0.5 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศทั้งปี 2541) ในขณะเดียวกัน การออมภาครัฐสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.25 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ จากการตัดโครงการลงทุนที่มีความสำคัญต่ำ และการเพิ่มค่าใช้จ่ายในโครงการบรรเทาผลกระทบต่อสังคม (รายละเอียดปรากฎต่อไป) โดยรวมแล้วมาตรการ ดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลกลางขาดดุลการคลังไม่เกินร้อยละ 1.5 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศปี 2540/41 (ภาคผนวก ข) ซึ่งส่วนหนึ่งจะชดเชยด้วยเงินกู้จากต่างประเทศ และที่เหลือจากเงินกู้ในประเทศ
19. ในสภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำทางการจะยอมให้ฐานะของรัฐวิสาหกิจเปลี่ยนจากสมดุลเป็นขาดดุลได้เล็กน้อย คือร้อยละ 0.5 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศสำหรับปีงบประมาณ 2540/41 เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายได้ทั้งจำนวน สำหรับโครงการสำคัญที่ได้รับเงินกู้จากต่างประเทศ รวมถึงธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย และกองทุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเล และหากยังมีการขาดดุลอีกเล็กน้อย จะชดเชยจากเงินกู้ต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้รัฐวิสาหกิจยังต้องดำเนินมาตรการเพิ่มเติมอีก โดยทางการจะดูแลให้มีการเพิ่มราคาสินค้าและค่าบริการของรัฐวิสาหกิจ ยกเว้นในกรณีที่จะมีผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย (เช่น ค่าโดยสารรถประจำทางและรถไฟ) ในขณะเดียวกัน ทางการได้ตัดงบประมาณลงทุนของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่เพิ่มเติมด้วย
20. ฐานะการคลังภาครัฐโดยรวมในปีงบประมาณ 2540/41 จะขาดดุลร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ ทั้งนี้ ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูภาคการเงินที่จะมีการแยกการติดตามดูแล โดยจะต้องจัดสรรงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยไว้ในงบประมาณปีต่อ ๆ ไป (ย่อน้าที่ 10)
นโยบายด้านต่างประเทศ
21. ดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวดีขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยมีการเกินดุลทุกเดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน 2540 และคาดว่าในปี 2541 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลร้อยละ 4 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ การปรับตัวดีขึ้นของดุลบัญชีเดินสะพัดดังกล่าว จะช่วยชดเชยเงินทุนไหลออกที่สูงกว่าที่ประเมินไว้เดิม ซึ่งเมื่อรวมกับโครงการเงินกู้จากต่างประเทศของทางการแล้ว จะช่วยเสริมให้เงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูฯ
22. ทางด้านเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศนั้น ได้มีการทบทวนแนวโน้มภาคต่างประเทศของปี 2541 (ตาราง) โดยมีสมมติฐานเกี่ยวกับองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้
- ธนาคารแห่งประเทศไทยจะทยอยส่งมอบภาระเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าตามลำดับ โดยคาดว่าฐานะเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิจะมียอดคงค้างประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ณ สิ้นปี 2541 โดยเป็นสัญญาที่ทำกับธนาคารพาณิชย์ไทยและต่างประเทศและจะคงระดับฐานะเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า ณ ระดับนี้ เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องในประเทศเท่านั้น
- การต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นของสาขาธนาคารต่างประเทศที่ดำเนินงานในประเทศไทยค่อนข้างมีเสถียรภาพ โดยเงินกู้ดังกล่าวมีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของหนี้ระยะสั้นที่จะครบกำหนดในปี 2541 และเป็นเงินกู้ระหว่างสาขากับสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศ โดยรวมแล้วหนี้ต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ไทยและของภาคธุรกิจจะลดลง ซึ่งส่วนหนึ่งสอดคล้องกับความต้องการเงินกู้เพื่อชำระค่าสินค้านำเข้าที่ลดลง จากการหดตัวของเศรษฐกิจและการนำเข้าทางการ คาดว่าอัตราการต่ออายุหนี้ดังกล่าวจะดีขึ้นเป็นลำดับในช่วยปีนี้ จากการที่วิกฤติการณ์ทางการเงินในภูมิภาคคลี่คลายลง นอกจากนั้น ยังเชื่อมั่นว่า ภาคธุรกิจเอกชนจะตกลงปรับโครงสร้างหนี้กันเองโดยสมัครใจ โดยทางการจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
23. ตามสมมติฐานนี้ ทางการคาดว่าจะยังคงรักษาเป้าหมายด้านต่างประเทศตามแผนฟื้นฟูฯ สำหรับปี 2541 ไว้ได้ ทั้งนี้ เกณฑ์ปฎิบัติ ณ สิ้นเดือนมีนาคม และสิ้นเดือนมิถุนายน ปรากฎในภาคผนวก ค ส่วนเป้าหมายด้านเงินสำรองระหว่างประเทศนั้นได้มีการปรับปรุงให้ครอบคลุมหนี้ระยะสั้นที่ถูกต้องยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับแผนฟื้นฟูฯ เดิม อนึ่งภาวะตลาดเงินตราต่างประเทศได้ปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่มีการยกเลิกมาตรการควบคุมด้านเงินทุนเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ จึงเชื่อว่าบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายจะปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาดไว้ขณะนี้ ทั้งนี้ ทางการจะติดตามพัฒนาการของการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างใกล้ชิดต่อไป และในกรณีที่มีแรงกดดันเกิดขึ้นอีก ทางการจะดำเนินนโยบายมหาภาคที่ยืดหยุ่นขึ้น โดยการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยจะสามารถเข้าแทรกแซงได้ นอกจากนี้ จากการหารือกับนักลงทุนต่อสังคม (ย่อหน้า 25) และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว จะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วยและส่งผลให้ฐานะต่างประเทศ และด้วยบทบาทที่สำคัญยิ่งขึ้นของกองทุนการเงินฯ ทางการมั่นใจว่าแผนฟื้นฟูฯ ของไทยจะได้รับเงินสนับสนุนอย่างเพียงพอตลอดเวลา
IV. มาตรการสนับสนุนและฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวม
24. ขณะนี้ ทางการได้กำหนดแผนดำเนินงานเพื่อเร่งฟื้นฟูภาคการเงิน และกำหนดนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เพื่อรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นอกเหนือจากการดำเนินการตามมาตรการเหล่านี้แล้ว ทางการยังจะเพิ่มความช่วยเหลือแก่ผู้มีรายได้น้อยในสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำนี้ รวมทั้งจะดำเนินการปรับโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในอนาคต
แผนรองรับด้านสังคม
25. ทางการตระหนักถึงผลกระทบของวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีต่อผู้มีรายได้น้อยในสังคม และตั้งใจที่จะดำเนินมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ในการนี้ ทางการได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของกองทุนการเงินฯ ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชียและกองทุน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเลกำหนดแผนบรรเทาผลกระทบทางสังคม ทั้งนี้ สาระสำคัญของแผนรองรับด้านสังคมปรากฎใน Box 3 แผนการนี้จะมีการทบทวนอย่างใกล้ชิดเพื่อให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ และมีประสิทธิภาพตามงบประมาณที่มีอยู่ ตลอดจนมีความโปร่งใสในการดำเนินการ อนึ่ง แผนดังกล่าวจะได้รับความช่วยเหลือส่วนใหญ่จากเงินกู้จากธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย และกองทุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเล
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
26. ทางการมีความตั้งใจที่จะเร่งแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทย โดยภายในวันที่ 30 มกราคม 2541 และด้วยความช่วยเหลือจากธนาคารโลก ทางการจะจัดตั้งสำนักงานเลขานุการการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเสนอการปฏิรูปกฎหมาย (รวมถึงร่างพระราชบัญญัติทุนของรัฐวิสาหกิจเพื่อเร่งกระบวนการ) และพัฒนากรอบกฎหมาย (โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภค) โครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในระยะสั้นจะประกอบด้วยมาตรการสำคัญ ดังนี้
ด้านการขนส่ง ทางการตั้งใจที่จะแปรรูปบริษัทการบินไทย จำกัด ในปี 2541 โดยเริ่มจากการหาผู้ร่วมทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ส่วนหุ้นที่เหลือจะเสนอขายตลาดในประเทศและพนักงานบริษัท
ด้านพลังงาน ทางการจะเร่งแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และส่งเสริมการแข่งขัน โดยมีนโยบายกว้างๆ ที่จะส่งเสริมให้บริษัทเอกชนอิสระผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อให้มีการแข่งขัน ทั้งนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจะขายหุ้นในบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และหน่วยธุรกิจผลิตไฟฟ้า 2 ในปี 2541 สำหรับในระยะยาว ทางการมีความประสงค์ที่จะแยกการดำเนินงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็น 2 ส่วน คือ บริษัทผลิตไฟฟ้า และบริษัทจำหน่ายไฟฟ้า ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะได้รับการแปรรูปเป็นบริษัทเอกชนในที่สุด
ด้านน้ำมัน ทางการมีแผนจะขายหุ้นในบริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2541 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ทางการจะขายหุ้นบางส่วนใน บริษัทปตท. สำรวจ และผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) โดยมีเป้าหมายที่จะแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยภายในสิ้นปี 2542
ด้านการสื่อสาร ทางการจะแก้ไขพระราชบัญญัติองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2497 และพระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2519 ภายในปี 2541 เพื่อเตรียมการแปรรูปเป็นบริษัทจำกัดและแปรรูปรัฐวิสาหกิจภายในสิ้นปี 2542
ในระยะปานกลาง มีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การรถไฟและการท่าเรือ โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มทรัพยากรได้อีกมากจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
การปรับโครงสร้างภาคเอกชนและการปฏิรูปกฎหมาย
27. เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างภาคธุรกิจและภาคการเงิน ทางการมุ่งมั่นที่จะกำหนดกรอบโครงสร้างทางกฎหมายที่จำเป็นให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะกฏหมายล้มละลาย และกระบวนการบังคับหลักประกัน ซึ่งจะมีการแก้ไขในเร็วๆ นี้ ตามคำแนะนำด้านวิชาการจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของธนาคารโลก และกองทุนการเงินฯ ทั้งนี้ คาดว่ากฎหมายล้มละลายฉบับใหม่ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มีนาคม 2541 จะสนับสนุนการปรับโครงสร้างของธุรกิจใหม่ (แทนที่จะต้องชำระบัญชีเพื่อปิดกิจการ)ขยายขอบเขตการเจรจาตกลงนอกศาล (โดยยกเลิกมาตรา 94(2) ของกฎหมายล้มละลาย) และช่วยให้การปฏิบัติต่อเจ้าหนี้มีความยุติธรรมมากขึ้น นอกจากนี้ทางการยังได้ดำเนินงานธุรการเบื้องต้น เพื่อให้การบังคับหลักประกันมีผลบังคับใช้ โดยจะเสนอแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวกับการบังคับหลักประกันอย่างเบ็ดเสร็จภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2541
28. ในเรื่องอื่นๆ เพื่อให้การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทยมีความทันสมัยยิ่งขึ้น (ตามที่ได้ระบุไว้ในหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่ 2) ทางการกำลังดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติเงินตราตามรูปแบบของธนาคารกลางอื่นๆ นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและการไหลเข้าของเงินทุน ทางการจะเสนอแก้ไขกฎหมายเพื่ออนุญาตให้มีการถือครองอย่างเสรีขึ้นรวมทั้งปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
--ข่าวกระทรวงการคลัง กองกลาง สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 15/24 กุมภาพันธ์ 2541--
ของรัฐบาลไทย
24 กุมภาพันธ์ 2541
I. ภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคสำหรับปี 2541
1. ทางการได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจใหม่ เนื่องจากอุปสงค์และผลผลิตในประเทศลดลงมาก รวมทั้งแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ดีขึ้นช้ากว่าที่คาด ซึ่งเป็นผลจากวิกฤติการณ์ทางการเงินในภูมิภาคที่ทวีความรุนแรงขึ้น (ตาราง) ทั้งนี้ คาดว่าการผลิตรวมจะลดลงระหว่างร้อยละ 3.-3.5 ในปี 2541 เนื่องจากการหดตัวอย่างรุนแรงของอุปสงค์ในประเทศ ในการนี้ ทางการได้ปรับปรุงแผนฟื้นฟูฯ เพื่อลดผลกระทบทางสังคมที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา ตลอดจนปรับเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ภาคการผลิตสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทั้งนี้ แม้ว่าการถดถอยทางเศรษฐกิจและการที่ความสามารถในการทำกำไรของภาคธุรกิจลดลงจะช่วยลดแรงกดดันต่อระดับราคา แต่ผลของค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้เงินเฟ้ออาจเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่าจะมีอัตราเฉลี่ยประมาณร้อยละ 11-12 ในปี 2541 สำหรับฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลประมาณร้อยละ 4 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ เนื่องจากการนำเข้ามีแนวโน้มลดลงมาก ซึ่งจะช่วยลดภาระหนี้ต่างประเทศของไทยได้เร็วขึ้น รัฐบาลตระหนักดีว่าการจะบรรลุวัตถุประสงค์หลักดังกล่าว จำเป็นต้องอาศัยมาตรการปรับโครงสร้างที่จริงจังและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่เน้นเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นสำคัญ
II. มาตรการปฏิรูปภาคการเงิน
2. การปฏิรูปภาคการเงินยังคงเป็นหลักสำคัญของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ แม้ว่าจะมีความคืบหน้าในการดำเนินการในด้านนี้ไปมากแล้ว แต่การทบทวนครั้งที่ 2 จะเป็นการผลักดันให้สถาบันการเงินมีความเข้มแข็งมากขึ้น ทั้งในสภาพคล่องและความเพียงพอของเงินกองทุน ทั้งนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การปล่อยสินเชื่อกลับสู่ปกติ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงได้ และเป็นฐานให้เศรษฐกิจ ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและยั่งยืน
การจำหน่ายโอนสินทรัพย์ของบริษัทเงินทุน 56 รายที่ถูกปิดกิจการ
3. หลังจากที่องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ประกาศให้บริษัทเงินทุนเปิดดำเนินการได้เพียง 2 รายการจากจำนวนที่ถูกระงับกิจการ 58 ราย เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2540 ทางการได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดจำหน่ายสินทรัพย์ของบริษัทเงินทุนที่ถูกปิดกิจการจากการทำงานร่วมกับที่ปรึกษาจากธนาคารโลก ทางการยืนยันว่าจะกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนการจำหน่ายสินทรัพย์ให้เสร็จสิ้นภายในกลางเดือนมีนาคม 2541 และคาดว่าการจำหน่ายสังหาริมทรัพย์จะเริ่มดำเนินการภายในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนการจำหน่ายสินทรัพย์ทางการเงินจะเริ่มได้ภายในเดือนมีนาคม นอกจากนี้ ทางการยังดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคาอย่างแท้จริง และให้มีการชำระเงินในรูปแบบซึ่งเป็นที่ยอมรับ เงื่อนเวลาสำหรับขั้นตอนดำเนินการสำคัญปรากฏใน Box 1
4. ทางการมีความตั้งใจจะจำหน่ายสินทรัพย์ให้แก่ภาคเอกชนให้มากที่สุดอย่างไรก็ดี ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและขนาดของตลาดที่ค่อนข้างเล็ก จำเป็นต้องมีมาตรการรองรับเพื่อมิให้มูลค่าของสินทรัพย์ลดต่ำลงมากจนเกินควร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินที่เปิดดำเนินกิจการอยู่ ดังนั้น ทางการจึงได้จัดตั้งสถาบันการเงินของรัฐขึ้นมา 2 แห่ง ได้แก่ ธนาคารรัตนสิน และบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) เพื่อเข้าร่วมประมูลซื้อสินทรัพย์ดังกล่าว โดยธนาคารรัตนสินจะเป็นผู้เข้าซื้อสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดีภายใต้หลักเกณฑ์ที่เข้มงวดที่สุดในเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้ ทางการมีเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะหาผู้ร่วมทุนต่างชาติเข้ามาร่วมถือหุ้นในธนาคารรัตนสินโดยเร็วที่สุด ส่วน บบส. จะเข้าประมูลซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยจะมีบทบาทเป็นผู้ซื้อรายสุดท้าย โดย บบส. มีหน้าที่บริหารสินทรัพย์เหล่านั้นเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนกลับคืนมา ในระยะปานกลางทั้งสองสถาบันจะมีเงินทุนเพียงพอภายในกลางเดือนมีนาคม 2541 ทั้งนี้จะมีการประเมินความคืบหน้าในการขายสินทรัพย์ของ ปรส. ตลอดจนบทบาทการดำเนินงานของธนาคารรัตนสินและ บบส. ในการทบทวนการปฏิบัติตามแผนฟื้นฟูฯ ครั้งที่ 3
5. ทางการตระหนักดีว่า เพื่อให้การจำหน่ายสินทรัพย์และการปฏิรูปธุรกิจเอกชนและสถาบันการเงินสามารถดำเนินต่อไปได้ จำเป็นต้องมีการปรับปรุงกฎหมายล้มละลาย และกระบวนการบังคับหลักประกัน ขั้นตอนดำเนินการเหล่านี้ปรากฏในย่อหน้า 27-28
การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของสถาบันการเงินที่เป็นหลักของระบบ
6. แนวทางในเรื่องนี้คือการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเงินกองทุนของสถาบันการเงินที่ยังเปิดดำเนินการอยู่ ด้วยการให้กันสำรองตามภาวะที่แท้จริงและให้เพิ่มทุนโดยมีภาคเอกชนเป็นแกนนำ (Box 2) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนต่ำกว่ามาตรฐานมาก และไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ตามปกติ ทางการได้เข้าแทรกแซงเพื่อรักษาความเชื่อมั่น ตั้งแต่การทบทวนครั้งที่ 1 ทางการได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษแก่ธนาคารพาณิชย์ 4 แห่งที่มีเงินกองทุนต่ำกว่ามาตรฐานมาก(มีสัดส่วนเงินฝากประมาณร้อยละ 10) และต้องพึ่งความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นจำนวนสูงมาก โดยได้ดำเนินการดังนี้ :
- ทางการได้เข้าแทรกแซงธนาคารพาณิชย์ขนาดกลาง 3 แห่ง ซึ่งไม่สามารถเพิ่มทุนได้เอง โดยการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร ลดทุนของผู้ถือหุ้นเดิมตามจำนวนความเสียหายที่เกิดขึ้นและเพิ่มทุนใหม่ผ่านการแปลงหนี้เป็นทุนโดยกองทุนฟื้นฟูฯ
- ทางการได้เข้าแทรกแซงธนาคารพาณิชย์อีกแห่งหนึ่ง (เป็นครั้งที่สอง) หลังจากที่กองทุนฟื้นฟู ได้เข้าไปดูแลการดำเนินงานในปี 2539 ด้วยการลดทุนและเพิ่มทุนใหม่ผ่านกองทุนฟื้นฟูฯ
ทางการคาดว่าจะไม่มีการแทรกแซงในลักษณะเช่นนี้อีก เนื่องจากสถาบันการเงินที่เหลืออยู่กำลังดำเนินการตามแผนการเพิ่มทุน
7. การแทรกแซงเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทางการในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ระบบการเงิน และคุ้มครองผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ ซึ่งได้รับการขานรับเป็นอย่างดีจากตลาดการเงิน โดยเฉพาะการถอนเงินของผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ได้หยุดลง ทำให้ธนาคารพาณิชย์ทั้งสี่รายไม่ต้องกู้ยืมเงินเพิ่มเติมสภาพคล่องจากกองทุนฟื้นฟูฯ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับปรุงการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์เหล่านั้นทันที เพื่อลดปริมาณธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งนี้จนกว่าจะสามารถแปรรูปให้กลับเป็นของเอกชนได้
8. ทางการตระหนักดีกว่าการแทรกแซงดังกล่าว ทำให้การถือหุ้นของภาครัฐในภาคการเงินเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้น รัฐบาลจึงมีเป้าหมายสำคัญจะลดสัดส่วนการถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์เหล่านี้ลงอย่างเร็วที่สุด และอยู่ในระหว่างกำหนดแนวทางขายหุ้นคืนให้แก่ภาคเอกชน ภายใต้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญภายนอกคาดว่าในปี 2541 การเจรจากับผู้ลงทุนภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศจะมีความคืบหน้าและสามารถลดลงได้ โดยจะศึกษาวิธีการที่จะกระตุ้นความสนใจของนักลงทุนภาคเอกชน และในขณะเดียวกันจะพยายามให้รัฐได้รับผลตอบแทนสูงสุด ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายใด ๆ เกี่ยวกับองค์การบริหารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (อบส.) จะอยู่ภายใต้การหารือกับกองทุนการเงินฯ
9. ในขณะเดียวกัน ทางการจะเร่งสร้างความเข้มแข็งของเงินกองทุนของสถาบันการเงินที่เปิดดำเนินการอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นสถาบันการเงินหลักของประเทศ
- ภายใต้กฎเกณฑ์ในการจัดชั้นสินเชื่อและการกันสำรองที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2540 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนที่มีเงินทุนไม่เพียงพอ เพื่อให้สถาบันเหล่านี้ทำการเพิ่มทุนในช่วงต้นปี 2541 ซึ่งธนาคารและบริษัทเงินทุนหลายแห่งได้บรรลุตามข้อกำหนดในบันทึกความเข้าใจแล้ว ทั้งนี้ กองทุนฟื้นฟูฯ ได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนในธนาคารพาณิชย์ของรัฐ
- ความพยายามในการเพิ่มทุนดังกล่าว ถือเป็นขั้นตอนแรกของการเพิ่มอัตราส่วนเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ภายใต้กรอบการจัดชั้นสินเชื่อและกันสำรองที่ได้มาตรฐานสากล โดยให้แล้วเสร็จภายในปี 2543 และจะมีการทยอยประกาศกฎเกณฑ์ใหม่ เริ่มก่อนสิ้นเดือนมีนาคม 2541 ทางการจะเร่งรัดการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่น
- จะให้ความสำคัญแก่ธนาคารและบริษัทเงินทุนเป็นอันดับแรก โดยในปี 2541 ทางการจะ (1) ทบทวนและดำเนินการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบกฎเกณฑ์ที่จำเป็น รวมทั้งเกณฑ์การจัดชั้นทรัพย์และการกันสำรอง การให้กู้ยืมแก่บุคคลที่มีความใกล้ชิด ความเสี่ยงจากการปริวรรต การปฏิบัติทางบัญชีและการตรวจสอบบัญชี ตลอดจนการเปิดเผยข้อมูล (2) ทบทวนโครงสร้าง และหน้าที่ในการกำกับดูแลสถาบันการเงิน เพื่อเสริมสร้างความเป็นอิสระอำนาจในการสั่งการ วิธีปฏิบัติงานและความรอบรู้ในเชิงวิชาการ โดยจะกำหนดแผนการปฎิบัติการข้างต้นให้สอดคล้องกับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวม (3) จัดทำแผนงานการจัดตั้งระบบประกันเงินฝากที่จำกัดวงเงินประกันและที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งจะทดแทนระบบการรับประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้เป็นการทั่วไปที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
- ทางการจะทบทวนบทบาทของสถาบันการเงินแต่ละประเภท ตลอดจนวิธีการกำกับดูแลสถาบันการเงินเหล่านั้น ซึ่งนอกจากธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ยังรวมถึงสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ภายใต้กระทรวงการคลัง และกรมการประกันภัย ภายใต้กระทรวงพาณิชย์ ทางการหวังว่าความพยายามเหล่านี้จะส่งผลให้ระบบการกำกับมีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาระบบการเงินให้มีความแข็งแกร่งและมีความสามารถในการแข่งขัน
III. นโยบายเศรษฐกิจมหภาค
นโยบายการเงิน
13. วัตถุประสงค์หลักของนโยบายการเงินคือ การสร้างเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนโดยตระหนักว่า ค่าเงินบาทอาจยังมีความผันผวนและมีค่าอ่อนเกินไป ทางการจึงมีความตั้งใจที่จะเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน ประการแรก เมื่อมีแรงกดดันด้านอัตราแลกเปลี่ยนทางการจะปรับอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนขึ้นประการที่สอง เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพและเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงที่เหมาะสม ทางการจะปรับอัตราดอกเบี้ยลง เนื่องจากตระหนักถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อภาคธุรกิจเอกชนและระบบการธนาคาร จากการที่สภาพคล่องตึงตัวระยะเวลานาน
14. ทางการได้ทบทวนเป้าหมายทางการเงินตามกรอบเศรษฐกิจมหาภาคที่ได้ปรับปรุงใหม่ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าที่คาดไว้ แต่ทางการมีความมุ่งมั่นที่จะรักษาแผนการเงินสำหรับปี 2541 การประมาณปริมาณเงินที่แท้จริงที่ลดลงในปี 2541 สอดคล้องกับการหดตัวของเศรษฐกิจ ตามแผนการเงินนี้คาดว่า ค่า Velocity ของปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (M2A) จะมีเสถียรภาพขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี เมื่อความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจการเงินกลับคืนมา โดยคาดว่า ณ สิ้นธันวาคม 2541 M2A จะขยายตัวประมาณร้อยละ 5 และในการกำหนดฐานเงินทางการมีสมมติฐานว่า แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของความต้องการถือเงินสดเทียบกับเงินฝากที่สถาบันการเงินจะทรงตัวในครึ่งหลังปี 2541 ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจะดูแลอัตราการขยายตัวของฐานเงินไว้ที่ประมาณร้อยละ 6.5 เกณฑ์สำหรับสินทรัพย์ในประเทศสุทธิของธนาคารแห่งประเทศไทย (NDA) ณ สิ้นเดือนมีนาคม และเดือนมิถุนายน และเป้าหมายแนวทางสำหรับฐานเงินปรากฎในภาคผนวก ก
15. ทางการจะดำเนินการเพื่อให้มีการจัดสรรสินเชื่ออย่างเพียงพอให้แก่ภาคธุรกิจเอกชนสำคัญที่ไม่ใช่ธนาคาร โดยเฉพาะผู้ส่งออก (ที่ยังคงประสบปัญหาแม้จะได้รับผลประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง) ผู้ผลิตในภาคเกษตร และผู้กู้รายย่อย ในการนี้ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ตกลงเรื่องโครงการให้สินเชื่อเพื่อการค้ากับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศญี่ปุ่น และธนาคารพัฒนาเอเชีย (จำนวนประมาณ 1.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากธนาคารแห่งประเทศไทย โดยการเพิ่มวงเงินรับช่วงซื้อลด (ถึงร้อยละ 60) ให้แก่ผู้ส่งออก ในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน โดยผ่านธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ สำหรับโครงการที่มีอยู่ได้เพิ่มวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ภาคเกษตร (ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ธุรกิจขนาดย่อย (ผ่านบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม) และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ต่ำ (ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์) จำนวนเงินที่นำมาอุดหนุนผ่านโครงการดังกล่าวมีจำนวนน้อยและได้รวมในแผนด้านการเงินแล้ว
นโยบายการคลัง
16.มาตรการที่ได้ดำเนินการในปีที่แล้ว อาทิ การตัดรายจ่ายร้อยละ 3.5 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศจากงบประมาณเดิม และการเพิ่มรายได้เกือบร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศเป็นมาตรการสำคัญที่ได้ช่วยรักษาฐานะการคลังในช่วงวิฤกตการณ์ และทำให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายเกณฑ์ปฏิบัติสำหรับดุลเงินสดสะสมของรัฐบาลกลาง ณ สิ้นเดือนธันวาคมได้อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของเศรษฐกิจ และผลกระทบจากการอ่อนลงของค่าเงินบาท ส่งผลให้รายได้รัฐบาลในปีงบประมาณ 2540/41 ลดลงร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศจากประมาณการเดิมนอกจากนี้ การที่เงินบาทยังมีค่าอ่อนลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา คาดว่าจะทำให้รายจ่ายเพิ่มขึ้น ประมาณร้อยละ 1 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ ซึ่งหากไม่มีมาตรการเพิ่มเติม ฐานะการคลังของรัฐบาลกลางจะขาดดุลร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ เทียบกับการเกินดุลร้อยละ 1 ในแผนฟื้นฟูฯ เดิม
17. ในขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะดำเนินมาตรการชดเชยการขาดดุลการคลังตามที่คาดการณ์ทั้งจำนวน ทั้งนี้ เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวดีกว่าเป้าหมายเดิมมาก การดำเนินมาตรการการคลังเพิ่มเติมเพื่อเร่งปรับตัวดังกล่าว อาจซ้ำเติมภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ และทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจช้ากว่าที่ควร อย่างไรก็ตาม ทางการอาจจะดำเนินมาตรการเพิ่มเติม หลังจากได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการรักษาวินัยทางการคลัง มาตรการดังกล่าวจะเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐ เพื่อนำไปในโครงการบรรเทาผลกระทบ
การคลังกลับมาเกินดุลได้เล็กน้อยในระยะปานกลาง
18. ในการนี้ ทางการจะดำเนินมาตรการเพิ่มรายได้ ซึ่งจะมาจากการจัดเก็บภาษีประมาณร้อยละ 0.25 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศปีงบประมาณ 2540/41 (ร้อยละ 0.5 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศทั้งปี 2541) ในขณะเดียวกัน การออมภาครัฐสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.25 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ จากการตัดโครงการลงทุนที่มีความสำคัญต่ำ และการเพิ่มค่าใช้จ่ายในโครงการบรรเทาผลกระทบต่อสังคม (รายละเอียดปรากฎต่อไป) โดยรวมแล้วมาตรการ ดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลกลางขาดดุลการคลังไม่เกินร้อยละ 1.5 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศปี 2540/41 (ภาคผนวก ข) ซึ่งส่วนหนึ่งจะชดเชยด้วยเงินกู้จากต่างประเทศ และที่เหลือจากเงินกู้ในประเทศ
19. ในสภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำทางการจะยอมให้ฐานะของรัฐวิสาหกิจเปลี่ยนจากสมดุลเป็นขาดดุลได้เล็กน้อย คือร้อยละ 0.5 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศสำหรับปีงบประมาณ 2540/41 เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายได้ทั้งจำนวน สำหรับโครงการสำคัญที่ได้รับเงินกู้จากต่างประเทศ รวมถึงธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย และกองทุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเล และหากยังมีการขาดดุลอีกเล็กน้อย จะชดเชยจากเงินกู้ต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้รัฐวิสาหกิจยังต้องดำเนินมาตรการเพิ่มเติมอีก โดยทางการจะดูแลให้มีการเพิ่มราคาสินค้าและค่าบริการของรัฐวิสาหกิจ ยกเว้นในกรณีที่จะมีผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย (เช่น ค่าโดยสารรถประจำทางและรถไฟ) ในขณะเดียวกัน ทางการได้ตัดงบประมาณลงทุนของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่เพิ่มเติมด้วย
20. ฐานะการคลังภาครัฐโดยรวมในปีงบประมาณ 2540/41 จะขาดดุลร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ ทั้งนี้ ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูภาคการเงินที่จะมีการแยกการติดตามดูแล โดยจะต้องจัดสรรงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยไว้ในงบประมาณปีต่อ ๆ ไป (ย่อน้าที่ 10)
นโยบายด้านต่างประเทศ
21. ดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวดีขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยมีการเกินดุลทุกเดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน 2540 และคาดว่าในปี 2541 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลร้อยละ 4 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ การปรับตัวดีขึ้นของดุลบัญชีเดินสะพัดดังกล่าว จะช่วยชดเชยเงินทุนไหลออกที่สูงกว่าที่ประเมินไว้เดิม ซึ่งเมื่อรวมกับโครงการเงินกู้จากต่างประเทศของทางการแล้ว จะช่วยเสริมให้เงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูฯ
22. ทางด้านเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศนั้น ได้มีการทบทวนแนวโน้มภาคต่างประเทศของปี 2541 (ตาราง) โดยมีสมมติฐานเกี่ยวกับองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้
- ธนาคารแห่งประเทศไทยจะทยอยส่งมอบภาระเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าตามลำดับ โดยคาดว่าฐานะเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิจะมียอดคงค้างประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ณ สิ้นปี 2541 โดยเป็นสัญญาที่ทำกับธนาคารพาณิชย์ไทยและต่างประเทศและจะคงระดับฐานะเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า ณ ระดับนี้ เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องในประเทศเท่านั้น
- การต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นของสาขาธนาคารต่างประเทศที่ดำเนินงานในประเทศไทยค่อนข้างมีเสถียรภาพ โดยเงินกู้ดังกล่าวมีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของหนี้ระยะสั้นที่จะครบกำหนดในปี 2541 และเป็นเงินกู้ระหว่างสาขากับสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศ โดยรวมแล้วหนี้ต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ไทยและของภาคธุรกิจจะลดลง ซึ่งส่วนหนึ่งสอดคล้องกับความต้องการเงินกู้เพื่อชำระค่าสินค้านำเข้าที่ลดลง จากการหดตัวของเศรษฐกิจและการนำเข้าทางการ คาดว่าอัตราการต่ออายุหนี้ดังกล่าวจะดีขึ้นเป็นลำดับในช่วยปีนี้ จากการที่วิกฤติการณ์ทางการเงินในภูมิภาคคลี่คลายลง นอกจากนั้น ยังเชื่อมั่นว่า ภาคธุรกิจเอกชนจะตกลงปรับโครงสร้างหนี้กันเองโดยสมัครใจ โดยทางการจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
23. ตามสมมติฐานนี้ ทางการคาดว่าจะยังคงรักษาเป้าหมายด้านต่างประเทศตามแผนฟื้นฟูฯ สำหรับปี 2541 ไว้ได้ ทั้งนี้ เกณฑ์ปฎิบัติ ณ สิ้นเดือนมีนาคม และสิ้นเดือนมิถุนายน ปรากฎในภาคผนวก ค ส่วนเป้าหมายด้านเงินสำรองระหว่างประเทศนั้นได้มีการปรับปรุงให้ครอบคลุมหนี้ระยะสั้นที่ถูกต้องยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับแผนฟื้นฟูฯ เดิม อนึ่งภาวะตลาดเงินตราต่างประเทศได้ปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่มีการยกเลิกมาตรการควบคุมด้านเงินทุนเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ จึงเชื่อว่าบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายจะปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาดไว้ขณะนี้ ทั้งนี้ ทางการจะติดตามพัฒนาการของการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างใกล้ชิดต่อไป และในกรณีที่มีแรงกดดันเกิดขึ้นอีก ทางการจะดำเนินนโยบายมหาภาคที่ยืดหยุ่นขึ้น โดยการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยจะสามารถเข้าแทรกแซงได้ นอกจากนี้ จากการหารือกับนักลงทุนต่อสังคม (ย่อหน้า 25) และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว จะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วยและส่งผลให้ฐานะต่างประเทศ และด้วยบทบาทที่สำคัญยิ่งขึ้นของกองทุนการเงินฯ ทางการมั่นใจว่าแผนฟื้นฟูฯ ของไทยจะได้รับเงินสนับสนุนอย่างเพียงพอตลอดเวลา
IV. มาตรการสนับสนุนและฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวม
24. ขณะนี้ ทางการได้กำหนดแผนดำเนินงานเพื่อเร่งฟื้นฟูภาคการเงิน และกำหนดนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เพื่อรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นอกเหนือจากการดำเนินการตามมาตรการเหล่านี้แล้ว ทางการยังจะเพิ่มความช่วยเหลือแก่ผู้มีรายได้น้อยในสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำนี้ รวมทั้งจะดำเนินการปรับโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในอนาคต
แผนรองรับด้านสังคม
25. ทางการตระหนักถึงผลกระทบของวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีต่อผู้มีรายได้น้อยในสังคม และตั้งใจที่จะดำเนินมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ในการนี้ ทางการได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของกองทุนการเงินฯ ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชียและกองทุน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเลกำหนดแผนบรรเทาผลกระทบทางสังคม ทั้งนี้ สาระสำคัญของแผนรองรับด้านสังคมปรากฎใน Box 3 แผนการนี้จะมีการทบทวนอย่างใกล้ชิดเพื่อให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ และมีประสิทธิภาพตามงบประมาณที่มีอยู่ ตลอดจนมีความโปร่งใสในการดำเนินการ อนึ่ง แผนดังกล่าวจะได้รับความช่วยเหลือส่วนใหญ่จากเงินกู้จากธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย และกองทุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเล
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
26. ทางการมีความตั้งใจที่จะเร่งแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทย โดยภายในวันที่ 30 มกราคม 2541 และด้วยความช่วยเหลือจากธนาคารโลก ทางการจะจัดตั้งสำนักงานเลขานุการการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเสนอการปฏิรูปกฎหมาย (รวมถึงร่างพระราชบัญญัติทุนของรัฐวิสาหกิจเพื่อเร่งกระบวนการ) และพัฒนากรอบกฎหมาย (โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภค) โครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในระยะสั้นจะประกอบด้วยมาตรการสำคัญ ดังนี้
ด้านการขนส่ง ทางการตั้งใจที่จะแปรรูปบริษัทการบินไทย จำกัด ในปี 2541 โดยเริ่มจากการหาผู้ร่วมทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ส่วนหุ้นที่เหลือจะเสนอขายตลาดในประเทศและพนักงานบริษัท
ด้านพลังงาน ทางการจะเร่งแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และส่งเสริมการแข่งขัน โดยมีนโยบายกว้างๆ ที่จะส่งเสริมให้บริษัทเอกชนอิสระผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อให้มีการแข่งขัน ทั้งนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจะขายหุ้นในบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และหน่วยธุรกิจผลิตไฟฟ้า 2 ในปี 2541 สำหรับในระยะยาว ทางการมีความประสงค์ที่จะแยกการดำเนินงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็น 2 ส่วน คือ บริษัทผลิตไฟฟ้า และบริษัทจำหน่ายไฟฟ้า ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะได้รับการแปรรูปเป็นบริษัทเอกชนในที่สุด
ด้านน้ำมัน ทางการมีแผนจะขายหุ้นในบริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2541 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ทางการจะขายหุ้นบางส่วนใน บริษัทปตท. สำรวจ และผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) โดยมีเป้าหมายที่จะแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยภายในสิ้นปี 2542
ด้านการสื่อสาร ทางการจะแก้ไขพระราชบัญญัติองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2497 และพระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2519 ภายในปี 2541 เพื่อเตรียมการแปรรูปเป็นบริษัทจำกัดและแปรรูปรัฐวิสาหกิจภายในสิ้นปี 2542
ในระยะปานกลาง มีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การรถไฟและการท่าเรือ โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มทรัพยากรได้อีกมากจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
การปรับโครงสร้างภาคเอกชนและการปฏิรูปกฎหมาย
27. เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างภาคธุรกิจและภาคการเงิน ทางการมุ่งมั่นที่จะกำหนดกรอบโครงสร้างทางกฎหมายที่จำเป็นให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะกฏหมายล้มละลาย และกระบวนการบังคับหลักประกัน ซึ่งจะมีการแก้ไขในเร็วๆ นี้ ตามคำแนะนำด้านวิชาการจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของธนาคารโลก และกองทุนการเงินฯ ทั้งนี้ คาดว่ากฎหมายล้มละลายฉบับใหม่ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มีนาคม 2541 จะสนับสนุนการปรับโครงสร้างของธุรกิจใหม่ (แทนที่จะต้องชำระบัญชีเพื่อปิดกิจการ)ขยายขอบเขตการเจรจาตกลงนอกศาล (โดยยกเลิกมาตรา 94(2) ของกฎหมายล้มละลาย) และช่วยให้การปฏิบัติต่อเจ้าหนี้มีความยุติธรรมมากขึ้น นอกจากนี้ทางการยังได้ดำเนินงานธุรการเบื้องต้น เพื่อให้การบังคับหลักประกันมีผลบังคับใช้ โดยจะเสนอแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวกับการบังคับหลักประกันอย่างเบ็ดเสร็จภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2541
28. ในเรื่องอื่นๆ เพื่อให้การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทยมีความทันสมัยยิ่งขึ้น (ตามที่ได้ระบุไว้ในหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่ 2) ทางการกำลังดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติเงินตราตามรูปแบบของธนาคารกลางอื่นๆ นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและการไหลเข้าของเงินทุน ทางการจะเสนอแก้ไขกฎหมายเพื่ออนุญาตให้มีการถือครองอย่างเสรีขึ้นรวมทั้งปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
--ข่าวกระทรวงการคลัง กองกลาง สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 15/24 กุมภาพันธ์ 2541--