สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--12 พ.ย.--บิสนิวส์
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
ยางพารา : ราคาจะโน้มลงอีก
จากการศึกษาดัชนีความเคลื่อนไหวราคาตามฤดูกาล ปี 2529-2540 พบว่าดัชนีราคายางมัก
จะตกต่ำที่สุดช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ทั้งนี้เนื่องจากผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากในช่วงดังกล่าว
ขณะที่พ่อค้าจะชะลอการรับซื้อ เนื่องจากใกล้ช่วงเทศกาลพักผ่อนประจำปีที่วันหยุดติดต่อกัน นอกจากนี้
ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว อาจส่งผลให้ราคายางตกต่ำกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ดีราคายาง
ช่วงนี้ยังไม่ต่ำสุดเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่กิโลกรัมละ 19.81 บาท ทั้งนี้เนื่องจากจีนได้เข้าซื้อ
ยางจากไทย เพื่อเพิ่ม สต๊อกปริมาณ 100,000 ตัน ราคายางแผ่นดิบชั้น 3 ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ย
เดือนตุลาคม กิโลกรัมละ 23.14 บาท ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าต้นทุนการผลิตคือ กิโลกรัมละ 23.35 บาท
แม้ว่ารัฐบาลได้เข้าแทรกแซงตลาดด้วยการรับซื้อยางแผ่นดิบชั้น 3 ในราคากิโลกรัมละ 27 บาท แต่ก็
ไม่สามารถบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรได้อย่างทั่วถึง
อย่างไรก็ตาม หากการเข้าซื้อยางของจีนเต็มความต้องการแล้ว คาดว่าราคาจะมีแนวโน้มต่ำ
ลงอีก เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาดังกล่าว ควรมี มาตรการในการดำเนินการ
ดังนี้
1. ให้กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง เร่งประชาสัมพันธ์
แนะนำเกษตรกรผลิตยางแผ่นคุณภาพ เพื่อให้ได้รับราคาประกันยางแผ่นดิบอย่างน้อยกิโลกรัมละ 27 บาท
2. ให้องค์การสวนยาง เร่งระบายสต๊อกที่มีอยู่ส่งมอบผู้นำเข้าโดยเร็ว ทั้งนี้เพื่อนำเงินมาสมทบ
โครงการแทรกแซงตลาดยางพาราต่อไป
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 ข้าว : การระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ในข้าวนาปี 2541/42
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล สามารถทำความเสียหายแก่ข้าวนาปีและนาปรัง โดยทำให้
ข้าวแห้งตายเป็นหย่อมๆ นอกจากนั้นยังเป็นพาหะนำโรคไวรัสมาสู่ข้าว ทำให้ข้าวเป็นโรคใบหงิก (โรคจู๋)
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลส่วนใหญ่มักจะเกิดในพื้นที่เขตชลประทานที่มีการปลูกข้าวอย่างต่อเนื่อง สำหรับใน
ฤดูนาปี ปี 2541/42 จากข้อมูลกรมส่งเสริมการเกษตรคาดว่าจะมีการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
ในแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของประเทศใน 45 จังหวัด รวมพื้นที่ที่ต้องช่วยเหลือประมาณ 5.0 ล้านไร่ โดย
1) ภาคเหนือ คาดว่าจะระบาด 20% ของพื้นที่เพาะปลูก
2) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คาดว่าจะระบาด 3% ของพื้นที่เพาะปลูก
3) ภาคกลาง คาดว่าจะระบาด 30% ของพื้นที่เพาะปลูก
4) ภาคตะวันตก คาดว่าจะระบาด 20% ของพื้นที่เพาะปลูก
5) ภาคตะวันออก คาดว่าจะระบาด 15% ของพื้นที่เพาะปลูก
6) ภาคใต้ คาดว่าจะระบาด 1% ของพื้นที่เพาะปลูก
สถานการณ์การระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล มีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เนื่องจากความแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศ จากปรากฎการณ์ El Nino และมีการปลูกข้าวอย่างต่อ
เนื่องโดยใช้พันธุ์ข้าวชนิดเดียวกันเป็นพื้นที่ที่กว้างขวาง ตลอดจนการปฏิบัติดูแลนาข้าวที่ไม่ถูกต้อง จึงเป็น
ที่น่าวิตกว่าการระบาดจะลุกลามต่อไปจนถึงฤดูการทำนาปรัง ปี 2542 ดังนั้นเพื่อตัดวงจรชีวิตของเพลี้ย
กระโดดสีน้ำตาล เกษตรกรควรเปลี่ยนไปปลูกพืชไร่และพืชผักทดแทนการปลูกข้าวนาปรัง
2.2 ไก่เนื้อ : สหรัฐฯ ขอให้ไทยเปิดตลาดน่องไก่เพื่อนำมาแปรรูปและส่งไป จำหน่าย
ต่างประเทศ
มีรายงานว่าบริษัทเอกชนจากสหรัฐอเมริกาเดินทางเข้ามาเจรจาเพื่อขอเปิดตลาดไก่เนื้อใน
ประเทศไทย โดยมีการเจรจาผ่านกระทรวงเกษตรฯ โดยตรง และส่งตัวแทนเข้าพบกับอธิบดีกรมปศุสัตว์
นั้น บริษัทสหฟาร์มเปิดเผยว่าสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากการที่รัสเซียประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอการ
นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในแต่ละปีสหรัฐฯ ส่งน่องไก่แช่แข็งไปจำหน่ายรัสเซียประมาณ 1.5 ล้านตัน
ขณะนี้ไม่สามารถส่งออกได้ตามปกติ ราคาน่องไก่ที่สหรัฐฯ ส่งไปรัสเซียตกต่ำมาก จากกิโลกรัมละ
70-80 เซนต์ เหลือกิโลกรัมละ 22 เซนต์ ทำให้สหรัฐฯ ต้องหาตลาดใหม่เพื่อระบายสินค้า เนื่องจาก
ชาวอเมริกันไม่นิยมบริโภคน่องไก่ การที่สหรัฐฯ จะปรับตัวสู่การผลิตไก่ถอดกระดูกหรือไก่แปรรูปจะ
ต้องแข่งกับไทยในทุกตลาดซึ่งสหรัฐฯ เสียเปรียบอย่างมากจึงจำเป็นต้องหาพันธมิตรในการดำเนินธุรกิจ
และเห็นว่าไทยมีศักยภาพสูงทั้งเทคโนโลยี ฝีมือแรงงานและค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าจึงมุ่งเป้ามาที่ไทย
แม้ว่าขณะนี้ไทยยังไม่ได้เปิดตลาดให้สหรัฐฯ แต่ผลจากการที่สหรัฐฯ ไม่สามารถส่งออกไปรัสเซียได้ส่ง
ผลกระทบมาถึงไทยแล้วบางส่วน คือราคาส่งออกไก่ไปตลาดญี่ปุ่นเริ่มมีแนวโน้มอ่อนตัวลง
จากกรณีที่มีกระแสข่าวนักลงทุนจากสหรัฐฯ จะนำเข้าไก่ค้างสต็อกมาแปรรูปในไทยแล้วส่งออก
ต่อนั้น คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อวงจรการผลิตไก่ไทยทั้งระบบ คือ
1) เนื่องจากการแปรรูปที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการใช้แรงงานจากไทยเท่านั้นไม่ได้ใช้วัตถุดิบ
ภายในประเทศ ถ้าหากสหรัฐฯ ส่งน่องไก่มาทุ่มตลาดในไทย โรงงานแปรรูปอาจจะรับซื้อไก่จาก
เกษตรกรในปริมาณที่ลดลงและหันมาแปรรูปเนื้อไก่จากต่างประเทศแทน และทำให้เกษตรกรไทยได้
รับความเดือดร้อนจากราคาไก่ตกต่ำ
2) การนำเข้าน่องไก่มาแปรรูปแล้วส่งออกถ้าส่งไปตลาดสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตลาดรองของ
ไทยอาจจะเกิดปัญหาถ้าสหภาพยุโรปทราบว่าสินค้านั้นไม่ได้มีแหล่งกำเนิดจากไทย แต่เป็นสินค้าที่ผลิต
จากสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปห้ามนำเข้าเนื้อไก่จากสหรัฐฯ ดังนั้นถ้าสหภาพยุโรปสั่งห้ามนำเข้าเนื้อไก่
จากไทย จะทำให้อุตสาหกรรมไก่เนื้อของไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
3) ประเทศไทยเคยขออนุญาตส่งออกเนื้อไก่ไปยังสหรัฐฯ นานกว่า 10 ปีแล้ว แต่
ก็ยังไม่อนุมัติให้นำเข้า หากไทยอนุญาตให้นำเข้าได้ก็ต้องแลกเปลี่ยนกับการอนุญาตให้นำเข้าไก่จากไทย
ไปสหรัฐเช่นกัน
ดังนั้น หากจะมีการเปิดตลาดให้สหรัฐฯ น่าจะทำให้ลักษณะการร่วมทุนและผลิตไก่
ครบวงจรตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการแปรรูป และส่งออกต่างประเทศ เช่นเดียวกับหลายบริษัทที่เปิดดำเนิน
การ
2.3 กระเทียม หอมแดงและหอมหัวใหญ่ : เป้าหมายการผลิต ปี 2542/43
คณะกรรมการนโบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ได้มีมติในคราวประชุมครั้งที่
3/2541 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2541 เห็นชอบเป้าหมายการผลิตกระเทียม หอมแดงและหอมหัวใหญ่ปี
2542/43 ตามที่คณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่และ
มันฝรั่งเสนอ ดังนี้
1) กระเทียม
เป้าหมายการผลิตกระเทียม ปี 2542/43 พื้นที่ปลูก 155,444 ไร่ ผลผลิต 129,951 ตัน โดยจัดสรรพื้นที่การผลิตเป็นรายจังหวัด ดังนี้
จังหวัด พื้นที่ (ไร่) ผลผลิต (ตัน)
เชียงใหม่ 47,800 44,300
ลำพูน 32,900 29,000
พะเยา 10,500 6,900
เชียงราย 12,000 10,600
ลำปาง 9,800 6,200
แม่ฮ่องสอน 18,900 16,200
ศรีสะเกษ 5,200 4,000
ตาก 4,200 4,000
อุตรดิตถ์ 2,400 1,800
อื่น ๆ 11,744 6,951
รวม 155,444 129,951
หมายเหตุ : แหล่งปลูกกระเทียมอื่น ๆ ได้แก่ แพร่ น่าน เพชรบูรณ์ และชัยภูมิ
2) หอมแดง
เป้าหมายการผลิตหอมแดงปี 2542/43 พื้นที่ปลูก 85,600 ไร่ ผลผลิต 171,292 ตัน
โดยจัดสรรพื้นที่การผลิตเป็นรายจังหวัด ดังนี้
จังหวัด พื้นที่ (ไร่) ผลผลิต (ตัน)
เชียงใหม่ 17,400 36,700
ลำพูน 20,500 45,200
ศรีสะเกษ 22,600 53,600
อุตรดิตถ์ 7,100 12,600
อื่น ๆ 18,000 23,192
รวม 85,600 171,292
หมายเหตุ : แหล่งปลูกอื่น ๆ ได้แก่ เชียงราย พะเยา ลำปาง
3) หอมหัวใหญ่
เป้าหมายการผลิตหอมหัวใหญ่ ปี 2542/43 พื้นที่ปลูก 15,397 ไร่ ผลผลิต 55,045 ตัน
หรือ 77,480 ตันสด จำนวนเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ที่ต้องนำเข้า 13,900 ปอนด์ เผื่อสำรองความงอก
14 ปอนด์ รวมเป็น 13,914 ปอนด์ หรือ 6.311 ตัน โดย จัดสรรพื้นที่ปลูกและเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่
ตามแหล่งผลิต ดังนี้
จังหวัด เนื้อที่ปลูก ผลผลิต ผลผลิต/ไร่ เมล็ดพันธุ์/ไร่ เมล็ดพันธุ์
(ไร่) (ตันสด) (ตันสด) (ปอนด์) (ปอนด์)
1. ในเขตเกษตรเศรษฐกิจ 14,797 75,880 5.128 0.91 13,400
กาญจนบุรี 1,400 4,200 3.000 1.00 1,400
เชียงใหม่ 13,397 71,680 5.350 0.90 12,000
-แม่วาง และสันป่าตอง 6,027 22,300 3.700 0.99 6,000
-ฝาง ไชยปราการ พร้าว 7,370 49,380 6.700 0.81 6,000
2.นอกเขตเกษตรเศรษฐกิจ 600 1,600 2.667 0.83 500
เชียงราย 500 1,300 2.600 0.80 400
นครสวรรค์ 100 300 3.000 1.00 100
รวม 15,397 77,480 5.032 0.90 13,900
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 2 - 8 พ.ย. 2541--
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
ยางพารา : ราคาจะโน้มลงอีก
จากการศึกษาดัชนีความเคลื่อนไหวราคาตามฤดูกาล ปี 2529-2540 พบว่าดัชนีราคายางมัก
จะตกต่ำที่สุดช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ทั้งนี้เนื่องจากผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากในช่วงดังกล่าว
ขณะที่พ่อค้าจะชะลอการรับซื้อ เนื่องจากใกล้ช่วงเทศกาลพักผ่อนประจำปีที่วันหยุดติดต่อกัน นอกจากนี้
ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว อาจส่งผลให้ราคายางตกต่ำกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ดีราคายาง
ช่วงนี้ยังไม่ต่ำสุดเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่กิโลกรัมละ 19.81 บาท ทั้งนี้เนื่องจากจีนได้เข้าซื้อ
ยางจากไทย เพื่อเพิ่ม สต๊อกปริมาณ 100,000 ตัน ราคายางแผ่นดิบชั้น 3 ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ย
เดือนตุลาคม กิโลกรัมละ 23.14 บาท ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าต้นทุนการผลิตคือ กิโลกรัมละ 23.35 บาท
แม้ว่ารัฐบาลได้เข้าแทรกแซงตลาดด้วยการรับซื้อยางแผ่นดิบชั้น 3 ในราคากิโลกรัมละ 27 บาท แต่ก็
ไม่สามารถบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรได้อย่างทั่วถึง
อย่างไรก็ตาม หากการเข้าซื้อยางของจีนเต็มความต้องการแล้ว คาดว่าราคาจะมีแนวโน้มต่ำ
ลงอีก เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาดังกล่าว ควรมี มาตรการในการดำเนินการ
ดังนี้
1. ให้กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง เร่งประชาสัมพันธ์
แนะนำเกษตรกรผลิตยางแผ่นคุณภาพ เพื่อให้ได้รับราคาประกันยางแผ่นดิบอย่างน้อยกิโลกรัมละ 27 บาท
2. ให้องค์การสวนยาง เร่งระบายสต๊อกที่มีอยู่ส่งมอบผู้นำเข้าโดยเร็ว ทั้งนี้เพื่อนำเงินมาสมทบ
โครงการแทรกแซงตลาดยางพาราต่อไป
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 ข้าว : การระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ในข้าวนาปี 2541/42
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล สามารถทำความเสียหายแก่ข้าวนาปีและนาปรัง โดยทำให้
ข้าวแห้งตายเป็นหย่อมๆ นอกจากนั้นยังเป็นพาหะนำโรคไวรัสมาสู่ข้าว ทำให้ข้าวเป็นโรคใบหงิก (โรคจู๋)
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลส่วนใหญ่มักจะเกิดในพื้นที่เขตชลประทานที่มีการปลูกข้าวอย่างต่อเนื่อง สำหรับใน
ฤดูนาปี ปี 2541/42 จากข้อมูลกรมส่งเสริมการเกษตรคาดว่าจะมีการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
ในแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของประเทศใน 45 จังหวัด รวมพื้นที่ที่ต้องช่วยเหลือประมาณ 5.0 ล้านไร่ โดย
1) ภาคเหนือ คาดว่าจะระบาด 20% ของพื้นที่เพาะปลูก
2) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คาดว่าจะระบาด 3% ของพื้นที่เพาะปลูก
3) ภาคกลาง คาดว่าจะระบาด 30% ของพื้นที่เพาะปลูก
4) ภาคตะวันตก คาดว่าจะระบาด 20% ของพื้นที่เพาะปลูก
5) ภาคตะวันออก คาดว่าจะระบาด 15% ของพื้นที่เพาะปลูก
6) ภาคใต้ คาดว่าจะระบาด 1% ของพื้นที่เพาะปลูก
สถานการณ์การระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล มีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เนื่องจากความแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศ จากปรากฎการณ์ El Nino และมีการปลูกข้าวอย่างต่อ
เนื่องโดยใช้พันธุ์ข้าวชนิดเดียวกันเป็นพื้นที่ที่กว้างขวาง ตลอดจนการปฏิบัติดูแลนาข้าวที่ไม่ถูกต้อง จึงเป็น
ที่น่าวิตกว่าการระบาดจะลุกลามต่อไปจนถึงฤดูการทำนาปรัง ปี 2542 ดังนั้นเพื่อตัดวงจรชีวิตของเพลี้ย
กระโดดสีน้ำตาล เกษตรกรควรเปลี่ยนไปปลูกพืชไร่และพืชผักทดแทนการปลูกข้าวนาปรัง
2.2 ไก่เนื้อ : สหรัฐฯ ขอให้ไทยเปิดตลาดน่องไก่เพื่อนำมาแปรรูปและส่งไป จำหน่าย
ต่างประเทศ
มีรายงานว่าบริษัทเอกชนจากสหรัฐอเมริกาเดินทางเข้ามาเจรจาเพื่อขอเปิดตลาดไก่เนื้อใน
ประเทศไทย โดยมีการเจรจาผ่านกระทรวงเกษตรฯ โดยตรง และส่งตัวแทนเข้าพบกับอธิบดีกรมปศุสัตว์
นั้น บริษัทสหฟาร์มเปิดเผยว่าสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากการที่รัสเซียประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอการ
นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในแต่ละปีสหรัฐฯ ส่งน่องไก่แช่แข็งไปจำหน่ายรัสเซียประมาณ 1.5 ล้านตัน
ขณะนี้ไม่สามารถส่งออกได้ตามปกติ ราคาน่องไก่ที่สหรัฐฯ ส่งไปรัสเซียตกต่ำมาก จากกิโลกรัมละ
70-80 เซนต์ เหลือกิโลกรัมละ 22 เซนต์ ทำให้สหรัฐฯ ต้องหาตลาดใหม่เพื่อระบายสินค้า เนื่องจาก
ชาวอเมริกันไม่นิยมบริโภคน่องไก่ การที่สหรัฐฯ จะปรับตัวสู่การผลิตไก่ถอดกระดูกหรือไก่แปรรูปจะ
ต้องแข่งกับไทยในทุกตลาดซึ่งสหรัฐฯ เสียเปรียบอย่างมากจึงจำเป็นต้องหาพันธมิตรในการดำเนินธุรกิจ
และเห็นว่าไทยมีศักยภาพสูงทั้งเทคโนโลยี ฝีมือแรงงานและค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าจึงมุ่งเป้ามาที่ไทย
แม้ว่าขณะนี้ไทยยังไม่ได้เปิดตลาดให้สหรัฐฯ แต่ผลจากการที่สหรัฐฯ ไม่สามารถส่งออกไปรัสเซียได้ส่ง
ผลกระทบมาถึงไทยแล้วบางส่วน คือราคาส่งออกไก่ไปตลาดญี่ปุ่นเริ่มมีแนวโน้มอ่อนตัวลง
จากกรณีที่มีกระแสข่าวนักลงทุนจากสหรัฐฯ จะนำเข้าไก่ค้างสต็อกมาแปรรูปในไทยแล้วส่งออก
ต่อนั้น คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อวงจรการผลิตไก่ไทยทั้งระบบ คือ
1) เนื่องจากการแปรรูปที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการใช้แรงงานจากไทยเท่านั้นไม่ได้ใช้วัตถุดิบ
ภายในประเทศ ถ้าหากสหรัฐฯ ส่งน่องไก่มาทุ่มตลาดในไทย โรงงานแปรรูปอาจจะรับซื้อไก่จาก
เกษตรกรในปริมาณที่ลดลงและหันมาแปรรูปเนื้อไก่จากต่างประเทศแทน และทำให้เกษตรกรไทยได้
รับความเดือดร้อนจากราคาไก่ตกต่ำ
2) การนำเข้าน่องไก่มาแปรรูปแล้วส่งออกถ้าส่งไปตลาดสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตลาดรองของ
ไทยอาจจะเกิดปัญหาถ้าสหภาพยุโรปทราบว่าสินค้านั้นไม่ได้มีแหล่งกำเนิดจากไทย แต่เป็นสินค้าที่ผลิต
จากสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปห้ามนำเข้าเนื้อไก่จากสหรัฐฯ ดังนั้นถ้าสหภาพยุโรปสั่งห้ามนำเข้าเนื้อไก่
จากไทย จะทำให้อุตสาหกรรมไก่เนื้อของไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
3) ประเทศไทยเคยขออนุญาตส่งออกเนื้อไก่ไปยังสหรัฐฯ นานกว่า 10 ปีแล้ว แต่
ก็ยังไม่อนุมัติให้นำเข้า หากไทยอนุญาตให้นำเข้าได้ก็ต้องแลกเปลี่ยนกับการอนุญาตให้นำเข้าไก่จากไทย
ไปสหรัฐเช่นกัน
ดังนั้น หากจะมีการเปิดตลาดให้สหรัฐฯ น่าจะทำให้ลักษณะการร่วมทุนและผลิตไก่
ครบวงจรตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการแปรรูป และส่งออกต่างประเทศ เช่นเดียวกับหลายบริษัทที่เปิดดำเนิน
การ
2.3 กระเทียม หอมแดงและหอมหัวใหญ่ : เป้าหมายการผลิต ปี 2542/43
คณะกรรมการนโบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ได้มีมติในคราวประชุมครั้งที่
3/2541 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2541 เห็นชอบเป้าหมายการผลิตกระเทียม หอมแดงและหอมหัวใหญ่ปี
2542/43 ตามที่คณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่และ
มันฝรั่งเสนอ ดังนี้
1) กระเทียม
เป้าหมายการผลิตกระเทียม ปี 2542/43 พื้นที่ปลูก 155,444 ไร่ ผลผลิต 129,951 ตัน โดยจัดสรรพื้นที่การผลิตเป็นรายจังหวัด ดังนี้
จังหวัด พื้นที่ (ไร่) ผลผลิต (ตัน)
เชียงใหม่ 47,800 44,300
ลำพูน 32,900 29,000
พะเยา 10,500 6,900
เชียงราย 12,000 10,600
ลำปาง 9,800 6,200
แม่ฮ่องสอน 18,900 16,200
ศรีสะเกษ 5,200 4,000
ตาก 4,200 4,000
อุตรดิตถ์ 2,400 1,800
อื่น ๆ 11,744 6,951
รวม 155,444 129,951
หมายเหตุ : แหล่งปลูกกระเทียมอื่น ๆ ได้แก่ แพร่ น่าน เพชรบูรณ์ และชัยภูมิ
2) หอมแดง
เป้าหมายการผลิตหอมแดงปี 2542/43 พื้นที่ปลูก 85,600 ไร่ ผลผลิต 171,292 ตัน
โดยจัดสรรพื้นที่การผลิตเป็นรายจังหวัด ดังนี้
จังหวัด พื้นที่ (ไร่) ผลผลิต (ตัน)
เชียงใหม่ 17,400 36,700
ลำพูน 20,500 45,200
ศรีสะเกษ 22,600 53,600
อุตรดิตถ์ 7,100 12,600
อื่น ๆ 18,000 23,192
รวม 85,600 171,292
หมายเหตุ : แหล่งปลูกอื่น ๆ ได้แก่ เชียงราย พะเยา ลำปาง
3) หอมหัวใหญ่
เป้าหมายการผลิตหอมหัวใหญ่ ปี 2542/43 พื้นที่ปลูก 15,397 ไร่ ผลผลิต 55,045 ตัน
หรือ 77,480 ตันสด จำนวนเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ที่ต้องนำเข้า 13,900 ปอนด์ เผื่อสำรองความงอก
14 ปอนด์ รวมเป็น 13,914 ปอนด์ หรือ 6.311 ตัน โดย จัดสรรพื้นที่ปลูกและเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่
ตามแหล่งผลิต ดังนี้
จังหวัด เนื้อที่ปลูก ผลผลิต ผลผลิต/ไร่ เมล็ดพันธุ์/ไร่ เมล็ดพันธุ์
(ไร่) (ตันสด) (ตันสด) (ปอนด์) (ปอนด์)
1. ในเขตเกษตรเศรษฐกิจ 14,797 75,880 5.128 0.91 13,400
กาญจนบุรี 1,400 4,200 3.000 1.00 1,400
เชียงใหม่ 13,397 71,680 5.350 0.90 12,000
-แม่วาง และสันป่าตอง 6,027 22,300 3.700 0.99 6,000
-ฝาง ไชยปราการ พร้าว 7,370 49,380 6.700 0.81 6,000
2.นอกเขตเกษตรเศรษฐกิจ 600 1,600 2.667 0.83 500
เชียงราย 500 1,300 2.600 0.80 400
นครสวรรค์ 100 300 3.000 1.00 100
รวม 15,397 77,480 5.032 0.90 13,900
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 2 - 8 พ.ย. 2541--