กรุงเทพ--11 พ.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2548 นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และภายหลังการเยือน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับผลการเยือน สรุปได้ดังนี้
1. การเยือน สปป. ลาวในครั้งนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ทำความรู้จักและหารือกับนายบัวสอน บุบผาวัน รองนายกรัฐมนตรี นายบุนเกิด สังสมสัก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายสมมาด พนเสนา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
2. ประเทศไทยและลาวมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ สนิทสนมกันมานาน ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์อย่างต่อเนื่องต่อทั้งสองฝ่าย โดยประเทศไทยก็ได้รับประโยชน์ด้วย ทั้งในด้านการส่งสินค้าผ่านประเทศไทย และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
3. ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาว ครบรอบ 55 ปี ในปี 2548 นี้ โดยทั้งสองฝ่ายได้วางแผนการจัดกิจกรรม เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการคมนาคมระหว่างสองประเทศให้ดีขึ้น ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหารือกันว่า งบประมาณที่ไทยได้ให้ความช่วยเหลือในโครงการต่างๆ นั้นไทยจะสนับสนุนให้เกิดผลโดยเร็วที่สุด และจะมีการเปิดด่านมากขึ้นทั้งที่เป็นด่านชั่วคราวและด่านสากล จะมีการขยาย เส้นทางการเดินรถโดยสาร จากเดิมที่มีอยู่สองเส้นทางคือ หนองคาย-เวียงจันทน์ และอุดรธานี- เวียงจันทน์ อาจขยายอีก 2 เส้นทางในภาคใต้ของลาวคือ ปากเซ-อุบลราชธานี และสะหวันนะเขต-มุกดาหาร ซึ่งทางแขวงสะหวันนะเขตแจ้งว่า พร้อมที่จะให้ไทยเข้าไปประชุมหารือเกี่ยวกับการ ปรับปรุงสนามบินสะหวันนะเขตร่วมกับญี่ปุ่น และลาว เพื่อขยายแหล่งท่องเที่ยว ในขณะเดียวกัน
เมืองหลวงพระบางซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกนั้น เป็นจุดหนึ่งที่จะสามารถดึงนักท่องเที่ยว มาในภูมิภาคนี้ได้ ในการนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงเรื่องงบประมาณในการลาดยางถนนในหลวงพระบางเป็นความยาว 1.5 กิโลเมตร ซึ่งไทยรับจะให้การสนับสนุน
4. ในเรื่องของศุลกากรและด่านตรวจคนเข้าเมืองนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ได้กำชับกัน ในเรื่องของการอำนวยความสะดวกในการตรวจและปล่อยสินค้าที่ถูกต้องให้รวดเร็วมากขึ้น
5. ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันอย่างเข้มงวด ในด้านการปราบปรามยาเสพติดเพื่อไม่ให้มีปัญหาเกิดขึ้นตามแนวชายแดน อย่างไรก็ตามที่ได้รับรายงานมาขณะนี้ยังไม่มีปัญหาใดๆ
6. ในส่วนของการให้ความร่วมมือในกรอบของพหุภาคี ทั้งสองฝ่ายมีแนวทางในการร่วมมือกันอย่างชัดเจนตรงกันว่า ในการประชุมผู้นำอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ที่กำลัง จะมีขึ้นที่นครคุนหมิงนั้น ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนให้มีการร่วมมือกันในด้านการขนส่งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศให้มากขึ้น เพื่อเป็นการรองรับเศรษฐกิจการค้าเสรีในปี 2010 ของ AFTA ที่จะเกิดขึ้นในกรอบของ ASEAN+3
สำหรับการสนับสนุนให้คนไทยสามารถยืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างสง่างาม ทางรัฐบาลลาวก็ยืนยันว่าจะสนับสนุน ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรีให้ได้รับตำแหน่งในเวทีโลก
7. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ตอบคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับการแบ่งเขตแดนไทย-ลาว ว่าประเทศไทยและลาวมีเขตแดนที่ติดต่อกันเป็นแนวยาวมาก แต่ปัญหา ที่มีมักจะเป็นเรื่องของร่องน้ำ ทั้งสองฝ่ายจึงได้ทำการตกลงกันว่าในส่วนที่ยังไม่ชัดเจน ทั้งสองฝ่ายจะทำการถ่ายภาพทางอากาศเก็บไว้ก่อน และหลังจากนั้นจึงมาหาวิธีดำเนินการตกลงรายละเอียด กันภายหลัง และทั้งสองฝ่ายจะเร่งรัดให้การดำเนินการเป็นไปอย่างเร็วที่สุด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวเพิ่มเติมว่าการท่องเที่ยวบริเวณสามเหลี่ยมมรกต รัฐบาลลาวให้ความสำคัญมาก และเล็งเห็นถึงความจำเป็นว่าน่าจะเป็นจุดที่สร้างรายได้ให้กับประเทศทั้งสามคือ ไทย-ลาว-กัมพูชา ซึ่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเห็นว่าควรจะมีการแบ่งเขตพื้นที่แนวชายแดนให้ชัดเจนก่อน
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2548 นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และภายหลังการเยือน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับผลการเยือน สรุปได้ดังนี้
1. การเยือน สปป. ลาวในครั้งนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ทำความรู้จักและหารือกับนายบัวสอน บุบผาวัน รองนายกรัฐมนตรี นายบุนเกิด สังสมสัก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายสมมาด พนเสนา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
2. ประเทศไทยและลาวมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ สนิทสนมกันมานาน ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์อย่างต่อเนื่องต่อทั้งสองฝ่าย โดยประเทศไทยก็ได้รับประโยชน์ด้วย ทั้งในด้านการส่งสินค้าผ่านประเทศไทย และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
3. ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาว ครบรอบ 55 ปี ในปี 2548 นี้ โดยทั้งสองฝ่ายได้วางแผนการจัดกิจกรรม เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการคมนาคมระหว่างสองประเทศให้ดีขึ้น ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหารือกันว่า งบประมาณที่ไทยได้ให้ความช่วยเหลือในโครงการต่างๆ นั้นไทยจะสนับสนุนให้เกิดผลโดยเร็วที่สุด และจะมีการเปิดด่านมากขึ้นทั้งที่เป็นด่านชั่วคราวและด่านสากล จะมีการขยาย เส้นทางการเดินรถโดยสาร จากเดิมที่มีอยู่สองเส้นทางคือ หนองคาย-เวียงจันทน์ และอุดรธานี- เวียงจันทน์ อาจขยายอีก 2 เส้นทางในภาคใต้ของลาวคือ ปากเซ-อุบลราชธานี และสะหวันนะเขต-มุกดาหาร ซึ่งทางแขวงสะหวันนะเขตแจ้งว่า พร้อมที่จะให้ไทยเข้าไปประชุมหารือเกี่ยวกับการ ปรับปรุงสนามบินสะหวันนะเขตร่วมกับญี่ปุ่น และลาว เพื่อขยายแหล่งท่องเที่ยว ในขณะเดียวกัน
เมืองหลวงพระบางซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกนั้น เป็นจุดหนึ่งที่จะสามารถดึงนักท่องเที่ยว มาในภูมิภาคนี้ได้ ในการนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงเรื่องงบประมาณในการลาดยางถนนในหลวงพระบางเป็นความยาว 1.5 กิโลเมตร ซึ่งไทยรับจะให้การสนับสนุน
4. ในเรื่องของศุลกากรและด่านตรวจคนเข้าเมืองนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ได้กำชับกัน ในเรื่องของการอำนวยความสะดวกในการตรวจและปล่อยสินค้าที่ถูกต้องให้รวดเร็วมากขึ้น
5. ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันอย่างเข้มงวด ในด้านการปราบปรามยาเสพติดเพื่อไม่ให้มีปัญหาเกิดขึ้นตามแนวชายแดน อย่างไรก็ตามที่ได้รับรายงานมาขณะนี้ยังไม่มีปัญหาใดๆ
6. ในส่วนของการให้ความร่วมมือในกรอบของพหุภาคี ทั้งสองฝ่ายมีแนวทางในการร่วมมือกันอย่างชัดเจนตรงกันว่า ในการประชุมผู้นำอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ที่กำลัง จะมีขึ้นที่นครคุนหมิงนั้น ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนให้มีการร่วมมือกันในด้านการขนส่งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศให้มากขึ้น เพื่อเป็นการรองรับเศรษฐกิจการค้าเสรีในปี 2010 ของ AFTA ที่จะเกิดขึ้นในกรอบของ ASEAN+3
สำหรับการสนับสนุนให้คนไทยสามารถยืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างสง่างาม ทางรัฐบาลลาวก็ยืนยันว่าจะสนับสนุน ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรีให้ได้รับตำแหน่งในเวทีโลก
7. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ตอบคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับการแบ่งเขตแดนไทย-ลาว ว่าประเทศไทยและลาวมีเขตแดนที่ติดต่อกันเป็นแนวยาวมาก แต่ปัญหา ที่มีมักจะเป็นเรื่องของร่องน้ำ ทั้งสองฝ่ายจึงได้ทำการตกลงกันว่าในส่วนที่ยังไม่ชัดเจน ทั้งสองฝ่ายจะทำการถ่ายภาพทางอากาศเก็บไว้ก่อน และหลังจากนั้นจึงมาหาวิธีดำเนินการตกลงรายละเอียด กันภายหลัง และทั้งสองฝ่ายจะเร่งรัดให้การดำเนินการเป็นไปอย่างเร็วที่สุด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวเพิ่มเติมว่าการท่องเที่ยวบริเวณสามเหลี่ยมมรกต รัฐบาลลาวให้ความสำคัญมาก และเล็งเห็นถึงความจำเป็นว่าน่าจะเป็นจุดที่สร้างรายได้ให้กับประเทศทั้งสามคือ ไทย-ลาว-กัมพูชา ซึ่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเห็นว่าควรจะมีการแบ่งเขตพื้นที่แนวชายแดนให้ชัดเจนก่อน
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-