บทสรุปนักลงทุน
กระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังของไทยเป็นที่ต้องการของต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากฝีมือประณีตคุณภาพดี และมีการพัฒนารูปแบบตามความต้องการของตลาด แต่การส่งออกในช่วงที่ผ่านมามีข้อจำกัดด้านต้นทุนวัตถุดิบนำเข้ามีราคาสูงขึ้นมาก ตามค่าเงินบาทที่อ่อนลง และผู้ผลิตยังปรับตัวไม่ทัน ปริมาณการส่งออกกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังในช่วงปี 2538-2541 ลดลงเฉลี่ยร้อยละ 3.6 ต่อปี อยู่ที่ 3,346,725 ใบในปี 2541 มูลค่าการส่งออกลดลงเฉลี่ยร้อยละ 3 ต่อปี เป็น 1,154.2 ล้านบาท ล่าสุดในช่วงครึ่งแรกของปี2542 นั้น ปริมาณส่งออกกลับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.9 อยู่ที่ 1,495,807 ใบ ขณะที่มูลค่าส่งออกยังลดลงร้อยละ 33 อยู่ที่ 394.4 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา และการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง ได้แก่ ไต้หวัน เกาหลีใต้ จีน อินโดนีเซีย และอินเดีย โดยตลาดหลัก คือ เยอรมนี มีสัดส่วนถึงร้อยละ 45.3 ของมูลค่าการส่งออกกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และอังกฤษ
ทางด้านมูลค่าการนำเข้านั้นเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 22.5 ต่อปี เป็น 181.41 ล้านบาทในปี 2541 เนื่องจากผลของค่าเงินบาทที่อ่อนลง ขณะที่ปริมาณการนำเข้าในช่วงปี 2538-2541 ลดลงเฉลี่ยร้อยละ 19 ต่อปี เหลือเพียง 72,303 ใบในปี 2541 และในช่วงครึ่งแรกของปี 2542 นั้น การนำเข้ากระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังโดยเฉพาะแบรนด์เนมดัง ๆยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกับปีก่อนร้อยละ27.1 อยู่ที่ 42,078 ใบ เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งขึ้น ทำให้ราคานำเข้าลดลงร้อยละ 27.5 มูลค่านำเข้าจึงลดลงร้อยละ 7.9 เป็น 76.91 ล้านบาท ราวร้อยละ 60 นำเข้าจากฝรั่งเศส รองลงมา ได้แก่ อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ฮ่องกง และสเปน
เนื่องจากธุรกิจกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังมีตลาดในประเทศเป็นตลาดหลักอยู่ที่ประมาณ 8,346,600 ใบ มูลค่าตลาด 10,224.6 ล้านบาท เมื่อรวมกับการนำเข้าและส่งออกแล้ว ปริมาณความต้องการรวมกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังอยู่ที่ 11,765,628 ใบ มูลค่า 11,560.2 ล้านบาท ในปี 2541
แนวโน้มปี 2542-2543 คาดว่าความต้องการโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ทั้งการส่งออกและนำเข้า ตลอดจนการใช้ในประเทศ ตามภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้อำนาจซื้อเพิ่มขึ้น และค่าเงินบาทที่มีเสถียรภาพ จะทำให้ความเสี่ยงทางด้านต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบลดลง อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่รุนแรงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการต้องพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัยโดยเน้นรูปแบบแฟชั่น และควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐาน เป็นที่ต้องการของตลาดและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
ในการลงทุนประกอบกิจการผลิตกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังขนาดเล็ก ขนาดกำลังการผลิตประมาณ 150,000 ใบ/ปี จะใช้เงินลงทุนประมาณ 1.8 ล้านบาท จำแนกเป็นเงินลงทุนในสินทรัพย์ถาวร1.3 ล้านบาท และเงินทุนหมุนเวียน 500,000 บาท/เดือน โครงสร้างต้นทุนการผลิตเป็นค่าวัตถุดิบถึงร้อยละ 60 ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด รองลงมา คือ ค่าแรงงาน ค่าโสหุ้ยการผลิต และค่าเสื่อมเครื่องจักร ร้อยละ25 10 และ 5 ตามลำดับ
การตลาด
ความต้องการในปัจจุบันและอนาคต
กระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนัง (Leather Handbag) เป็นกระเป๋าที่ทำจากหนังฟอก และหนังเทียมซึ่งการผลิตกระเป๋ามีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนการผลิตหรือเพิ่มประเภทผลิตภัณฑ์เครื่องหนังได้ง่าย เช่น กระเป๋าธนบัตร กระเป๋าเดินทาง เข็มขัด เป็นต้น
กระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังทำเป็นที่ต้องการทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยตลาดในประเทศส่วนใหญ่เป็นตลาดระดับกลาง-ล่าง จากการประมาณความต้องการในประเทศโดยใช้ข้อมูลด้านประชากรเฉพาะเพศหญิง (ไม่รวมผู้ทำงานในภาคเกษตรและกรรมกร) พบว่าความต้องการกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังในประเทศในปี 2541 อยู่ที่ประมาณ 8,346,600 ใบ มูลค่าตลาด 10,224.6 ล้านบาท
ในช่วงปี 2538-2541 ปริมาณการส่งออกกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังลดลงเฉลี่ยร้อยละ 3.6ต่อปี จาก 3,736,361 ใบในปี 2538 มาอยู่ที่ 3,346,725 ใบในปี 2541 และมูลค่าการส่งออกลดลงเช่นกันเฉลี่ยร้อยละ 3 ต่อปี จาก 1,263.79 ล้านบาทในปี 2538 เป็น 1,154.16 ล้านบาทในปี 2541 เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบนำเข้ามีราคาสูงขึ้นมาก จากค่าเงินบาทที่อ่อนลง และผู้ผลิตยังปรับตัวไม่ทัน โดยในปี 2540 ปีแรกของการเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนนั้นราคาส่งออกกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ 26 แต่ในปี 2541 ทั้งปริมาณและมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 68.7 และ40.8 ตามลำดับ และในช่วงครึ่งแรกของปี 2542 นั้น ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.9 อยู่ที่ 1,495,807 ใบ ขณะที่มูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 33 อยู่ที่ 394.43 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา และการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง ได้แก่ ไต้หวัน เกาหลีใต้ จีน อินโดนีเซีย และอินเดียโดยตลาดหลัก คือ เยอรมนี มีสัดส่วนถึงร้อยละ 45.3 ของมูลค่าการส่งออกกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น (10.6%) สหรัฐฯ (8.5%) ฝรั่งเศส (6.7%) และอังกฤษ (6.0%) ที่เหลืออีกร้อยละ 22.9 ส่งออกไปยังประเทศอื่น
ด้านการนำเข้านั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนตั้งแต่กลางปี2540 ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงมาก ต่อเนื่องให้ราคานำเข้าปรับตัวเพิ่มขึ้นมากเฉลี่ยร้อยละ 51.2 ต่อปี ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 22.5 ต่อปี จาก 98.75 ล้านบาทในปี 2538 เป็น 181.41 ล้านบาทในปี 2541 ขณะที่ปริมาณการนำเข้าในช่วงปี 2538-2541 ลดลงมากกว่าปริมาณส่งออกอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 19ต่อปี จาก 136,187 ใบในปี 2538 ลดลงเหลือเพียง 72,303 ใบ ในปี 2541 และในช่วงครึ่งแรกของปี2542 นั้น การนำเข้ากระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังโดยเฉพาะแบรนด์เนมดัง ๆยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 27.1 อยู่ที่ 42,078 ใบ เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งขึ้น ทำให้ราคานำเข้าลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 27.5 ทำให้มูลค่านำเข้าลดลงร้อยละ 7.9 อยู่ที่ 76.91ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะนำเข้าจากฝรั่งเศสถึงร้อยละ 60.0 ของมูลค่าการนำเข้ากระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ อิตาลี (19.0%) สวิสเซอร์แลนด์ (8.1%) ฮ่องกง (5.6%) และสเปน (3.6%) ที่เหลืออีกเล็กน้อยเพียงร้อยละ 3.7 นำเข้าจากประเทศอื่น
เนื่องจากธุรกิจกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังมีตลาดในประเทศเป็นตลาดหลัก ขณะที่การนำเข้าเป็นตลาดระดับบน ดังนั้นความต้องการในประเทศเมื่อรวมกับการนำเข้าและส่งออกแล้วปริมาณความต้องการรวมกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังอยู่ที่ 11,765,628 ใบ มูลค่า 11,560.2 ล้านบาท ในปี 2541
แนวโน้มปี 2542-2543 คาดว่าความต้องการโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ทั้งการส่งออกและนำเข้า ตลอดจนการใช้ในประเทศ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทำให้อำนาจซื้อเพิ่มขึ้น และค่าเงินบาทที่มีเสถียรภาพ จะทำให้ความเสี่ยงทางด้านต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบลดลง อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่สูงโดยเฉพาะด้านราคาจากผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าระดับล่าง ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก จะทำให้แนวโน้มราคาขายในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก สำหรับภาวะการส่งออกนั้น ยังต้องแข่งขันกับคู่แข่งสำคัญที่ได้เปรียบด้านค่าแรงที่ถูกกว่า เช่น จีน ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย โดยเน้นรูปแบบแฟชั่น และควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐาน เป็นที่ต้องการของตลาด และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน รวมทั้งการพัฒนาตลาดส่งออกภายใต้แบรนด์เนมของไทย เพื่อยกระดับสินค้าไทยให้อยู่ในตลาดกลาง-สูง เพราะหากไทยยังเป็นเพียงแหล่งรับจ้างผลิต ในขณะที่ต้นทุนค่าแรงสูง ทำให้ความสามารถในการแข่งขันน้อยกว่าคู่แข่ง
ผู้ผลิตในปัจจุบัน (คู่แข่ง)
โรงงานผลิตกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังมีจำนวน 183 โรง ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ 123 โรงและปริมณฑล 41 โรง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 67 และ 22 ของจำนวนโรงงานทั้งหมด เนื่องจากมีแรงงานมีฝีมือและการขนส่งวัตถุดิบสะดวก โดยโรงงานขนาดกลาง-ใหญ่ จะผลิตเพื่อส่งออกมากกว่าจำหน่ายในประเทศ ซึ่งจะผลิตยี่ห้อของตนเอง และมีบางส่วนที่รับจ้างผลิตให้กับยี่ห้อที่มีชื่อเสียง ขณะที่โรงงานขนาดเล็ก มักจะผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเป็นหลัก และรับจ้างผลิตจากบริษัทอื่นอีกต่อหนึ่ง
อนึ่ง การผลิตยี่ห้อของตนเองนั้นควรจดลิขสิทธิ์ทั้งในประเทศไทยและประเทศผู้ผลิตที่สำคัญที่มีศักยภาพในการผลิต จำหน่าย รวมทั้งความสามารถในการลอกเลียนแบบ เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส และจีน เพื่อป้องกันการตั้งชื่อซ้ำและการลอกเลียนแบบ
รายชื่อผู้ประกอบการสำคัญ
ขนาดใหญ่ เงินลงทุน (บาท)
บริษัท สุวิโน จำกัด 734,800,030
บริษัท คอลเลคชั่น อินดัสเตรียล แอสโซซิเอท (กรุงเทพ) จำกัด 27,800,000
ขนาดกลางและย่อม
บริษัท ลี แอนด์ แมน แฮนด์แบ็ก(ประเทศไทย)จำกัด 168,500,000
บริษัท คามาตาริ (ประเทศไทย) จำกัด 104,660,000
บริษัท เอ.ซี.เลเธอร์ โปรดักส์ จำกัด 93,600,000
บริษัท โรม่าอุตสาหกรรม จำกัด 71,700,000
บริษัท ซีอาร์ซี ครีเอชั่น จำกัด 70,000,000
ที่มา: กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรรม
ช่องทางการจำหน่าย
กระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังทำมีระดับราคาแตกต่างกันมากตามกลุ่มลูกค้า ซึ่งจำแนกได้ตามระดับรายได้ และการศึกษาเป็นหลัก เช่น กระเป๋าราคาถูกจับกลุ่มลูกค้ารายได้น้อยจะวางจำหน่ายทั่วประเทศ ตามร้านค้าทั่วไป ขณะที่สินค้าที่มียี่ห้อและชื่อเสียงจะวางขายผ่านห้างสรรพสินค้าโดยตรง สำหรับสินค้าที่ส่วนใหญ่ส่งออกต่างประเทศเป็นหลักนั้นจะมีบางส่วนจำหน่ายผ่านทางร้านจิวเวลรี ร้านค้าในโรงแรม ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นลูกค้าประจำ เนื่องจากราคาสูง และมักทำจากหนังสัตว์อื่นที่มิใช่หนังโค/กระบือ เช่น จระเข้ ปลากระเบน เป็นต้น
การผลิต
วัตถุดิบที่ใช้และแหล่งวัตถุดิบ
วัตถุดิบที่ใช้ประกอบด้วย 2 ประเภทหลัก คือ หนังฟอก และ Accessories ที่ใช้ประกอบกระเป๋าส่วนใหญ่เป็นโลหะ ซึ่งหนังที่ใช้นั้นมีทั้งนำเข้าและซื้อจากผู้ผลิตในประเทศที่ส่วนใหญ่โรงงานฟอกหนังอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ อาทิ โรงงานฟอกหนังชัยวัฒนา ผู้ประกอบการที่ใช้หนังนำเข้าเป็นส่วนใหญ่นั้นมักจะผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก ขณะที่ผู้ประกอบการที่ใช้หนังในประเทศเป็นส่วนใหญ่จะผลิตเพื่อขายในประเทศ โดยหนังที่นำเข้าโดยมากมักเป็นหนังสัตว์ที่มีคุณภาพดี เช่น หนังจระเข้ นำเข้าจากอเมริกาใต้ หรือหนังสัตว์แปลก ๆ เช่น หนังปลากระเบน นำเข้าจากประเทศในแถบเอเชีย สำหรับแหล่งจำหน่ายAccessories สำคัญ เช่น บริษัท ว.พรสินมาร์เก็ตติ้ง จำกัด บริษัท สหอุปกรณ์เครื่องหนังไทย จำกัด และร้านขุมทรัพย์ เป็นต้น
โครงสร้างต้นทุนการผลิต
ประเภท สัดส่วน (%)
1. วัตถุดิบ * 60
- วัตถุดิบในประเทศ 10
- วัตถุดิบนำเข้า 90
2. ค่าแรงงาน 25
3. ค่าเสื่อมราคา และอื่น ๆ 15
รวม 100
หมายเหตุ: * เป็นการผลิตเพื่อส่งออกเป็นส่วนใหญ่ กรณีผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเป็นส่วนใหญ่นั้นสัดส่วนวัตถุดิบในประเทศ : วัตถุดิบนำเข้า = 90:10
กรรมวิธีการผลิต
1.! ออกแบบ
2.! คัดเลือก ตรวจสอบคุณภาพหนัง ให้ตรงความต้องการ
3.! ตัดหนังตามแบบที่ต้องการ
4.! นำหนังเข้าเครื่องเจียรหนัง เพื่อทำขอบหนังให้บาง ง่ายต่อการเย็บ
5.! พิมพ์หนังตามรูปแบบที่ต้องการ โดยใช้เครื่องปั๊มหนัง
6.! ประกอบชิ้นส่วน และเย็บเข้าด้วยกัน ซึ่งจะมีการประกอบและเย็บสลับกันไป จนได้เป็นกระเป๋า
7.! ตกแต่งด้วย Accessories
8.! บรรจุหีบห่อ
เครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิต
เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนัง ได้แก่ เครื่องเจียรหนัง ใช้สำหรับทำขอบหนังให้บาง เพื่อง่ายต่อการเย็บ เครื่องปั๊มหนัง ใช้ปั้ม/ตัดหนังตามแบบที่ต้องการ และจักรเย็บ มีทั้งจักรพื้น และจักรคอม้า เครื่องจักรที่ใช้ส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศเยอรมนี โดยสามารถซื้อจักรเย็บจากบริษัทซิงเกอร์ ซึ่งผลิตในประเทศ
การลงทุนและการเงิน
ในการลงทุนอุตสาหกรรมกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังควรตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เนื่องจากอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ ซึ่งโรงงานหนังฟอกส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ กรณีการลงทุนขนาดผลิต 150,000 ใบต่อปี โดยมีชั่วโมงการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน ประกอบด้วยเงินลงทุนและอุปกรณ์ ดังต่อไปนี้
เงินลงทุน
1. เงินทุนจดทะเบียนและเงินทุนเริ่มต้น 1,300,000 บาท
- ค่าที่ดินและค่าสิ่งปลูกสร้าง 800,000 บาท
- ค่าเครื่องจักร 250,000 บาท
- ค่ายานพาหนะขนส่งสินค้า 250,000 บาท
2. เงินทุนหมุนเวียน 500,000 บาท/เดือน
บุคลากร อุตสาหกรรมกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังใช้บุคลากรประมาณ 25 คน ประกอบด้วย
1. พนักงานในโรงงาน ประกอบด้วย
1.1 คนงาน จำนวน 20 คน
1.2 หัวหน้าคนงาน จำนวน 1 คน
2. พนักงานในสำนักงานและพนักงานบริหาร จำนวน 4 คน
ค่าใช้จ่ายต่อปี
ต้นทุนการขาย
1.!ต้นทุนวัตถุดิบ 2,160,000 บาทต่อปี
- หนัง 2,000,000 บาทต่อปี
- Accessories 160,000 บาทต่อปี
2. ต้นทุนแรงงาน 900,000 บาทต่อปี
3. ต้นทุนค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร 180,000 บาทต่อปี
4. ต้นทุนค่าโสหุ้ยการผลิต 360,000 บาทต่อปี
4.1 ค่าสาธารณูปโภค
- ค่าน้ำ 60,000 บาทต่อปี
- ค่าไฟ 132,000 บาทต่อปี
- ค่าโทรศัพท์ 19,200 บาทต่อปี
4.2! ค่าขนส่ง
- ค่าน้ำมัน 28,800 บาทต่อปี
4.3! ค่าดอกเบี้ยจ่าย 120,000 บาทต่อปี
กำไรเฉลี่ย ประมาณร้อยละ 10 ของยอดขาย
หมายเหตุ: โรงงานมีการผลิตเครื่องหนัง 3 ประเภท คือ กระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนัง กระเป๋าธนบัตรและเข็มขัดโดยมีสัดส่วนการผลิต 3: 3: 4 ตามลำดับ การใช้กำลังการผลิตในปี 2541 อยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 20 ปริมาณการผลิตกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนัง 9,000 ใบ กระเป๋าธนบัตร 9,000 ใบ และเข็มขัด 12,000 เส้น โดยมีราคาขายส่งเฉลี่ยต่อหน่วย ดังนี้ กระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนัง 250 บาท/ใบ กระเป๋าธนบัตร 110 บาท/ใบ และเข็มขัด 70 บาท/เส้น ดังนั้นยอดขายรวมในปี 2541 จึงอยู่ที่ประมาณ 4.1ล้านบาท
แหล่งขายเครื่องจักร (ในประเทศหรือต่างประเทศ)
ตารางที่ 5: รายชื่อผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่าย
บริษัท ที่อยู่
บริษัท ซันฮับเอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด 124/9-10 ถ.รัชดาภิเษก-ท่าพระ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ
โทร 476-8469-72
บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) 321 ถ.สี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ โทร 236-0138
บริษัท ต.ไพโรจน์ จักรเย็บผ้า จำกัด 104/82 ถ.เอกชัย เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ
โทร 415-1615, 415-7455
บริษัท โฮฮังมิง (ประเทศไทย) จำกัด 27/16 ซ.เพชรเกษม 69 ถ.เลียบคลองภาษีเจริญ
เขตหนองแขม กรุงเทพฯ โทร 421-2576, 421-4246
บริษัท เมนมอเตอร์สโปรดักส์ จำกัด 11/327-328 ถ.เอกชัย เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ
โทร 895-1223-6
ที่มา: สอบถามจากผู้ประกอบการ
ข้อมูลที่เกี่ยวกับกฎระเบียบและการขออนุญาตต่าง ๆ
1. การขออนุญาตนำเข้า ส่งออก ค้า และครอบครอง
เนื่องจากการทำกิจการกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังส่วนใหญ่ใช้หนังสัตว์เป็นวัตถุดิบ และบางชนิดเป็นสัตว์ที่ต้องขออนุญาต อาทิ จระเข้ โดยที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกของไซเตส (อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธ์ (The Convention on InternationalTrade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora: CITES) ซึ่งกำหนดชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ควบคุมในบัญชีหมายเลข 1 2 และ 3 (Appendix I II และ III) ของอนุสัญญา โดยมีหลักการดังนี้
ชนิดพันธุ์บัญชีหมายเลข 1 เป็นชนิดที่ห้ามค้าโดยเด็ดขาด เนื่องจากใกล้จะสูญพันธุ์ ยกเว้นเพื่อการศึกษา วิจัยหรือเพาะพันธุ์ ซึ่งต้องได้รับความยินยอมจากประเทศที่จะนำเข้าก่อน ประเทศผู้ส่งออกจึงจะออกใบอนุญาตส่งออกได้ เช่น กระทิง จระเข้น้ำจืดและน้ำเค็มของไทย
ชนิดพันธุ์บัญชีหมายเลข 2 เป็นชนิดที่ยังอนุญาตให้ค้าได้ แต่ต้องมีการควบคุม โดยประเทศที่จะส่งออกต้องออกหนังสืออนุญาตให้ส่งออกและรับรองการส่งออกแต่ละครั้ง อาทิ งูเหลือม
ชนิดพันธุ์บัญชีหมายเลข 3 เป็นชนิดที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายของประเทศใดประเทศหนึ่งแล้วขอความร่วมมือประเทศภาคีให้ช่วยดูแลการนำเข้า คือต้องมีหนังสือรับรองการส่งออกจากประเทศถิ่นกำเนิด เช่น ควาย (เนปาล) เป็นต้น
ประเทศไทยเคยถูกพิจารณาลงโทษจากกลุ่มประเทศภาคีด้วยการห้ามทำการค้าสัตว์ป่าและผลิตภัณฑ์กับไทย (Trade Ban) ตั้งแต่เม.ย. 2534 ถึง เม.ย. 2535 ทำให้ต้องสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นธุรกรรมเกี่ยวกับสัตว์ป่า รวมถึงซากสัตว์ป่า จึงต้องได้รับความควบคุมจากหน่วยงานราชการ ซึ่งมีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ที่เกี่ยวข้อง 3 พ.ร.บ.ด้วยกัน คือ
1.! พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490
2.! พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
3.! พระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522
หน่วยงานราชการที่ดูแลด้านนี้ คือ
1. สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กรมป่าไม้ กรณีเป็นสัตว์บก รวมทั้งจระเข้พันธุ์ต่างประเทศสามารถยื่นขออนุญาตได้ที่หน่วยงานดังกล่าว หรือสำนักงานป่าไม้จังหวัดที่ด่านตรวจสัตว์ป่าตั้งอยู่ในเขตจังหวัดนั้น หรือสำนักงานป่าไม้จังหวัดที่สัตว์ป่าอยู่ในเขตจังหวัดนั้น
2. กองอนุรักษ์ทรัพยากรประมง กรมประมง กรณีเป็นสัตว์น้ำ และจระเข้พันธุ์ไทย สามารถยื่นขออนุญาตได้ที่หน่วยงานดังกล่าว หรือสำนักงานประมงจังหวัดที่ด่านตรวจสัตว์น้ำตั้งอยู่ในเขตจังหวัดนั้นหรือสำนักงานประมงจังหวัดที่สัตว์น้ำอยู่ในเขตจังหวัดนั้น
การทำโรงงานผลิตกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังจะมีทั้งการนำเข้า ส่งออก ครอบครอง และค้าหนังสัตว์รวมถึงผลิตภัณฑ์ ซึ่งต้องขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องข้างต้น ดังนี้
1.! ใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองซึ่งสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้จากการเพาะพันธุ์ หรือซากของสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้จากการเพาะพันธุ์ ค่าธรรมเนียมฉบับละ 50 บาท
2.! ใบอนุญาตให้ค้าซากของสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้จากการเพาะพันธุ์ หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากของสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้จากการเพาะพันธุ์ ค่าธรรมเนียมฉบับละ 500 บาท
3.! ใบอนุญาตให้นำเข้าหรือส่งออกซึ่งสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้จากการเพาะพันธุ์ หรือซากของสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้จากการเพาะพันธุ์ ค่าธรรมเนียมฉบับละ 50 บาท
4.! ใบอนุญาตให้นำเข้า ส่งออกซึ่งสัตว์ป่าหรือซากของสัตว์ป่า ค่าธรรมเนียมฉบับละ 200 บาท
สำหรับหลักฐานประกอบการขออนุญาต ประกอบด้วย
1.! หลักฐานการได้มาซึ่งสัตว์ หรือซาก หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากซากของสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้จากการเพาะพันธุ์
2.! หลักฐานการเป็นสัตว์ป่า หรือซากของสัตว์ป่าที่อนุญาตให้นำเข้า ส่งออกได้ตามหลักเกณฑ์ของ CITES
3.! สำเนาใบสั่งสินค้า (Order) หรือสำเนาใบกำกับสินค้า (Invoice)
4.! สำเนาใบอนุญาตส่งออก (Export Permit) จากประเทศผู้ส่งออก เพื่อใช้ประกอบการขอใบอนุญาตนำเข้าของผู้ประกอบการไทย
5.! สำเนาใบอนุญาตนำเข้า (Import Permit) จากประเทศผู้นำเข้า เพื่อใช้ประกอบการขอใบอนุญาตส่งออกของผู้ประกอบการไทย
6.! สำเนาใบรับรองถิ่นกำเนิด (Certificate of Origin)
7.! สำเนาใบรับรองสุขภาพสัตว์ (Health Certificate )
8.! สำเนาทะเบียนบ้านของกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท
9.! หนังสือบริคณฑ์สนธิของบริษัท
10.! หนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทแสดงรายการจดทะเบียนชื่อกรรมการ หรือหุ้นส่วนผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท
2. ด้านภาษี
- การนำเข้ากระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังต้องเสียภาษีนำเข้าร้อยละ 40 ของมูลค่านำเข้า เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 2542 ก่อนหน้านี้เสียภาษีร้อยละ 100
- วัตถุดิบประเภทหนังดิบไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า
- วัตถุดิบประเภทหนังฟอกต้องเสียภาษีนำเข้า ในอัตราร้อยละ 5 ของมูลค่านำเข้า หรือ 1.40บาท/กก. ยกเว้นหนังฟอกที่ผ่านการฟอกขั้นต้นโดยใช้อะลัม (ทอว์เด็ด) เสียภาษีนำเข้าในอัตราร้อยละ 10ของมูลค่านำเข้า หรือ 3.30 บาท/กก. อัตราแบบใดคำนวณเป็นเงินอากรได้สูงกว่าจะต้องเสียอัตราอากรแบบนั้น
- นอกจากนี้ยังต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอัตราร้อยละ 7 (ใช้ตั้งแต่ 1 เม.ย.42 -- 31 มี.ค. 44) ก่อนหน้า และหลังจากช่วงเวลาข้างต้นใช้อัตราร้อยละ 10
แหล่งข้อมูลอื่นๆ เช่น หน่วยงานที่ให้การสนับสนุนด้านเทคนิค
-! สมาคมเครื่องหนังไทย
-! กรมส่งเสริมการส่งออก สนับสนุนด้านการส่งออก เช่น ช่วยด้านค่าใช้จ่ายเป็นบางส่วนในการออกร้านแสดงสินค้าในต่างประเทศ มีการฝึกอบรมด้านการทำเครื่องหนัง ตลอดจนให้บริการด้านการออกแบบ
-! กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
กระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังของไทยเป็นที่ต้องการของต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากฝีมือประณีตคุณภาพดี และมีการพัฒนารูปแบบตามความต้องการของตลาด แต่การส่งออกในช่วงที่ผ่านมามีข้อจำกัดด้านต้นทุนวัตถุดิบนำเข้ามีราคาสูงขึ้นมาก ตามค่าเงินบาทที่อ่อนลง และผู้ผลิตยังปรับตัวไม่ทัน ปริมาณการส่งออกกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังในช่วงปี 2538-2541 ลดลงเฉลี่ยร้อยละ 3.6 ต่อปี อยู่ที่ 3,346,725 ใบในปี 2541 มูลค่าการส่งออกลดลงเฉลี่ยร้อยละ 3 ต่อปี เป็น 1,154.2 ล้านบาท ล่าสุดในช่วงครึ่งแรกของปี2542 นั้น ปริมาณส่งออกกลับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.9 อยู่ที่ 1,495,807 ใบ ขณะที่มูลค่าส่งออกยังลดลงร้อยละ 33 อยู่ที่ 394.4 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา และการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง ได้แก่ ไต้หวัน เกาหลีใต้ จีน อินโดนีเซีย และอินเดีย โดยตลาดหลัก คือ เยอรมนี มีสัดส่วนถึงร้อยละ 45.3 ของมูลค่าการส่งออกกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และอังกฤษ
ทางด้านมูลค่าการนำเข้านั้นเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 22.5 ต่อปี เป็น 181.41 ล้านบาทในปี 2541 เนื่องจากผลของค่าเงินบาทที่อ่อนลง ขณะที่ปริมาณการนำเข้าในช่วงปี 2538-2541 ลดลงเฉลี่ยร้อยละ 19 ต่อปี เหลือเพียง 72,303 ใบในปี 2541 และในช่วงครึ่งแรกของปี 2542 นั้น การนำเข้ากระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังโดยเฉพาะแบรนด์เนมดัง ๆยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกับปีก่อนร้อยละ27.1 อยู่ที่ 42,078 ใบ เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งขึ้น ทำให้ราคานำเข้าลดลงร้อยละ 27.5 มูลค่านำเข้าจึงลดลงร้อยละ 7.9 เป็น 76.91 ล้านบาท ราวร้อยละ 60 นำเข้าจากฝรั่งเศส รองลงมา ได้แก่ อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ฮ่องกง และสเปน
เนื่องจากธุรกิจกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังมีตลาดในประเทศเป็นตลาดหลักอยู่ที่ประมาณ 8,346,600 ใบ มูลค่าตลาด 10,224.6 ล้านบาท เมื่อรวมกับการนำเข้าและส่งออกแล้ว ปริมาณความต้องการรวมกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังอยู่ที่ 11,765,628 ใบ มูลค่า 11,560.2 ล้านบาท ในปี 2541
แนวโน้มปี 2542-2543 คาดว่าความต้องการโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ทั้งการส่งออกและนำเข้า ตลอดจนการใช้ในประเทศ ตามภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้อำนาจซื้อเพิ่มขึ้น และค่าเงินบาทที่มีเสถียรภาพ จะทำให้ความเสี่ยงทางด้านต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบลดลง อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่รุนแรงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการต้องพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัยโดยเน้นรูปแบบแฟชั่น และควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐาน เป็นที่ต้องการของตลาดและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
ในการลงทุนประกอบกิจการผลิตกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังขนาดเล็ก ขนาดกำลังการผลิตประมาณ 150,000 ใบ/ปี จะใช้เงินลงทุนประมาณ 1.8 ล้านบาท จำแนกเป็นเงินลงทุนในสินทรัพย์ถาวร1.3 ล้านบาท และเงินทุนหมุนเวียน 500,000 บาท/เดือน โครงสร้างต้นทุนการผลิตเป็นค่าวัตถุดิบถึงร้อยละ 60 ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด รองลงมา คือ ค่าแรงงาน ค่าโสหุ้ยการผลิต และค่าเสื่อมเครื่องจักร ร้อยละ25 10 และ 5 ตามลำดับ
การตลาด
ความต้องการในปัจจุบันและอนาคต
กระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนัง (Leather Handbag) เป็นกระเป๋าที่ทำจากหนังฟอก และหนังเทียมซึ่งการผลิตกระเป๋ามีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนการผลิตหรือเพิ่มประเภทผลิตภัณฑ์เครื่องหนังได้ง่าย เช่น กระเป๋าธนบัตร กระเป๋าเดินทาง เข็มขัด เป็นต้น
กระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังทำเป็นที่ต้องการทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยตลาดในประเทศส่วนใหญ่เป็นตลาดระดับกลาง-ล่าง จากการประมาณความต้องการในประเทศโดยใช้ข้อมูลด้านประชากรเฉพาะเพศหญิง (ไม่รวมผู้ทำงานในภาคเกษตรและกรรมกร) พบว่าความต้องการกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังในประเทศในปี 2541 อยู่ที่ประมาณ 8,346,600 ใบ มูลค่าตลาด 10,224.6 ล้านบาท
ในช่วงปี 2538-2541 ปริมาณการส่งออกกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังลดลงเฉลี่ยร้อยละ 3.6ต่อปี จาก 3,736,361 ใบในปี 2538 มาอยู่ที่ 3,346,725 ใบในปี 2541 และมูลค่าการส่งออกลดลงเช่นกันเฉลี่ยร้อยละ 3 ต่อปี จาก 1,263.79 ล้านบาทในปี 2538 เป็น 1,154.16 ล้านบาทในปี 2541 เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบนำเข้ามีราคาสูงขึ้นมาก จากค่าเงินบาทที่อ่อนลง และผู้ผลิตยังปรับตัวไม่ทัน โดยในปี 2540 ปีแรกของการเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนนั้นราคาส่งออกกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ 26 แต่ในปี 2541 ทั้งปริมาณและมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 68.7 และ40.8 ตามลำดับ และในช่วงครึ่งแรกของปี 2542 นั้น ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.9 อยู่ที่ 1,495,807 ใบ ขณะที่มูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 33 อยู่ที่ 394.43 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา และการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง ได้แก่ ไต้หวัน เกาหลีใต้ จีน อินโดนีเซีย และอินเดียโดยตลาดหลัก คือ เยอรมนี มีสัดส่วนถึงร้อยละ 45.3 ของมูลค่าการส่งออกกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น (10.6%) สหรัฐฯ (8.5%) ฝรั่งเศส (6.7%) และอังกฤษ (6.0%) ที่เหลืออีกร้อยละ 22.9 ส่งออกไปยังประเทศอื่น
ด้านการนำเข้านั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนตั้งแต่กลางปี2540 ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงมาก ต่อเนื่องให้ราคานำเข้าปรับตัวเพิ่มขึ้นมากเฉลี่ยร้อยละ 51.2 ต่อปี ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 22.5 ต่อปี จาก 98.75 ล้านบาทในปี 2538 เป็น 181.41 ล้านบาทในปี 2541 ขณะที่ปริมาณการนำเข้าในช่วงปี 2538-2541 ลดลงมากกว่าปริมาณส่งออกอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 19ต่อปี จาก 136,187 ใบในปี 2538 ลดลงเหลือเพียง 72,303 ใบ ในปี 2541 และในช่วงครึ่งแรกของปี2542 นั้น การนำเข้ากระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังโดยเฉพาะแบรนด์เนมดัง ๆยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 27.1 อยู่ที่ 42,078 ใบ เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งขึ้น ทำให้ราคานำเข้าลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 27.5 ทำให้มูลค่านำเข้าลดลงร้อยละ 7.9 อยู่ที่ 76.91ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะนำเข้าจากฝรั่งเศสถึงร้อยละ 60.0 ของมูลค่าการนำเข้ากระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ อิตาลี (19.0%) สวิสเซอร์แลนด์ (8.1%) ฮ่องกง (5.6%) และสเปน (3.6%) ที่เหลืออีกเล็กน้อยเพียงร้อยละ 3.7 นำเข้าจากประเทศอื่น
เนื่องจากธุรกิจกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังมีตลาดในประเทศเป็นตลาดหลัก ขณะที่การนำเข้าเป็นตลาดระดับบน ดังนั้นความต้องการในประเทศเมื่อรวมกับการนำเข้าและส่งออกแล้วปริมาณความต้องการรวมกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังอยู่ที่ 11,765,628 ใบ มูลค่า 11,560.2 ล้านบาท ในปี 2541
แนวโน้มปี 2542-2543 คาดว่าความต้องการโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ทั้งการส่งออกและนำเข้า ตลอดจนการใช้ในประเทศ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทำให้อำนาจซื้อเพิ่มขึ้น และค่าเงินบาทที่มีเสถียรภาพ จะทำให้ความเสี่ยงทางด้านต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบลดลง อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่สูงโดยเฉพาะด้านราคาจากผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าระดับล่าง ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก จะทำให้แนวโน้มราคาขายในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก สำหรับภาวะการส่งออกนั้น ยังต้องแข่งขันกับคู่แข่งสำคัญที่ได้เปรียบด้านค่าแรงที่ถูกกว่า เช่น จีน ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย โดยเน้นรูปแบบแฟชั่น และควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐาน เป็นที่ต้องการของตลาด และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน รวมทั้งการพัฒนาตลาดส่งออกภายใต้แบรนด์เนมของไทย เพื่อยกระดับสินค้าไทยให้อยู่ในตลาดกลาง-สูง เพราะหากไทยยังเป็นเพียงแหล่งรับจ้างผลิต ในขณะที่ต้นทุนค่าแรงสูง ทำให้ความสามารถในการแข่งขันน้อยกว่าคู่แข่ง
ผู้ผลิตในปัจจุบัน (คู่แข่ง)
โรงงานผลิตกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังมีจำนวน 183 โรง ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ 123 โรงและปริมณฑล 41 โรง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 67 และ 22 ของจำนวนโรงงานทั้งหมด เนื่องจากมีแรงงานมีฝีมือและการขนส่งวัตถุดิบสะดวก โดยโรงงานขนาดกลาง-ใหญ่ จะผลิตเพื่อส่งออกมากกว่าจำหน่ายในประเทศ ซึ่งจะผลิตยี่ห้อของตนเอง และมีบางส่วนที่รับจ้างผลิตให้กับยี่ห้อที่มีชื่อเสียง ขณะที่โรงงานขนาดเล็ก มักจะผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเป็นหลัก และรับจ้างผลิตจากบริษัทอื่นอีกต่อหนึ่ง
อนึ่ง การผลิตยี่ห้อของตนเองนั้นควรจดลิขสิทธิ์ทั้งในประเทศไทยและประเทศผู้ผลิตที่สำคัญที่มีศักยภาพในการผลิต จำหน่าย รวมทั้งความสามารถในการลอกเลียนแบบ เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส และจีน เพื่อป้องกันการตั้งชื่อซ้ำและการลอกเลียนแบบ
รายชื่อผู้ประกอบการสำคัญ
ขนาดใหญ่ เงินลงทุน (บาท)
บริษัท สุวิโน จำกัด 734,800,030
บริษัท คอลเลคชั่น อินดัสเตรียล แอสโซซิเอท (กรุงเทพ) จำกัด 27,800,000
ขนาดกลางและย่อม
บริษัท ลี แอนด์ แมน แฮนด์แบ็ก(ประเทศไทย)จำกัด 168,500,000
บริษัท คามาตาริ (ประเทศไทย) จำกัด 104,660,000
บริษัท เอ.ซี.เลเธอร์ โปรดักส์ จำกัด 93,600,000
บริษัท โรม่าอุตสาหกรรม จำกัด 71,700,000
บริษัท ซีอาร์ซี ครีเอชั่น จำกัด 70,000,000
ที่มา: กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรรม
ช่องทางการจำหน่าย
กระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังทำมีระดับราคาแตกต่างกันมากตามกลุ่มลูกค้า ซึ่งจำแนกได้ตามระดับรายได้ และการศึกษาเป็นหลัก เช่น กระเป๋าราคาถูกจับกลุ่มลูกค้ารายได้น้อยจะวางจำหน่ายทั่วประเทศ ตามร้านค้าทั่วไป ขณะที่สินค้าที่มียี่ห้อและชื่อเสียงจะวางขายผ่านห้างสรรพสินค้าโดยตรง สำหรับสินค้าที่ส่วนใหญ่ส่งออกต่างประเทศเป็นหลักนั้นจะมีบางส่วนจำหน่ายผ่านทางร้านจิวเวลรี ร้านค้าในโรงแรม ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นลูกค้าประจำ เนื่องจากราคาสูง และมักทำจากหนังสัตว์อื่นที่มิใช่หนังโค/กระบือ เช่น จระเข้ ปลากระเบน เป็นต้น
การผลิต
วัตถุดิบที่ใช้และแหล่งวัตถุดิบ
วัตถุดิบที่ใช้ประกอบด้วย 2 ประเภทหลัก คือ หนังฟอก และ Accessories ที่ใช้ประกอบกระเป๋าส่วนใหญ่เป็นโลหะ ซึ่งหนังที่ใช้นั้นมีทั้งนำเข้าและซื้อจากผู้ผลิตในประเทศที่ส่วนใหญ่โรงงานฟอกหนังอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ อาทิ โรงงานฟอกหนังชัยวัฒนา ผู้ประกอบการที่ใช้หนังนำเข้าเป็นส่วนใหญ่นั้นมักจะผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก ขณะที่ผู้ประกอบการที่ใช้หนังในประเทศเป็นส่วนใหญ่จะผลิตเพื่อขายในประเทศ โดยหนังที่นำเข้าโดยมากมักเป็นหนังสัตว์ที่มีคุณภาพดี เช่น หนังจระเข้ นำเข้าจากอเมริกาใต้ หรือหนังสัตว์แปลก ๆ เช่น หนังปลากระเบน นำเข้าจากประเทศในแถบเอเชีย สำหรับแหล่งจำหน่ายAccessories สำคัญ เช่น บริษัท ว.พรสินมาร์เก็ตติ้ง จำกัด บริษัท สหอุปกรณ์เครื่องหนังไทย จำกัด และร้านขุมทรัพย์ เป็นต้น
โครงสร้างต้นทุนการผลิต
ประเภท สัดส่วน (%)
1. วัตถุดิบ * 60
- วัตถุดิบในประเทศ 10
- วัตถุดิบนำเข้า 90
2. ค่าแรงงาน 25
3. ค่าเสื่อมราคา และอื่น ๆ 15
รวม 100
หมายเหตุ: * เป็นการผลิตเพื่อส่งออกเป็นส่วนใหญ่ กรณีผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเป็นส่วนใหญ่นั้นสัดส่วนวัตถุดิบในประเทศ : วัตถุดิบนำเข้า = 90:10
กรรมวิธีการผลิต
1.! ออกแบบ
2.! คัดเลือก ตรวจสอบคุณภาพหนัง ให้ตรงความต้องการ
3.! ตัดหนังตามแบบที่ต้องการ
4.! นำหนังเข้าเครื่องเจียรหนัง เพื่อทำขอบหนังให้บาง ง่ายต่อการเย็บ
5.! พิมพ์หนังตามรูปแบบที่ต้องการ โดยใช้เครื่องปั๊มหนัง
6.! ประกอบชิ้นส่วน และเย็บเข้าด้วยกัน ซึ่งจะมีการประกอบและเย็บสลับกันไป จนได้เป็นกระเป๋า
7.! ตกแต่งด้วย Accessories
8.! บรรจุหีบห่อ
เครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิต
เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนัง ได้แก่ เครื่องเจียรหนัง ใช้สำหรับทำขอบหนังให้บาง เพื่อง่ายต่อการเย็บ เครื่องปั๊มหนัง ใช้ปั้ม/ตัดหนังตามแบบที่ต้องการ และจักรเย็บ มีทั้งจักรพื้น และจักรคอม้า เครื่องจักรที่ใช้ส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศเยอรมนี โดยสามารถซื้อจักรเย็บจากบริษัทซิงเกอร์ ซึ่งผลิตในประเทศ
การลงทุนและการเงิน
ในการลงทุนอุตสาหกรรมกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังควรตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เนื่องจากอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ ซึ่งโรงงานหนังฟอกส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ กรณีการลงทุนขนาดผลิต 150,000 ใบต่อปี โดยมีชั่วโมงการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน ประกอบด้วยเงินลงทุนและอุปกรณ์ ดังต่อไปนี้
เงินลงทุน
1. เงินทุนจดทะเบียนและเงินทุนเริ่มต้น 1,300,000 บาท
- ค่าที่ดินและค่าสิ่งปลูกสร้าง 800,000 บาท
- ค่าเครื่องจักร 250,000 บาท
- ค่ายานพาหนะขนส่งสินค้า 250,000 บาท
2. เงินทุนหมุนเวียน 500,000 บาท/เดือน
บุคลากร อุตสาหกรรมกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังใช้บุคลากรประมาณ 25 คน ประกอบด้วย
1. พนักงานในโรงงาน ประกอบด้วย
1.1 คนงาน จำนวน 20 คน
1.2 หัวหน้าคนงาน จำนวน 1 คน
2. พนักงานในสำนักงานและพนักงานบริหาร จำนวน 4 คน
ค่าใช้จ่ายต่อปี
ต้นทุนการขาย
1.!ต้นทุนวัตถุดิบ 2,160,000 บาทต่อปี
- หนัง 2,000,000 บาทต่อปี
- Accessories 160,000 บาทต่อปี
2. ต้นทุนแรงงาน 900,000 บาทต่อปี
3. ต้นทุนค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร 180,000 บาทต่อปี
4. ต้นทุนค่าโสหุ้ยการผลิต 360,000 บาทต่อปี
4.1 ค่าสาธารณูปโภค
- ค่าน้ำ 60,000 บาทต่อปี
- ค่าไฟ 132,000 บาทต่อปี
- ค่าโทรศัพท์ 19,200 บาทต่อปี
4.2! ค่าขนส่ง
- ค่าน้ำมัน 28,800 บาทต่อปี
4.3! ค่าดอกเบี้ยจ่าย 120,000 บาทต่อปี
กำไรเฉลี่ย ประมาณร้อยละ 10 ของยอดขาย
หมายเหตุ: โรงงานมีการผลิตเครื่องหนัง 3 ประเภท คือ กระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนัง กระเป๋าธนบัตรและเข็มขัดโดยมีสัดส่วนการผลิต 3: 3: 4 ตามลำดับ การใช้กำลังการผลิตในปี 2541 อยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 20 ปริมาณการผลิตกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนัง 9,000 ใบ กระเป๋าธนบัตร 9,000 ใบ และเข็มขัด 12,000 เส้น โดยมีราคาขายส่งเฉลี่ยต่อหน่วย ดังนี้ กระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนัง 250 บาท/ใบ กระเป๋าธนบัตร 110 บาท/ใบ และเข็มขัด 70 บาท/เส้น ดังนั้นยอดขายรวมในปี 2541 จึงอยู่ที่ประมาณ 4.1ล้านบาท
แหล่งขายเครื่องจักร (ในประเทศหรือต่างประเทศ)
ตารางที่ 5: รายชื่อผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่าย
บริษัท ที่อยู่
บริษัท ซันฮับเอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด 124/9-10 ถ.รัชดาภิเษก-ท่าพระ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ
โทร 476-8469-72
บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) 321 ถ.สี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ โทร 236-0138
บริษัท ต.ไพโรจน์ จักรเย็บผ้า จำกัด 104/82 ถ.เอกชัย เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ
โทร 415-1615, 415-7455
บริษัท โฮฮังมิง (ประเทศไทย) จำกัด 27/16 ซ.เพชรเกษม 69 ถ.เลียบคลองภาษีเจริญ
เขตหนองแขม กรุงเทพฯ โทร 421-2576, 421-4246
บริษัท เมนมอเตอร์สโปรดักส์ จำกัด 11/327-328 ถ.เอกชัย เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ
โทร 895-1223-6
ที่มา: สอบถามจากผู้ประกอบการ
ข้อมูลที่เกี่ยวกับกฎระเบียบและการขออนุญาตต่าง ๆ
1. การขออนุญาตนำเข้า ส่งออก ค้า และครอบครอง
เนื่องจากการทำกิจการกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังส่วนใหญ่ใช้หนังสัตว์เป็นวัตถุดิบ และบางชนิดเป็นสัตว์ที่ต้องขออนุญาต อาทิ จระเข้ โดยที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกของไซเตส (อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธ์ (The Convention on InternationalTrade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora: CITES) ซึ่งกำหนดชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ควบคุมในบัญชีหมายเลข 1 2 และ 3 (Appendix I II และ III) ของอนุสัญญา โดยมีหลักการดังนี้
ชนิดพันธุ์บัญชีหมายเลข 1 เป็นชนิดที่ห้ามค้าโดยเด็ดขาด เนื่องจากใกล้จะสูญพันธุ์ ยกเว้นเพื่อการศึกษา วิจัยหรือเพาะพันธุ์ ซึ่งต้องได้รับความยินยอมจากประเทศที่จะนำเข้าก่อน ประเทศผู้ส่งออกจึงจะออกใบอนุญาตส่งออกได้ เช่น กระทิง จระเข้น้ำจืดและน้ำเค็มของไทย
ชนิดพันธุ์บัญชีหมายเลข 2 เป็นชนิดที่ยังอนุญาตให้ค้าได้ แต่ต้องมีการควบคุม โดยประเทศที่จะส่งออกต้องออกหนังสืออนุญาตให้ส่งออกและรับรองการส่งออกแต่ละครั้ง อาทิ งูเหลือม
ชนิดพันธุ์บัญชีหมายเลข 3 เป็นชนิดที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายของประเทศใดประเทศหนึ่งแล้วขอความร่วมมือประเทศภาคีให้ช่วยดูแลการนำเข้า คือต้องมีหนังสือรับรองการส่งออกจากประเทศถิ่นกำเนิด เช่น ควาย (เนปาล) เป็นต้น
ประเทศไทยเคยถูกพิจารณาลงโทษจากกลุ่มประเทศภาคีด้วยการห้ามทำการค้าสัตว์ป่าและผลิตภัณฑ์กับไทย (Trade Ban) ตั้งแต่เม.ย. 2534 ถึง เม.ย. 2535 ทำให้ต้องสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นธุรกรรมเกี่ยวกับสัตว์ป่า รวมถึงซากสัตว์ป่า จึงต้องได้รับความควบคุมจากหน่วยงานราชการ ซึ่งมีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ที่เกี่ยวข้อง 3 พ.ร.บ.ด้วยกัน คือ
1.! พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490
2.! พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
3.! พระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522
หน่วยงานราชการที่ดูแลด้านนี้ คือ
1. สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กรมป่าไม้ กรณีเป็นสัตว์บก รวมทั้งจระเข้พันธุ์ต่างประเทศสามารถยื่นขออนุญาตได้ที่หน่วยงานดังกล่าว หรือสำนักงานป่าไม้จังหวัดที่ด่านตรวจสัตว์ป่าตั้งอยู่ในเขตจังหวัดนั้น หรือสำนักงานป่าไม้จังหวัดที่สัตว์ป่าอยู่ในเขตจังหวัดนั้น
2. กองอนุรักษ์ทรัพยากรประมง กรมประมง กรณีเป็นสัตว์น้ำ และจระเข้พันธุ์ไทย สามารถยื่นขออนุญาตได้ที่หน่วยงานดังกล่าว หรือสำนักงานประมงจังหวัดที่ด่านตรวจสัตว์น้ำตั้งอยู่ในเขตจังหวัดนั้นหรือสำนักงานประมงจังหวัดที่สัตว์น้ำอยู่ในเขตจังหวัดนั้น
การทำโรงงานผลิตกระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังจะมีทั้งการนำเข้า ส่งออก ครอบครอง และค้าหนังสัตว์รวมถึงผลิตภัณฑ์ ซึ่งต้องขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องข้างต้น ดังนี้
1.! ใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองซึ่งสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้จากการเพาะพันธุ์ หรือซากของสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้จากการเพาะพันธุ์ ค่าธรรมเนียมฉบับละ 50 บาท
2.! ใบอนุญาตให้ค้าซากของสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้จากการเพาะพันธุ์ หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากของสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้จากการเพาะพันธุ์ ค่าธรรมเนียมฉบับละ 500 บาท
3.! ใบอนุญาตให้นำเข้าหรือส่งออกซึ่งสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้จากการเพาะพันธุ์ หรือซากของสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้จากการเพาะพันธุ์ ค่าธรรมเนียมฉบับละ 50 บาท
4.! ใบอนุญาตให้นำเข้า ส่งออกซึ่งสัตว์ป่าหรือซากของสัตว์ป่า ค่าธรรมเนียมฉบับละ 200 บาท
สำหรับหลักฐานประกอบการขออนุญาต ประกอบด้วย
1.! หลักฐานการได้มาซึ่งสัตว์ หรือซาก หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากซากของสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้จากการเพาะพันธุ์
2.! หลักฐานการเป็นสัตว์ป่า หรือซากของสัตว์ป่าที่อนุญาตให้นำเข้า ส่งออกได้ตามหลักเกณฑ์ของ CITES
3.! สำเนาใบสั่งสินค้า (Order) หรือสำเนาใบกำกับสินค้า (Invoice)
4.! สำเนาใบอนุญาตส่งออก (Export Permit) จากประเทศผู้ส่งออก เพื่อใช้ประกอบการขอใบอนุญาตนำเข้าของผู้ประกอบการไทย
5.! สำเนาใบอนุญาตนำเข้า (Import Permit) จากประเทศผู้นำเข้า เพื่อใช้ประกอบการขอใบอนุญาตส่งออกของผู้ประกอบการไทย
6.! สำเนาใบรับรองถิ่นกำเนิด (Certificate of Origin)
7.! สำเนาใบรับรองสุขภาพสัตว์ (Health Certificate )
8.! สำเนาทะเบียนบ้านของกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท
9.! หนังสือบริคณฑ์สนธิของบริษัท
10.! หนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทแสดงรายการจดทะเบียนชื่อกรรมการ หรือหุ้นส่วนผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท
2. ด้านภาษี
- การนำเข้ากระเป๋าถือสตรีทำด้วยหนังต้องเสียภาษีนำเข้าร้อยละ 40 ของมูลค่านำเข้า เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 2542 ก่อนหน้านี้เสียภาษีร้อยละ 100
- วัตถุดิบประเภทหนังดิบไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า
- วัตถุดิบประเภทหนังฟอกต้องเสียภาษีนำเข้า ในอัตราร้อยละ 5 ของมูลค่านำเข้า หรือ 1.40บาท/กก. ยกเว้นหนังฟอกที่ผ่านการฟอกขั้นต้นโดยใช้อะลัม (ทอว์เด็ด) เสียภาษีนำเข้าในอัตราร้อยละ 10ของมูลค่านำเข้า หรือ 3.30 บาท/กก. อัตราแบบใดคำนวณเป็นเงินอากรได้สูงกว่าจะต้องเสียอัตราอากรแบบนั้น
- นอกจากนี้ยังต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอัตราร้อยละ 7 (ใช้ตั้งแต่ 1 เม.ย.42 -- 31 มี.ค. 44) ก่อนหน้า และหลังจากช่วงเวลาข้างต้นใช้อัตราร้อยละ 10
แหล่งข้อมูลอื่นๆ เช่น หน่วยงานที่ให้การสนับสนุนด้านเทคนิค
-! สมาคมเครื่องหนังไทย
-! กรมส่งเสริมการส่งออก สนับสนุนด้านการส่งออก เช่น ช่วยด้านค่าใช้จ่ายเป็นบางส่วนในการออกร้านแสดงสินค้าในต่างประเทศ มีการฝึกอบรมด้านการทำเครื่องหนัง ตลอดจนให้บริการด้านการออกแบบ
-! กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--