1. ประเด็นเศรษฐกิจต่างประเทศ (25 พฤศจิกายน 2547-24 ธันวาคม 2547)
สหรัฐอเมริกา
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวดีต่อเนื่องในด้านอุปสงค์ ราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจมากขึ้นและใช้จ่ายมากขึ้น โดยยอดค้าปลีกในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ที่ร้อยละ 0.1 (mom) หรือร้อยละ 7.2 (yoy) จากการเพิ่มขึ้นของยอดซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และวัสดุก่อสร้าง รวมทั้งยอดขายของปั๊มน้ำมันและยอดขายสินค้าทางไปรษณีย์และอินเตอร์เน็ต นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ลดลงยังส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U.of Michigan Confidence Index) ในเดือนธันวาคมปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 95.7 จากระดับ 92.8 ในเดือนก่อน
ด้านอุปทาน การผลิตในภาคอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 (yoy) เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของการผลิตในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และเครื่องจักรสำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity utlization) ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 77.6 สูงที่สุดนับจากเดือนพฤษภาคม 2544
อัตาเงินเฟ้อในเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ทั้งนี้ ราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นราคาสินค้าในหมวดอาหาร ยานพาหนะ และค่ารักษาพยาบาล หากไม่รวมอาหาร และพลังงาน ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2
สำหรับบริหารการคลัง (Office of Management and Budget) ของประธานาธิบดีบุชคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยในปี 2548 และ 2549 จะขยายตัวร้อยละ 3.5 และ 3.4 ตามลำดับ ซึ่งลดลงจากร้อยละ 3.9 ในปี 2547 นอกจากนั้นยังคาดว่าการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 175,000 รายต่อเดือนลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วง 11 เดือนของปี 2547 ที่ 185,000 รายต่อเดือน
อนึ่ง ในการประชุมของFed เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2547 มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.25 ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินให้ความเห็นว่า หลังจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้แล้ว stance ของนโยบายการเงินยังคงเป็นแบบผ่อนคลาย และการขยายตัวของ productivity ยังเป้นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นแต่ output ยังขยายตัวในลักษณะ moderate และภาวะการจ้างงานค่อยๆ ฟื้นตัว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อและเงินเฟ้อคาดการณ์ยังไม่เร่งตัวนัก อนึ่ง คณะกรรมการนโยบายการเงินมองว่า ความเสี่ยงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในช่วง 2-3 ไตรมาสข้างหน้าค่อนข้างสมดุล (roughly equal) และให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ยในอนาคตไว้เช่นเดิม คือ"policy accommodation can be removed at a pace that is likely to be measured" และจะเปลี่ยนแปลงนโยบายตามภาวะเศรษฐกิจเท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพของระดับราคา
กลุ่มประเทศยูโร
เศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซนในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 0.3 (qoq) หรือร้อยละ 1.8 (yoy) ชะลอลงจากไตรมาสก่อน โดยเป็นผลจากการชะลอลงของการส่งออกสุทธิ (net exports) เป็นสำคัญ ส่วนการอุปโภคบริโภคค่อนข้างทรงตัว ขณะทีการลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐเร่งตัวขึ้นเล็กน้อยในไตรมาสนี้
ในช่วงที่ผ่านมาโดยรวมค่าเงินสกุลยูโรยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเทียบกับดอลลาร์ สรอ. สาเหตุเพราะความกังวลในเรื่องการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐฯ ซึ่งในประเด็นดังกล่าว นาย Jean Claude Trichet ประธาน ECB ยังคงยืนยัน stance เดิมในเรื่องค่าเงินว่า "Recent moves in currency markets are not welcome." และแสดงเป็นนัยว่า ECB อาจปรับลดประมาณการการขยายตัวของ GDP ลง ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งมีผลต่อรายได้ของผู้บริโภคในกลุ่มยูโรโซนและต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม อย่างไรก็ดีนาย Trichet คาดว่าเศรษฐกิจจะยังคงฟื้นตัวได้ต่อไปในปีหน้า แต่อาจต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมบ้าง โดยปัจจัยที่เอื้อให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไปคือ การส่งออกที่ยังคงมีแนวโน้มดีจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และการลงทุนที่มีแนวโน้มดีขึ้นเช่นกัน
สำหรับประเด็นด้านเงินเฟ้อนั้น ECB เห็นว่าแนวโน้มเงินเฟ้อในปัจจุบันยังคงสอดคล้องกับเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลาง และยังไม่เห็นผลกระทบต่อเนื่อง (second round effect) ต่อเสถียรภาพด้านราคาโดยอัตราเงินเฟ้อ HICP ล่าสุดของเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 2.2 เท่ากับประมาณการเดิมของ Eurostat แต่ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 2.4 ทั้งนี้ เป็นผลจากราคาสินค้าพลังงานและอาหารที่ปรับลดลง
อนึ่ง ดัชนีชี้ภาวะเศรษฐกิจสำคัญส่งสัญญาณว่าทิศทางเศรษฐกิจยังไม่ดีนัก โดย Economic Sentiment ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายชะลอลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 100.8 จากเดือนก่อนหน้าที่ 101.3 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าเงินยูโรที่แข็งค่าขึ้นส่งผลให้ดัชนีย่อยภาคบริการและค้าปลีกลดลง สอดคล้องกับดัชนี Business Climate Indicator ที่ปรับลดลงเช่นกัน สำหรับดัชนี PMI การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายนชะลอลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2546 โดยอยู่ที่ 50.4 เทียบกับเดือนก่อนที่ 52.4 ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการลดลงที่ต่ำที่สุดในรอบ 15 เดือนเช่นกัน ส่งผลให้ PMI รวมของเดือนพฤศจิกายนลดลงมาอยู่ที่ 51.7 จากเดือนก่อนที่ 53.7
ญี่ปุ่น
เครื่องชี้เศรษฐกิจญี่ปุ่นบางตัวเริ่มมีสัญญาณอ่อนแอ โดยเฉพาะการผลิตอุตสาหกรรมซึ่งหดตัวร้อยละ 1.6 (mom) ในเดือนตุลาคม ซึ่งนับเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 สะท้อนถึงภาวะการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงของการปรับสินค้าคงคลัง (inventory correction) อย่างไรก็ดี การปรับตัวยังคงจำกัดอยู่เพียงในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเป็นหลักเท่านั้น โดยดัชนี manufacturing PMI ปรับลดลงจาก 53.6 มาอยู่ที่ 51.3 ในเดือนพฤศจิกายน
ผลสำรวจความเห็นผู้ประกอบการ (Tankan) ของธนาคารกลางญี่ปุ่นในเดือนธันวาคมปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ไตรมาส โดยดัชนีของบริษัท manufacturing ขนาดใหญ่ปรับตัวมาอยู่ที่ 22 จาก 26 โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับลดลงของดัชนีได้แก่ (1) เงินเยนที่แข็งค่าขึ้น (จากสิ้นเดือนกันยายนซึ่งอยู่ที่ 110 เยนต่อดอลลาร์ สรอ. มาอยู่ที่ 103.2 เยนต่อดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน) (2) ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงซึ่งส่งผลลบต่อผลกำไรของผู้ประกอบการ และ (3) การที่มี production/inventory adjustment ในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
อนึ่ง ทางการญี่ปุ่นได้ปรับวิธีการคำนวณ GDP ใหม่จากเดิมที่ใช้วิธ๊การคำนวณโดยกำหนดราคาคงที่ ณ ปีฐานปีใดปีหนึ่งและปรับปีฐานทุก 5 ปีเป็น "ChainIinking methood" ซึ่งเป็นการปรับปีฐานทุกปี ส่งผลให้มีการปรับตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยเริ่มตั้งแต่ปี 2537 (1994)
ทั้งนี้ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจและดัชนีพ้องเศรษฐกิจล่าสุดยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 สะท้อนถึงความเป็นไปได้ของการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งธนาคารกลางญี่ปุ่นเห็นว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจอาจจะอ่อนตัวลงในช่วงต้นปีหน้า แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า inventory correction ของการผลิตอุตสาหกรรมจะเกิดขึ้นเป็นเวลานานเพียงใดซึ่งปัจจุบันนักวิเคราะห์คาดว่าจะสิ้นสุดในช่วงเมษายน-มิถุนายน 2548 อนึ่ง ด้านนักวิเคราะห์เห็นว่าแนวโน้มของเศรษฐกิจน่าจะยังดี เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจาก การที่ภาคธุรกิจเริ่มมีผลกำไร และการบริโภคของภาคเอกชนฟื้นตัวได้ต่อเนื่องตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นจากการจ้างงานที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
กลุ่มเอเชียตะวันออก
เศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดีและมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีเสถียรภาพ โดยการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรชะลอลงต่อเนื่อง ในช่วง 11 เดือนแรกขยายตัวร้อยละ 18.9 (yoy)เทียบกับช่วง 10 เดือนแรกที่ขยายตัวร้อยละ 19.5 สำหรับการบริโภคของภาคครัวเรือนซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยชดเชยไม่ให้เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างรวดเร็วขยายตัวสูงกว่าที่คาดโดยยอดค้าปลีกเดือนพฤศจิกายนขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 13.9 (yoy) ใกล้เคียงกับเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 14.2
การค้าต่างประเทศของจีนขยายตัวเร่งขึ้นมากในเดือนพฤศจิกายน โดยการส่งออกขยายตัวร้อยละ 45.9 (yoy) เทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 28.4 ซึ่งนักวิเคราะห์มีความเห็นว่าจีนได้รับประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์ สรอ. ที่อ่อนค่าลง จึงยิ่งเพิ่มความได้เปรียบของสินค้าส่งออกของจีน สำหรับการนำเข้าก็ขยายตัวสูงขึ้นเช่นกันที่ร้อยละ 38.5 เทียบกับเดือนตุลาคมที่ขยายตัวร้อยละ 29 ทำให้จีนเกิดดุลการค้า 9.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
อัตราเงินเฟ้อของจีนลดลงมากมาอยู่ที่ร้อยละ 2.8 ในเดือนพฤศจิกายนเทียบกับร้อยละ 4.3 ในเดือนตุลาคมตามราคาอาหารที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าผู้ผลิตในเดือนพฤศจิกายนปรับลดลงเพียงเล็กน้อย โดยอยู่ที่ร้อยละ 8.1 เทียบกับเดือนตุลาคมที่ร้อยละ 8.4
จีนได้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจสำหรับปี 2548 จากการประชุม Centeal Economic Work Conference ระหว่างวันที่ 3-5 ธันวาคม 2547 ดังนี้ (1) จะพัฒนาและปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจมหภาคเพื่อแก้ปัญหาการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่อยู่ในระดับสูง (2) สนับสนุนเศรษฐกิจในชนบทและเพิ่มรายได้ให้แก่ประชากรในชนบาทเพื่อลดความแตกต่างของรายได้ (3) เร่งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ (4) เร่งการปฎิรูปภาคธนาคาร (5) ดึงดูดการลงทุนในต่างประเทศ และ (6) ส่งเสริมความเท่าเทียมกันของสังคมโดยการปรับระบบสวัสดิการสังคม นอกจากนี้ The State Reform and Development Commission ของจีนได้กำหนดเป้าหมายการขยายของเศรษฐกิจปี 2548 ไว้ที่ร้อยละ 8.0 และมุ่งที่จะรักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ที่ร้อยละ 4
เศรษฐกิจไต้หวันมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เนื่องจากการชะลดตัวของอุปสงค์จากต่างประเทศ อย่างไรก็ตามปัญหาการว่างงานเริ่มผ่อนคลายลง
การส่งออกของได้หวันชะลอลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงกลางปีตามอุปสงค์ในตลาดโลกที่ชะลอลง นอกจากนี้ เดือนพฤศจิกายนยังขยายตัวต่ำกว่าที่คาดโดยชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 12.5 (yoy)เทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 17.5 อย่างไรก็ตาม คำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกเดือนพฤศจิกายนกลับขยายตัวเร่งขึ้นและสูงสุดในรอบ 7 เดือน หรือขยายตัวสูงถึงร้อยละ 30.1 เทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 25.5
เครื่องชี้เศรษฐกิจฮ่องกงแสดงถึงการฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยภาคการค้าและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจหลักขยายตัวสูงต่อเนื่อง ทั้งนี้ การส่งออกล่าสุดในเดือนตุลาคมขยายตัวร้อยละ 16.1 (yoy) ตามการส่งออกไปยังจีนที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 30 (yoy) ในขณะที่จำนวนนักท่องเทียวที่มาฮ่องกงขยายตัวร้อยละ 19 (yoy)
การเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวประกอบกับภาวะการจ้างที่ปรับตัวดีขึ้นช่วยให้ภาคการค้าปลีกปรับตัวดีขึ้น โดยปริมาณการค้าปลีกขยายตัวร้อยละ 7.3 (yoy) ซึ่งแนวโน้มของการบริโภคในประเทศยังคงดีต่อเนื่องในปี 2548 จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวและผู้บริโภคในประเทศที่แข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งเนื่องจากปัจจัยสำคัญคือราคาอสังหาริมพย์และภาวะการจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้น โดยล่าสุดอัตราการว่างงานในเดือนตุลาคมได้ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 6.7 (yoy) ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
เศรษฐกิจเกาหลีใต้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 4.6 (yoy) ชะลอลงจากไตรมาสที่ 2 ที่ขยายตัวร้อยละ 5.5 ปัจจัยสำคัญมาจากการชะลอลงอย่างต่อเนื่องของภาคการส่งออกตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคมและการบริโ๓คภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยเห็นได้จากภาคธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งที่ขยายตัวชะลอลงเหลือร้อยละ 4.1 (yoy) ในเดือนตุลาคมจากร้อยละ 6.5ในเดือนกันยายน อย่างไรก็ตาม การส่งออกในเดือนพฤศจิกายนมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น โดยขยายตัวร้อยละ 27.8 (yoy)เร่งขึ้นจากร้อยละ 20.2 ในเดือนตุลาคม ขณะที่การนำเข้าขยายตัวร้อยละ 30.3 (yoy) เร่งขึ้นจากร้อยละ 23.1 เช่นกัน
ทั้งนี้ ผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคมขยายตัวลดลงร้อยละ 9.5 (yoy) เหลือร้อยละ 5.7 ในเดือนพฤศจิกายน และแรงกดดันเงินเฟ้อได้ลดลงต่อเนื่องในไตรมาสที่ 3 นี้ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเท่ากับร้อยละ 3.3 ลดลงจากร้อยละ 3.8 ในเดือนตุลาคม และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core inflation) อยู่ที่ร้อยละ 3.1 อนึ่งเนื่องจากเศรษฐกิจเกาหลีใต้ยังมีความเสี่ยงในหลายด้านธนาคารกลางและ Korea Development Institute (KDI) จึงได้ประมาณการ GDP ของปี 2548 อยู่ที่ร้อยละ 4.0 ชะลอลงจากปี 2547 ที่ร้อยละ 4.7 อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีคลังของเกาหลีใต้ได้ประกาศว่า รัฐบาลจะพยายามทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างน้อยร้อยละ 5 เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการว่างงาน
กลุ่มอาเซียน
เศรษฐกิจมาเลเซียในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 6.8 (yoy) ชะลดลงจากไตรมาสที่ 2 ที่ร้อยละ 8.2 เนื่องจากภาคการส่งออกชะลอตัวลงจากร้อยละ 28.8 (yoy) ในเดือนกันยายนเหลือร้อยละ 18.7 ในเดือนตุลาคม ตามอุปสงค์จากต่างประเทศที่ชะลอลงจากผลกระทบของราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่การนำเข้าชะลอลงเช่นกัน จากร้อยละ 34.9 (yoy) ในเดือนกันยายนเหลือร้อยละ 18.9 ในเดือนตุลาคม ส่วนภาคการบริโภคยังดีอยู่ แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวลดลงจากร้อยละ 9.8 (yoy) ในเดือนกันยายนเหลือร้อยละ 6.9 ในเดือนตุลาคม เป็นผลจากการลดลงของการผลิตใน Manufacturing sector สำหรับอัตราเงินเฟ้อยังทรงตัว โดยในเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 2.2
เศรษฐกิจสิงคโปร์ยังคงขยายตัวจากอุปสงค์ภายในประเทศ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นจากภาวะตลาดแรงงานที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งอัตราการว่างงาน (ปรับฤดูกาล) ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.4 จากไตรมาสก่อนที่ร้อยละ 4.5 นอกจากนี้ การส่งออกยังขยายตัวสูงแต่เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 เดือนในเดือนพฤศจิกายนขยายตัวร้อยละ 24.4 (yoy) ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 25.9 ส่วน การนำเข้ายังคงขยายตัวสูงตามอุปสงค์ในประเทศและการนำเข้าสินค้าประเภทน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเริ่มน้อยลง โดยอัตราเงินเฟ้อล่าสุดของเดือนตุลาคมอยู่ที่ร้อยละ 1.7 (yoy) ลดลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 2.0
เศรษฐกิจอินโดนีเซียยังคงขยายตัวจากการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกที่ขยายตัวเร่งขึ้นในช่วงปลายปี โดยการส่งออกในเดือนตุลาคมขยายตัวสูงถึงร้อยละ 43.7 (yoy) และการนำเข้าขยายตัวร้อยละ 57.1 (yoy) ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนทรงตัวจากเดือนก่อน โดยอยู่ที่ร้อยละ 6.2 ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวร้อยละ 5 เทียบกับปีที่แล้วที่ขยายตัวร้อยละ 4.8 และเร่งขึ้นเป็นร้อยละ 5.5 ในปี 2548 อย่างไรก็ตามคาดว่าการขาดดุลงบประมาณในปีนี้อาจเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.9 ของ GDP จากที่คาดไว้เดิมร้อยละ 1.3 ของ GDP เนื่องจากภาระการพยุงราคาน้ำมันมีมากเกินคาดจากราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2547 สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือสำหรับตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของอินโดนีเซียจากระดับ B เป็น B+ เนื่องจากเห็นว่าอินโดนีเซียมีหนี้ต่างประเทศลดลง สถานการณ์ด้านการเมืองอยู่ในความสงบ และเศรษฐกิจเติบโตและมีเสถียรภาพมากขึ้น
เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 6.3 (yoy) หรือร้อยละ 1.4 (qoq,sa) ชะลอลงจากไตรมาสก่อนแต่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้เศรษฐกิจในช่วง 9 เดือนแรกขยายตัวร้อยละ 6.5 (yoy) โดยการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่การลงทุนและการส่งออกเร่งตัวขึ้นมาก อย่างไรก็ดีการบริโภคภาครัฐยังคงหดตัวต่อเนื่องกันเป็นไตรมาสที่ 2 อนึ่ง นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า ผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจะเริ่มส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจชัดเจนขึ้นในไตรมาสที่ 4 และไตรมาสแรกปีหน้าโดยทางการฟิลิปปินส์คาดว่าเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 4.8-5.2 (yoy)
อัตราเงินเฟ้อล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน 2547 ยังคงเร่งตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ร้อยละ 7.6 เทียบกับร้อยละ 7.1 ในเดือนตุลาคม และนับเป็นระดับที่สุดที่สุดในรอบ 5 ปีครึ่ง โดยเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นหลัก อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) ยังคงยืนยันว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนนโยบาย การเงินหรือปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยทางการในตอนนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลมาจากแรงกดดันด้านอุปทานขณะที่ยังไม่มีแรงกดดันจากอุปสงค์ในประเทศ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
สหรัฐอเมริกา
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวดีต่อเนื่องในด้านอุปสงค์ ราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจมากขึ้นและใช้จ่ายมากขึ้น โดยยอดค้าปลีกในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ที่ร้อยละ 0.1 (mom) หรือร้อยละ 7.2 (yoy) จากการเพิ่มขึ้นของยอดซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และวัสดุก่อสร้าง รวมทั้งยอดขายของปั๊มน้ำมันและยอดขายสินค้าทางไปรษณีย์และอินเตอร์เน็ต นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ลดลงยังส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U.of Michigan Confidence Index) ในเดือนธันวาคมปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 95.7 จากระดับ 92.8 ในเดือนก่อน
ด้านอุปทาน การผลิตในภาคอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 (yoy) เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของการผลิตในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และเครื่องจักรสำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity utlization) ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 77.6 สูงที่สุดนับจากเดือนพฤษภาคม 2544
อัตาเงินเฟ้อในเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ทั้งนี้ ราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นราคาสินค้าในหมวดอาหาร ยานพาหนะ และค่ารักษาพยาบาล หากไม่รวมอาหาร และพลังงาน ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2
สำหรับบริหารการคลัง (Office of Management and Budget) ของประธานาธิบดีบุชคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยในปี 2548 และ 2549 จะขยายตัวร้อยละ 3.5 และ 3.4 ตามลำดับ ซึ่งลดลงจากร้อยละ 3.9 ในปี 2547 นอกจากนั้นยังคาดว่าการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 175,000 รายต่อเดือนลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วง 11 เดือนของปี 2547 ที่ 185,000 รายต่อเดือน
อนึ่ง ในการประชุมของFed เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2547 มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.25 ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินให้ความเห็นว่า หลังจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้แล้ว stance ของนโยบายการเงินยังคงเป็นแบบผ่อนคลาย และการขยายตัวของ productivity ยังเป้นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นแต่ output ยังขยายตัวในลักษณะ moderate และภาวะการจ้างงานค่อยๆ ฟื้นตัว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อและเงินเฟ้อคาดการณ์ยังไม่เร่งตัวนัก อนึ่ง คณะกรรมการนโยบายการเงินมองว่า ความเสี่ยงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในช่วง 2-3 ไตรมาสข้างหน้าค่อนข้างสมดุล (roughly equal) และให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ยในอนาคตไว้เช่นเดิม คือ"policy accommodation can be removed at a pace that is likely to be measured" และจะเปลี่ยนแปลงนโยบายตามภาวะเศรษฐกิจเท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพของระดับราคา
กลุ่มประเทศยูโร
เศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซนในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 0.3 (qoq) หรือร้อยละ 1.8 (yoy) ชะลอลงจากไตรมาสก่อน โดยเป็นผลจากการชะลอลงของการส่งออกสุทธิ (net exports) เป็นสำคัญ ส่วนการอุปโภคบริโภคค่อนข้างทรงตัว ขณะทีการลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐเร่งตัวขึ้นเล็กน้อยในไตรมาสนี้
ในช่วงที่ผ่านมาโดยรวมค่าเงินสกุลยูโรยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเทียบกับดอลลาร์ สรอ. สาเหตุเพราะความกังวลในเรื่องการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐฯ ซึ่งในประเด็นดังกล่าว นาย Jean Claude Trichet ประธาน ECB ยังคงยืนยัน stance เดิมในเรื่องค่าเงินว่า "Recent moves in currency markets are not welcome." และแสดงเป็นนัยว่า ECB อาจปรับลดประมาณการการขยายตัวของ GDP ลง ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งมีผลต่อรายได้ของผู้บริโภคในกลุ่มยูโรโซนและต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม อย่างไรก็ดีนาย Trichet คาดว่าเศรษฐกิจจะยังคงฟื้นตัวได้ต่อไปในปีหน้า แต่อาจต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมบ้าง โดยปัจจัยที่เอื้อให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไปคือ การส่งออกที่ยังคงมีแนวโน้มดีจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และการลงทุนที่มีแนวโน้มดีขึ้นเช่นกัน
สำหรับประเด็นด้านเงินเฟ้อนั้น ECB เห็นว่าแนวโน้มเงินเฟ้อในปัจจุบันยังคงสอดคล้องกับเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลาง และยังไม่เห็นผลกระทบต่อเนื่อง (second round effect) ต่อเสถียรภาพด้านราคาโดยอัตราเงินเฟ้อ HICP ล่าสุดของเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 2.2 เท่ากับประมาณการเดิมของ Eurostat แต่ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 2.4 ทั้งนี้ เป็นผลจากราคาสินค้าพลังงานและอาหารที่ปรับลดลง
อนึ่ง ดัชนีชี้ภาวะเศรษฐกิจสำคัญส่งสัญญาณว่าทิศทางเศรษฐกิจยังไม่ดีนัก โดย Economic Sentiment ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายชะลอลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 100.8 จากเดือนก่อนหน้าที่ 101.3 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าเงินยูโรที่แข็งค่าขึ้นส่งผลให้ดัชนีย่อยภาคบริการและค้าปลีกลดลง สอดคล้องกับดัชนี Business Climate Indicator ที่ปรับลดลงเช่นกัน สำหรับดัชนี PMI การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายนชะลอลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2546 โดยอยู่ที่ 50.4 เทียบกับเดือนก่อนที่ 52.4 ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการลดลงที่ต่ำที่สุดในรอบ 15 เดือนเช่นกัน ส่งผลให้ PMI รวมของเดือนพฤศจิกายนลดลงมาอยู่ที่ 51.7 จากเดือนก่อนที่ 53.7
ญี่ปุ่น
เครื่องชี้เศรษฐกิจญี่ปุ่นบางตัวเริ่มมีสัญญาณอ่อนแอ โดยเฉพาะการผลิตอุตสาหกรรมซึ่งหดตัวร้อยละ 1.6 (mom) ในเดือนตุลาคม ซึ่งนับเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 สะท้อนถึงภาวะการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงของการปรับสินค้าคงคลัง (inventory correction) อย่างไรก็ดี การปรับตัวยังคงจำกัดอยู่เพียงในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเป็นหลักเท่านั้น โดยดัชนี manufacturing PMI ปรับลดลงจาก 53.6 มาอยู่ที่ 51.3 ในเดือนพฤศจิกายน
ผลสำรวจความเห็นผู้ประกอบการ (Tankan) ของธนาคารกลางญี่ปุ่นในเดือนธันวาคมปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ไตรมาส โดยดัชนีของบริษัท manufacturing ขนาดใหญ่ปรับตัวมาอยู่ที่ 22 จาก 26 โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับลดลงของดัชนีได้แก่ (1) เงินเยนที่แข็งค่าขึ้น (จากสิ้นเดือนกันยายนซึ่งอยู่ที่ 110 เยนต่อดอลลาร์ สรอ. มาอยู่ที่ 103.2 เยนต่อดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน) (2) ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงซึ่งส่งผลลบต่อผลกำไรของผู้ประกอบการ และ (3) การที่มี production/inventory adjustment ในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
อนึ่ง ทางการญี่ปุ่นได้ปรับวิธีการคำนวณ GDP ใหม่จากเดิมที่ใช้วิธ๊การคำนวณโดยกำหนดราคาคงที่ ณ ปีฐานปีใดปีหนึ่งและปรับปีฐานทุก 5 ปีเป็น "ChainIinking methood" ซึ่งเป็นการปรับปีฐานทุกปี ส่งผลให้มีการปรับตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยเริ่มตั้งแต่ปี 2537 (1994)
ทั้งนี้ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจและดัชนีพ้องเศรษฐกิจล่าสุดยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 สะท้อนถึงความเป็นไปได้ของการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งธนาคารกลางญี่ปุ่นเห็นว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจอาจจะอ่อนตัวลงในช่วงต้นปีหน้า แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า inventory correction ของการผลิตอุตสาหกรรมจะเกิดขึ้นเป็นเวลานานเพียงใดซึ่งปัจจุบันนักวิเคราะห์คาดว่าจะสิ้นสุดในช่วงเมษายน-มิถุนายน 2548 อนึ่ง ด้านนักวิเคราะห์เห็นว่าแนวโน้มของเศรษฐกิจน่าจะยังดี เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจาก การที่ภาคธุรกิจเริ่มมีผลกำไร และการบริโภคของภาคเอกชนฟื้นตัวได้ต่อเนื่องตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นจากการจ้างงานที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
กลุ่มเอเชียตะวันออก
เศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดีและมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีเสถียรภาพ โดยการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรชะลอลงต่อเนื่อง ในช่วง 11 เดือนแรกขยายตัวร้อยละ 18.9 (yoy)เทียบกับช่วง 10 เดือนแรกที่ขยายตัวร้อยละ 19.5 สำหรับการบริโภคของภาคครัวเรือนซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยชดเชยไม่ให้เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างรวดเร็วขยายตัวสูงกว่าที่คาดโดยยอดค้าปลีกเดือนพฤศจิกายนขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 13.9 (yoy) ใกล้เคียงกับเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 14.2
การค้าต่างประเทศของจีนขยายตัวเร่งขึ้นมากในเดือนพฤศจิกายน โดยการส่งออกขยายตัวร้อยละ 45.9 (yoy) เทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 28.4 ซึ่งนักวิเคราะห์มีความเห็นว่าจีนได้รับประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์ สรอ. ที่อ่อนค่าลง จึงยิ่งเพิ่มความได้เปรียบของสินค้าส่งออกของจีน สำหรับการนำเข้าก็ขยายตัวสูงขึ้นเช่นกันที่ร้อยละ 38.5 เทียบกับเดือนตุลาคมที่ขยายตัวร้อยละ 29 ทำให้จีนเกิดดุลการค้า 9.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
อัตราเงินเฟ้อของจีนลดลงมากมาอยู่ที่ร้อยละ 2.8 ในเดือนพฤศจิกายนเทียบกับร้อยละ 4.3 ในเดือนตุลาคมตามราคาอาหารที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าผู้ผลิตในเดือนพฤศจิกายนปรับลดลงเพียงเล็กน้อย โดยอยู่ที่ร้อยละ 8.1 เทียบกับเดือนตุลาคมที่ร้อยละ 8.4
จีนได้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจสำหรับปี 2548 จากการประชุม Centeal Economic Work Conference ระหว่างวันที่ 3-5 ธันวาคม 2547 ดังนี้ (1) จะพัฒนาและปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจมหภาคเพื่อแก้ปัญหาการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่อยู่ในระดับสูง (2) สนับสนุนเศรษฐกิจในชนบทและเพิ่มรายได้ให้แก่ประชากรในชนบาทเพื่อลดความแตกต่างของรายได้ (3) เร่งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ (4) เร่งการปฎิรูปภาคธนาคาร (5) ดึงดูดการลงทุนในต่างประเทศ และ (6) ส่งเสริมความเท่าเทียมกันของสังคมโดยการปรับระบบสวัสดิการสังคม นอกจากนี้ The State Reform and Development Commission ของจีนได้กำหนดเป้าหมายการขยายของเศรษฐกิจปี 2548 ไว้ที่ร้อยละ 8.0 และมุ่งที่จะรักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ที่ร้อยละ 4
เศรษฐกิจไต้หวันมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เนื่องจากการชะลดตัวของอุปสงค์จากต่างประเทศ อย่างไรก็ตามปัญหาการว่างงานเริ่มผ่อนคลายลง
การส่งออกของได้หวันชะลอลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงกลางปีตามอุปสงค์ในตลาดโลกที่ชะลอลง นอกจากนี้ เดือนพฤศจิกายนยังขยายตัวต่ำกว่าที่คาดโดยชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 12.5 (yoy)เทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 17.5 อย่างไรก็ตาม คำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกเดือนพฤศจิกายนกลับขยายตัวเร่งขึ้นและสูงสุดในรอบ 7 เดือน หรือขยายตัวสูงถึงร้อยละ 30.1 เทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 25.5
เครื่องชี้เศรษฐกิจฮ่องกงแสดงถึงการฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยภาคการค้าและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจหลักขยายตัวสูงต่อเนื่อง ทั้งนี้ การส่งออกล่าสุดในเดือนตุลาคมขยายตัวร้อยละ 16.1 (yoy) ตามการส่งออกไปยังจีนที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 30 (yoy) ในขณะที่จำนวนนักท่องเทียวที่มาฮ่องกงขยายตัวร้อยละ 19 (yoy)
การเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวประกอบกับภาวะการจ้างที่ปรับตัวดีขึ้นช่วยให้ภาคการค้าปลีกปรับตัวดีขึ้น โดยปริมาณการค้าปลีกขยายตัวร้อยละ 7.3 (yoy) ซึ่งแนวโน้มของการบริโภคในประเทศยังคงดีต่อเนื่องในปี 2548 จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวและผู้บริโภคในประเทศที่แข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งเนื่องจากปัจจัยสำคัญคือราคาอสังหาริมพย์และภาวะการจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้น โดยล่าสุดอัตราการว่างงานในเดือนตุลาคมได้ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 6.7 (yoy) ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
เศรษฐกิจเกาหลีใต้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 4.6 (yoy) ชะลอลงจากไตรมาสที่ 2 ที่ขยายตัวร้อยละ 5.5 ปัจจัยสำคัญมาจากการชะลอลงอย่างต่อเนื่องของภาคการส่งออกตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคมและการบริโ๓คภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยเห็นได้จากภาคธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งที่ขยายตัวชะลอลงเหลือร้อยละ 4.1 (yoy) ในเดือนตุลาคมจากร้อยละ 6.5ในเดือนกันยายน อย่างไรก็ตาม การส่งออกในเดือนพฤศจิกายนมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น โดยขยายตัวร้อยละ 27.8 (yoy)เร่งขึ้นจากร้อยละ 20.2 ในเดือนตุลาคม ขณะที่การนำเข้าขยายตัวร้อยละ 30.3 (yoy) เร่งขึ้นจากร้อยละ 23.1 เช่นกัน
ทั้งนี้ ผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคมขยายตัวลดลงร้อยละ 9.5 (yoy) เหลือร้อยละ 5.7 ในเดือนพฤศจิกายน และแรงกดดันเงินเฟ้อได้ลดลงต่อเนื่องในไตรมาสที่ 3 นี้ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเท่ากับร้อยละ 3.3 ลดลงจากร้อยละ 3.8 ในเดือนตุลาคม และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core inflation) อยู่ที่ร้อยละ 3.1 อนึ่งเนื่องจากเศรษฐกิจเกาหลีใต้ยังมีความเสี่ยงในหลายด้านธนาคารกลางและ Korea Development Institute (KDI) จึงได้ประมาณการ GDP ของปี 2548 อยู่ที่ร้อยละ 4.0 ชะลอลงจากปี 2547 ที่ร้อยละ 4.7 อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีคลังของเกาหลีใต้ได้ประกาศว่า รัฐบาลจะพยายามทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างน้อยร้อยละ 5 เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการว่างงาน
กลุ่มอาเซียน
เศรษฐกิจมาเลเซียในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 6.8 (yoy) ชะลดลงจากไตรมาสที่ 2 ที่ร้อยละ 8.2 เนื่องจากภาคการส่งออกชะลอตัวลงจากร้อยละ 28.8 (yoy) ในเดือนกันยายนเหลือร้อยละ 18.7 ในเดือนตุลาคม ตามอุปสงค์จากต่างประเทศที่ชะลอลงจากผลกระทบของราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่การนำเข้าชะลอลงเช่นกัน จากร้อยละ 34.9 (yoy) ในเดือนกันยายนเหลือร้อยละ 18.9 ในเดือนตุลาคม ส่วนภาคการบริโภคยังดีอยู่ แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวลดลงจากร้อยละ 9.8 (yoy) ในเดือนกันยายนเหลือร้อยละ 6.9 ในเดือนตุลาคม เป็นผลจากการลดลงของการผลิตใน Manufacturing sector สำหรับอัตราเงินเฟ้อยังทรงตัว โดยในเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 2.2
เศรษฐกิจสิงคโปร์ยังคงขยายตัวจากอุปสงค์ภายในประเทศ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นจากภาวะตลาดแรงงานที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งอัตราการว่างงาน (ปรับฤดูกาล) ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.4 จากไตรมาสก่อนที่ร้อยละ 4.5 นอกจากนี้ การส่งออกยังขยายตัวสูงแต่เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 เดือนในเดือนพฤศจิกายนขยายตัวร้อยละ 24.4 (yoy) ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 25.9 ส่วน การนำเข้ายังคงขยายตัวสูงตามอุปสงค์ในประเทศและการนำเข้าสินค้าประเภทน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเริ่มน้อยลง โดยอัตราเงินเฟ้อล่าสุดของเดือนตุลาคมอยู่ที่ร้อยละ 1.7 (yoy) ลดลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 2.0
เศรษฐกิจอินโดนีเซียยังคงขยายตัวจากการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกที่ขยายตัวเร่งขึ้นในช่วงปลายปี โดยการส่งออกในเดือนตุลาคมขยายตัวสูงถึงร้อยละ 43.7 (yoy) และการนำเข้าขยายตัวร้อยละ 57.1 (yoy) ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนทรงตัวจากเดือนก่อน โดยอยู่ที่ร้อยละ 6.2 ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวร้อยละ 5 เทียบกับปีที่แล้วที่ขยายตัวร้อยละ 4.8 และเร่งขึ้นเป็นร้อยละ 5.5 ในปี 2548 อย่างไรก็ตามคาดว่าการขาดดุลงบประมาณในปีนี้อาจเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.9 ของ GDP จากที่คาดไว้เดิมร้อยละ 1.3 ของ GDP เนื่องจากภาระการพยุงราคาน้ำมันมีมากเกินคาดจากราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2547 สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือสำหรับตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของอินโดนีเซียจากระดับ B เป็น B+ เนื่องจากเห็นว่าอินโดนีเซียมีหนี้ต่างประเทศลดลง สถานการณ์ด้านการเมืองอยู่ในความสงบ และเศรษฐกิจเติบโตและมีเสถียรภาพมากขึ้น
เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 6.3 (yoy) หรือร้อยละ 1.4 (qoq,sa) ชะลอลงจากไตรมาสก่อนแต่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้เศรษฐกิจในช่วง 9 เดือนแรกขยายตัวร้อยละ 6.5 (yoy) โดยการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่การลงทุนและการส่งออกเร่งตัวขึ้นมาก อย่างไรก็ดีการบริโภคภาครัฐยังคงหดตัวต่อเนื่องกันเป็นไตรมาสที่ 2 อนึ่ง นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า ผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจะเริ่มส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจชัดเจนขึ้นในไตรมาสที่ 4 และไตรมาสแรกปีหน้าโดยทางการฟิลิปปินส์คาดว่าเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 4.8-5.2 (yoy)
อัตราเงินเฟ้อล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน 2547 ยังคงเร่งตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ร้อยละ 7.6 เทียบกับร้อยละ 7.1 ในเดือนตุลาคม และนับเป็นระดับที่สุดที่สุดในรอบ 5 ปีครึ่ง โดยเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นหลัก อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) ยังคงยืนยันว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนนโยบาย การเงินหรือปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยทางการในตอนนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลมาจากแรงกดดันด้านอุปทานขณะที่ยังไม่มีแรงกดดันจากอุปสงค์ในประเทศ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--