ข้อตกลงว่าด้วยการใช้อัตราภาษีศุลกากรพิเศษที่เท่ากัน (Agreement on the Common Effective Preferential Tariff: CEPT) ภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area: AFTA) กำหนดให้ประเทศสมาชิกสามารถขอใช้สิทธิพิเศษทางภาษีกับสินค้าส่งออกที่อยู่ในบัญชีรายการลดภาษีและมีคุณสมบัติถูกต้องตามกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin: ROO) ซึ่งกำหนดขึ้นเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาว่าสินค้าที่ซื้อขายกันนั้นมีแหล่งกำเนิดจากประเทศใด
ทั้งนี้ สินค้าส่งออกของประเทศสมาชิกที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับ ROO ภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนต้องเข้าข่ายเกณฑ์หนึ่งเกณฑ์ใดดังต่อไปนี้
เป็นสินค้าที่ผลิตขึ้นโดยใช้วัตถุดิบของประเทศผู้ส่งออกทั้งหมด อาทิ ผลผลิตทางการเกษตรที่มีการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวได้ในประเทศนั้น สัตว์มีชีวิตที่เกิดและเติบโตในประเทศนั้นรวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ดังกล่าว และผลิตภัณฑ์แร่ธาตุซึ่งสกัดจากพื้นดิน พื้นน้ำ หรือท้องทะเลของประเทศนั้น เป็นต้น
เป็นสินค้าที่มีสัดส่วนของมูลค่าวัตถุดิบที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศผู้ส่งออก (ASEAN Local Content) อย่างน้อยร้อยละ 40 ของราคาสินค้า F.O.B. (ราคาสินค้ารวมค่าใช้จ่ายทุกชนิดยกเว้นค่าระวางและค่าประกันสินค้า จนกว่าสินค้าพร้อมที่จะส่งออกจากต้นทาง) และการแปรสภาพการผลิตขั้นสุดท้ายต้องกระทำในอาณาเขตของประเทศผู้ส่งออกเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers Meeting: AEM) ครั้งที่ 36 ระหว่างวันที่ 3-5 กันยายน 2547 ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการปรับปรุงกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าภายใต้ AFTA เพื่อให้การค้าระหว่างประเทศสมาชิกมีความคล่องตัวและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยมีมติเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าแบบสะสม (Cumulative Rules of Origin: CRO) ซึ่งอนุญาตให้ประเทศผู้ส่งออกสินค้าที่ใช้วัตถุดิบจากประเทศอื่นที่เป็นสมาชิกอาเซียนสามารถนำมูลค่าวัตถุดิบจากประเทศเหล่านั้นมาสะสมเพื่อให้ได้สัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบที่มีแหล่งกำเนิดในอาเซียนรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของราคาสินค้า F.O.B. โดยมีเงื่อนไขว่าสินค้าส่งออกนั้นต้องใช้วัตถุดิบของประเทศผู้ส่งออกอย่างน้อยร้อยละ 20 ของราคาสินค้า F.O.B. รวมทั้งต้องมีคุณสมบัติถูกต้องตามกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า
เป็นที่คาดว่าหากข้อเสนอดังกล่าวได้รับอนุมัติจากที่ประชุม AEM ในเดือนเมษายน 2548 ประเทศสมาชิกอาเซียนจะเริ่มนำ CRO มาใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2548 และจะทำการทบทวนหลังจากมีผลบังคับใช้แล้ว 1 ปี สำหรับสูตรการคำนวณสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบที่มีแหล่งกำเนิดในอาเซียนตามกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าแบบสะสมของอาเซียนมีดังนี้
มูลค่าวัตถุดิบในประเทศ + มูลค่าวัตถุดิบจากประเทศสมาชิกอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียน x 100 ? 40
------------------------------------------------------------------------------
ราคาสินค้า F.O.B.
ทั้งนี้ หลายฝ่ายแสดงทัศนะเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของการที่จะนำกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าแบบสะสมมาใช้ ซึ่งประมวลได้ดังนี้
ข้อดี
เพิ่มปริมาณการค้าในกลุ่มอาเซียน เนื่องจากประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถนำมูลค่าวัตถุดิบของประเทศสมาชิกอื่นมาสะสมเพื่อให้ได้แหล่งกำเนิดสินค้าในอาเซียน
เพิ่มศักยภาพการแข่งขันกับประเทศนอกกลุ่ม โดยเฉพาะประเทศที่ได้เปรียบด้านต้นทุนวัตถุดิบเช่น จีน อินเดีย และรัสเซีย เนื่องจากเป็นการนำวัตถุดิบจากหลายประเทศในกลุ่มอาเซียนมารวมกัน เพื่อผลิตเป็นสินค้าและขอใช้สิทธิพิเศษทางภาษีในการส่งออกไปยังประเทศสมาชิกอาเซียน ทำให้มีความได้เปรียบในการแข่งขันกับประเทศนอกกลุ่ม
ข้อเสีย
สัดส่วนการใช้วัตถุดิบในแต่ละประเทศมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากมีการกำหนดวัตถุดิบตั้งต้นของประเทศผู้ส่งออกขั้นต่ำไว้เพียงร้อยละ 20 ทำให้ประเทศผู้ส่งออกสามารถนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศสมาชิกอื่นได้สูงสุดถึงร้อยละ 80
การปลอมแปลงแหล่งกำเนิดสินค้าทำได้ง่าย เพราะมีเอกสารที่เกี่ยวข้องมากทำให้ตรวจสอบได้ยาก
ไม่เกื้อหนุนให้เกิดการผลิตในลักษณะครบวงจร เนื่องจากแต่ละประเทศสามารถนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศสมาชิกอื่นเพื่อนำมาผลิตร่วมกับวัตถุดิบในประเทศ
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มีนาคม 2548--
-พห-
ทั้งนี้ สินค้าส่งออกของประเทศสมาชิกที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับ ROO ภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนต้องเข้าข่ายเกณฑ์หนึ่งเกณฑ์ใดดังต่อไปนี้
เป็นสินค้าที่ผลิตขึ้นโดยใช้วัตถุดิบของประเทศผู้ส่งออกทั้งหมด อาทิ ผลผลิตทางการเกษตรที่มีการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวได้ในประเทศนั้น สัตว์มีชีวิตที่เกิดและเติบโตในประเทศนั้นรวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ดังกล่าว และผลิตภัณฑ์แร่ธาตุซึ่งสกัดจากพื้นดิน พื้นน้ำ หรือท้องทะเลของประเทศนั้น เป็นต้น
เป็นสินค้าที่มีสัดส่วนของมูลค่าวัตถุดิบที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศผู้ส่งออก (ASEAN Local Content) อย่างน้อยร้อยละ 40 ของราคาสินค้า F.O.B. (ราคาสินค้ารวมค่าใช้จ่ายทุกชนิดยกเว้นค่าระวางและค่าประกันสินค้า จนกว่าสินค้าพร้อมที่จะส่งออกจากต้นทาง) และการแปรสภาพการผลิตขั้นสุดท้ายต้องกระทำในอาณาเขตของประเทศผู้ส่งออกเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers Meeting: AEM) ครั้งที่ 36 ระหว่างวันที่ 3-5 กันยายน 2547 ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการปรับปรุงกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าภายใต้ AFTA เพื่อให้การค้าระหว่างประเทศสมาชิกมีความคล่องตัวและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยมีมติเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าแบบสะสม (Cumulative Rules of Origin: CRO) ซึ่งอนุญาตให้ประเทศผู้ส่งออกสินค้าที่ใช้วัตถุดิบจากประเทศอื่นที่เป็นสมาชิกอาเซียนสามารถนำมูลค่าวัตถุดิบจากประเทศเหล่านั้นมาสะสมเพื่อให้ได้สัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบที่มีแหล่งกำเนิดในอาเซียนรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของราคาสินค้า F.O.B. โดยมีเงื่อนไขว่าสินค้าส่งออกนั้นต้องใช้วัตถุดิบของประเทศผู้ส่งออกอย่างน้อยร้อยละ 20 ของราคาสินค้า F.O.B. รวมทั้งต้องมีคุณสมบัติถูกต้องตามกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า
เป็นที่คาดว่าหากข้อเสนอดังกล่าวได้รับอนุมัติจากที่ประชุม AEM ในเดือนเมษายน 2548 ประเทศสมาชิกอาเซียนจะเริ่มนำ CRO มาใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2548 และจะทำการทบทวนหลังจากมีผลบังคับใช้แล้ว 1 ปี สำหรับสูตรการคำนวณสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบที่มีแหล่งกำเนิดในอาเซียนตามกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าแบบสะสมของอาเซียนมีดังนี้
มูลค่าวัตถุดิบในประเทศ + มูลค่าวัตถุดิบจากประเทศสมาชิกอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียน x 100 ? 40
------------------------------------------------------------------------------
ราคาสินค้า F.O.B.
ทั้งนี้ หลายฝ่ายแสดงทัศนะเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของการที่จะนำกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าแบบสะสมมาใช้ ซึ่งประมวลได้ดังนี้
ข้อดี
เพิ่มปริมาณการค้าในกลุ่มอาเซียน เนื่องจากประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถนำมูลค่าวัตถุดิบของประเทศสมาชิกอื่นมาสะสมเพื่อให้ได้แหล่งกำเนิดสินค้าในอาเซียน
เพิ่มศักยภาพการแข่งขันกับประเทศนอกกลุ่ม โดยเฉพาะประเทศที่ได้เปรียบด้านต้นทุนวัตถุดิบเช่น จีน อินเดีย และรัสเซีย เนื่องจากเป็นการนำวัตถุดิบจากหลายประเทศในกลุ่มอาเซียนมารวมกัน เพื่อผลิตเป็นสินค้าและขอใช้สิทธิพิเศษทางภาษีในการส่งออกไปยังประเทศสมาชิกอาเซียน ทำให้มีความได้เปรียบในการแข่งขันกับประเทศนอกกลุ่ม
ข้อเสีย
สัดส่วนการใช้วัตถุดิบในแต่ละประเทศมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากมีการกำหนดวัตถุดิบตั้งต้นของประเทศผู้ส่งออกขั้นต่ำไว้เพียงร้อยละ 20 ทำให้ประเทศผู้ส่งออกสามารถนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศสมาชิกอื่นได้สูงสุดถึงร้อยละ 80
การปลอมแปลงแหล่งกำเนิดสินค้าทำได้ง่าย เพราะมีเอกสารที่เกี่ยวข้องมากทำให้ตรวจสอบได้ยาก
ไม่เกื้อหนุนให้เกิดการผลิตในลักษณะครบวงจร เนื่องจากแต่ละประเทศสามารถนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศสมาชิกอื่นเพื่อนำมาผลิตร่วมกับวัตถุดิบในประเทศ
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มีนาคม 2548--
-พห-