แท็ก
Investment
ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน (Agreement for the Promotion and Protection of investment) เป็นความตกลงระหว่างประเทศในลักษณะทวิภาคี ที่ประเทศหนึ่งตกลงให้ความคุ้มครองแก่นักลงทุนจากอีกประเทศหนึ่งซึ่งเป็นคู่สัญญาที่ได้เข้ามาลงทุนในประเทศของตน ทั้งนี้ เพื่อให้นักลงทุนจากต่างประเทศเหล่านั้นได้รับความเป็นธรรมทั้งตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายของประเทศที่เข้าไปลงทุน
ความเป็นมา
แนวคิดในการจัดทำความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศในลักษณะทวิภาคีได้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2501 โดยองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD (Organization for Economic Coorperation and Development) ได้ริเริ่มจัดทำความตกลงฯ ดังกล่าวขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นว่ากฎหมายภายในประเทศต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยและบางครั้งก็เปลี่ยนแปลงแก้ไขโดยที่ไม่มีการแจ้งล่วงหน้า จึงสมควรจัดทำความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศขึ้น เพื่อให้ความคุ้มครองทรัพย์สินของนักลงทุนที่เป็นสมาชิก OECD ที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศ เยอรมนีเป็นประเทศแรกที่นำความตกลงฯ ที่ OECD ได้จัดทำขึ้นไป ลงนามกับปากีสถานในปี 2502
ต่อมา ประเทศอื่นๆ ที่มิได้เป็นสมาชิก OECD เห็นว่าความตกลงฯ ดังกล่าวมีประโยชน์ต่อการส่งเสริมและคุ้มครองนักลงทุนของตนที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศจึงได้นำความตกลงฯ ดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ สำหรับประเทศไทยได้ลงนามในความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนกับเยอรมนีเป็นประเทศแรก เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2504 จากนั้นก็ได้ใช้ความตกลงฉบับนี้เป็นแนวทางในการจัดทำความตกลงฯ กับประเทศอื่นๆ ปัจจุบันไทยได้ลงนามในความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนในลักษณะทิวภาคีกับประเทศต่างๆ และมีผลบังคับแล้วกับ 18 ประเทศ ได้แก่ เยอรมนรี เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร (บริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ) จีน อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ลาว ฮังการี เวียดนาม เปรู โปแลนด์ โรมาเนีย สาธารณรัฐเช็ก ฟินแลนด์ กัมพูชา ฟิลิปปินส์ ศรีลังกาและไต้หวันตามลำดับ
สาระสำคัญของความตกลงฯ
ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน มีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน ได้แก่
1. ขอบเขตของความคุ้มครอง
-นักลงทุนของประเทศภาคีคู่สัญญาต้องได้รับการคุ้มครองและปฏิบัติอย่างเป็นธรรมตามหลักการที่สำคัญ 2 ประการ คือ
-หลักการที่ปฏิบัติเยี่ยงคนในชาติ (National Treatment) กล่าวคือ รัฐบาลของประเทศภาคีคู่สัญญาจะปฏิบัติต่อนักลงทุนต่างชาติเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อนักลงทุนท้องถิ่นทุกประการ
-หลักการปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง (Most-Favoured Nation Treatment : MFN)
-นักลงทุนจากประเทศภาคีคู่สัญญาได้รับหลักประกันว่าการลงทุนของตนจะไม่ถูกโอนกิจการเป็นของรัฐ รวมทั้งได้รับหลักประกันว่าจะไม่ถูกใช้มาตรการอื่นๆ ที่มีผลเทียบเท่ากับ ยกเว้นในกรณีที่เป็นการเวนคืนตามกฎหมายเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม โดยนักลงทุนที่ถูกเวนคืนจะได้รับการจ่ายเงินทดแทนตามมูลค่าตลาดของการลงทุนที่ถูกเวนคืนรวมทั้งได้รับการจ่ายคืนดอกเบี้ยในอัตราที่เป็นธรรมในกรณีที่มีการจ่ายเงินทดแทนคืนล่าช้ากว่ากำหนด นอกจากนี้ ในกรณีที่เกิดสงครามหรือความวุ่นวายทางการเมืองอื่นๆ นักลงทุนจากประเทศภาคีคู่สัญญาจะได้รับการจ่ายเงินทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรม
-นักลงทุนจากประเทศภาคีคู่สัญญาสามารถเคลื่อนย้ายเงินทุน ผลตอบแทนจากการลงทุน และค่าทดแทนจากการถูกเวนคืนออกนอกประเทศได้อย่างเสรี รวมทั้งสามารถแลกเปลี่ยนเงินสกุลท้องถิ่นเป็นเงินตราต่างประเทศสกุลใดๆ ก็ได้ตามอัตราแลกเปลี่ยนในท้องตลาด ณ วันที่มีการโอนเงินออกนอกประเทศ
2. การระงับข้อพิพาท
การระงับข้อพิพาทต ามกรอบความตกลงฯ นี้ แบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้
2.1 กรณีพิพาทระหว่างนักลงทุนกับรัฐ คู่ กรณีสามารถเลือกวิธีระงับข้อพิพาทวิธีใดวิธีหนึ่งจาก 4 วิธีได้แก่
-วิธีการเจรจา โดยคู่กรณีมาเจรจา เพื่อหาทางระงับข้อพิพาทกันเองโดยไม่พึ่งกระบวนการทางกฎหมาย
-ศาลภายใน โดยคู่กรณีตกลงให้ศาลภายในประเทศของประเทศภาคีคู่สัญญาประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นผู้พิจารณาข้อพิพาท
-ศูนย์ระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการลงทุน (Internation Center for Settlement of Investment Dispute : ICSID) ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้พิจารณา ศูนย์นี้มีความเชี่ยวชาญในการตัดสินข้อพิพาทด้านการลงทุนระหว่างนักลงทุนในประเทศหนึ่งกับรัฐบาลในอีกประเทศหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ประเทศที่จะใช้วิธีการนี้ต้องเป็นรัฐภาคีตาม "อนุสัญญาว่าด้วยการระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการลงทุนระหว่างรัฐกับคนชาติของรัฐอื่น" ก่อนซึ่งปัจจุบันไทยได้ลงนามในอนุสัญญาฯ นี้แล้ว แต่อยู่ระหว่างการขอสัตยาบันจากรัฐบาลไทย เมื่อได้้รับสัตยาบันแล้ว ไทยจึงจะสามารถใช้การระงับข้อพิพาทด้วยวิธีนี้ได้
-คณะอนุญาโตตุลาการ (Arbitral Tribunal) โดยคู่กรณีตกลงตั้งคณะอนุญาโตตุลาการเฉพาะกิจ (Ad Hoc Arbitral Tribunal) หรือ คณะอนุญาโตตุลาการตามหลักกฎหมายของ The United Nations Commission on the International Trade Law (UNCITRAL) เป็นผู้พิจารณาข้อพิพาท
2.2 กรณีพิพาทระหว่างรัฐกับรัฐ เป็นกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย เพราะจะส่งผลต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามที่ต้องมีการกำหนดการระงับกรณีพิพาทวิธีนี้ขึ้น ก็เนื่องจากรัฐบาลของแต่ละประเทศต้องการสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนของประเทศตนที่เข้าไปลงทุนในต่างประเทศที่เป็นคู่สัญญาว่ารัฐพร้อมจะให้การปกป้องหากนักลงทุนต้องการ โดยรัฐจะเข้าไปเป็นคู่กรณีแทนนักลงทุนหากกรณีพิพาทเกินกำลังความสามารถของนักลงทุน ซึ่งการระงับกรณีพิพาทระหว่างรัฐกับรัฐนั้น อาจใช้วิธีการเจรจา โดยรัฐคู่กรณีเจรจาตกลงกันเองโดยไม่ต้องพึ่งกระบวนการทางกฎหมาย หรือรัฐคู่กรณีอาจตกลงตั้งคณะอนุญาโตตุลาการขึ้นมาเป็นผู้พิจารณาข้อพิพาทก็ได้
3. ระยะเวลาบังคับใช้
ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน จะมีผลบังคับใช้ในช่วงแรกเริ่ม (Initial Period) เป็นระยะเวลา 10 ปี เมื่อครบกำหนดและไม่มีประเทศภาคีคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบอกยกเลิก ความตกลงฯ ดังกล่าวก็จะมีผลบังคับใช้ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุด
วิธีปฏิบัติของนักลงทุนเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้โดยสมบูรณ์
นักลงทุนที่ต้องการไปลงทุนในต่างประเทศควรตรวจสอบกับกระทรวงต่างประเทศของตนหรือสถานทูตของตนที่ตั้งในประเทศที่ต้องการเข้าไปลงทุนว่าประเทศนั้นมีความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนกับประเทศตนหรือไม่ หากมีความตกลงระหว่างกัน ความตกลงฯ นั้นจะให้ความคุ้มครองโดยอัตโนมัติหรือต้องยื่นเรื่องเพื่อขอรับความคุ้มครองกับหน่วยงานใดก่อนความคุ้มครองตามข้อตกลงจึงจะสมบูรณ์
สำหรับประเทศไทยได้กำหนดให้นักลงทุนจากต่างชาติที่เป็นภาคีคู่สัญญาตามข้กตกลงฯ กับไทยจะต้องยื่นเรื่องขออนุมัติการออก Certificate of Admission หรือ C.A. เป็นลายลักษณ์อักษรจากกรมเศรษฐกิจ กระทรวงการต่างประเทศโครงการลงทุนที่ได้รับ C.A. แล้วเท่านั้น จึงจะได้รับความคุ้มครองตามข้อตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศอย่างสมบูรณ์
--Exim News, ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย, ปีที่ 4 ฉบับที่ 9 ประจำเดือน กันยายน--
ความเป็นมา
แนวคิดในการจัดทำความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศในลักษณะทวิภาคีได้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2501 โดยองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD (Organization for Economic Coorperation and Development) ได้ริเริ่มจัดทำความตกลงฯ ดังกล่าวขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นว่ากฎหมายภายในประเทศต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยและบางครั้งก็เปลี่ยนแปลงแก้ไขโดยที่ไม่มีการแจ้งล่วงหน้า จึงสมควรจัดทำความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศขึ้น เพื่อให้ความคุ้มครองทรัพย์สินของนักลงทุนที่เป็นสมาชิก OECD ที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศ เยอรมนีเป็นประเทศแรกที่นำความตกลงฯ ที่ OECD ได้จัดทำขึ้นไป ลงนามกับปากีสถานในปี 2502
ต่อมา ประเทศอื่นๆ ที่มิได้เป็นสมาชิก OECD เห็นว่าความตกลงฯ ดังกล่าวมีประโยชน์ต่อการส่งเสริมและคุ้มครองนักลงทุนของตนที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศจึงได้นำความตกลงฯ ดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ สำหรับประเทศไทยได้ลงนามในความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนกับเยอรมนีเป็นประเทศแรก เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2504 จากนั้นก็ได้ใช้ความตกลงฉบับนี้เป็นแนวทางในการจัดทำความตกลงฯ กับประเทศอื่นๆ ปัจจุบันไทยได้ลงนามในความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนในลักษณะทิวภาคีกับประเทศต่างๆ และมีผลบังคับแล้วกับ 18 ประเทศ ได้แก่ เยอรมนรี เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร (บริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ) จีน อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ลาว ฮังการี เวียดนาม เปรู โปแลนด์ โรมาเนีย สาธารณรัฐเช็ก ฟินแลนด์ กัมพูชา ฟิลิปปินส์ ศรีลังกาและไต้หวันตามลำดับ
สาระสำคัญของความตกลงฯ
ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน มีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน ได้แก่
1. ขอบเขตของความคุ้มครอง
-นักลงทุนของประเทศภาคีคู่สัญญาต้องได้รับการคุ้มครองและปฏิบัติอย่างเป็นธรรมตามหลักการที่สำคัญ 2 ประการ คือ
-หลักการที่ปฏิบัติเยี่ยงคนในชาติ (National Treatment) กล่าวคือ รัฐบาลของประเทศภาคีคู่สัญญาจะปฏิบัติต่อนักลงทุนต่างชาติเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อนักลงทุนท้องถิ่นทุกประการ
-หลักการปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง (Most-Favoured Nation Treatment : MFN)
-นักลงทุนจากประเทศภาคีคู่สัญญาได้รับหลักประกันว่าการลงทุนของตนจะไม่ถูกโอนกิจการเป็นของรัฐ รวมทั้งได้รับหลักประกันว่าจะไม่ถูกใช้มาตรการอื่นๆ ที่มีผลเทียบเท่ากับ ยกเว้นในกรณีที่เป็นการเวนคืนตามกฎหมายเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม โดยนักลงทุนที่ถูกเวนคืนจะได้รับการจ่ายเงินทดแทนตามมูลค่าตลาดของการลงทุนที่ถูกเวนคืนรวมทั้งได้รับการจ่ายคืนดอกเบี้ยในอัตราที่เป็นธรรมในกรณีที่มีการจ่ายเงินทดแทนคืนล่าช้ากว่ากำหนด นอกจากนี้ ในกรณีที่เกิดสงครามหรือความวุ่นวายทางการเมืองอื่นๆ นักลงทุนจากประเทศภาคีคู่สัญญาจะได้รับการจ่ายเงินทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรม
-นักลงทุนจากประเทศภาคีคู่สัญญาสามารถเคลื่อนย้ายเงินทุน ผลตอบแทนจากการลงทุน และค่าทดแทนจากการถูกเวนคืนออกนอกประเทศได้อย่างเสรี รวมทั้งสามารถแลกเปลี่ยนเงินสกุลท้องถิ่นเป็นเงินตราต่างประเทศสกุลใดๆ ก็ได้ตามอัตราแลกเปลี่ยนในท้องตลาด ณ วันที่มีการโอนเงินออกนอกประเทศ
2. การระงับข้อพิพาท
การระงับข้อพิพาทต ามกรอบความตกลงฯ นี้ แบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้
2.1 กรณีพิพาทระหว่างนักลงทุนกับรัฐ คู่ กรณีสามารถเลือกวิธีระงับข้อพิพาทวิธีใดวิธีหนึ่งจาก 4 วิธีได้แก่
-วิธีการเจรจา โดยคู่กรณีมาเจรจา เพื่อหาทางระงับข้อพิพาทกันเองโดยไม่พึ่งกระบวนการทางกฎหมาย
-ศาลภายใน โดยคู่กรณีตกลงให้ศาลภายในประเทศของประเทศภาคีคู่สัญญาประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นผู้พิจารณาข้อพิพาท
-ศูนย์ระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการลงทุน (Internation Center for Settlement of Investment Dispute : ICSID) ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้พิจารณา ศูนย์นี้มีความเชี่ยวชาญในการตัดสินข้อพิพาทด้านการลงทุนระหว่างนักลงทุนในประเทศหนึ่งกับรัฐบาลในอีกประเทศหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ประเทศที่จะใช้วิธีการนี้ต้องเป็นรัฐภาคีตาม "อนุสัญญาว่าด้วยการระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการลงทุนระหว่างรัฐกับคนชาติของรัฐอื่น" ก่อนซึ่งปัจจุบันไทยได้ลงนามในอนุสัญญาฯ นี้แล้ว แต่อยู่ระหว่างการขอสัตยาบันจากรัฐบาลไทย เมื่อได้้รับสัตยาบันแล้ว ไทยจึงจะสามารถใช้การระงับข้อพิพาทด้วยวิธีนี้ได้
-คณะอนุญาโตตุลาการ (Arbitral Tribunal) โดยคู่กรณีตกลงตั้งคณะอนุญาโตตุลาการเฉพาะกิจ (Ad Hoc Arbitral Tribunal) หรือ คณะอนุญาโตตุลาการตามหลักกฎหมายของ The United Nations Commission on the International Trade Law (UNCITRAL) เป็นผู้พิจารณาข้อพิพาท
2.2 กรณีพิพาทระหว่างรัฐกับรัฐ เป็นกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย เพราะจะส่งผลต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามที่ต้องมีการกำหนดการระงับกรณีพิพาทวิธีนี้ขึ้น ก็เนื่องจากรัฐบาลของแต่ละประเทศต้องการสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนของประเทศตนที่เข้าไปลงทุนในต่างประเทศที่เป็นคู่สัญญาว่ารัฐพร้อมจะให้การปกป้องหากนักลงทุนต้องการ โดยรัฐจะเข้าไปเป็นคู่กรณีแทนนักลงทุนหากกรณีพิพาทเกินกำลังความสามารถของนักลงทุน ซึ่งการระงับกรณีพิพาทระหว่างรัฐกับรัฐนั้น อาจใช้วิธีการเจรจา โดยรัฐคู่กรณีเจรจาตกลงกันเองโดยไม่ต้องพึ่งกระบวนการทางกฎหมาย หรือรัฐคู่กรณีอาจตกลงตั้งคณะอนุญาโตตุลาการขึ้นมาเป็นผู้พิจารณาข้อพิพาทก็ได้
3. ระยะเวลาบังคับใช้
ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน จะมีผลบังคับใช้ในช่วงแรกเริ่ม (Initial Period) เป็นระยะเวลา 10 ปี เมื่อครบกำหนดและไม่มีประเทศภาคีคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบอกยกเลิก ความตกลงฯ ดังกล่าวก็จะมีผลบังคับใช้ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุด
วิธีปฏิบัติของนักลงทุนเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้โดยสมบูรณ์
นักลงทุนที่ต้องการไปลงทุนในต่างประเทศควรตรวจสอบกับกระทรวงต่างประเทศของตนหรือสถานทูตของตนที่ตั้งในประเทศที่ต้องการเข้าไปลงทุนว่าประเทศนั้นมีความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนกับประเทศตนหรือไม่ หากมีความตกลงระหว่างกัน ความตกลงฯ นั้นจะให้ความคุ้มครองโดยอัตโนมัติหรือต้องยื่นเรื่องเพื่อขอรับความคุ้มครองกับหน่วยงานใดก่อนความคุ้มครองตามข้อตกลงจึงจะสมบูรณ์
สำหรับประเทศไทยได้กำหนดให้นักลงทุนจากต่างชาติที่เป็นภาคีคู่สัญญาตามข้กตกลงฯ กับไทยจะต้องยื่นเรื่องขออนุมัติการออก Certificate of Admission หรือ C.A. เป็นลายลักษณ์อักษรจากกรมเศรษฐกิจ กระทรวงการต่างประเทศโครงการลงทุนที่ได้รับ C.A. แล้วเท่านั้น จึงจะได้รับความคุ้มครองตามข้อตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศอย่างสมบูรณ์
--Exim News, ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย, ปีที่ 4 ฉบับที่ 9 ประจำเดือน กันยายน--