นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานสัมชชาประชาชน กล่าวปิดการประชุมสมัชชาประชานที่มีขึ้น ตั้งแต่วันที่ 8-9 ตุลาคม ที่ผ่านมาว่า พี่น้องชาวสมัชชาประชาชนที่เคารพรักทุกท่าน ก่อนอื่นผมขอแสดงความขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้สมัชชา 2 วันที่ผ่านมาดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ราบรื่น การจัดประชุมคนกว่าสามพันคนในรูปแบบที่ไม่เคยมีใครทำหรือทดลองทำมาก่อน ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ผมจึงขอแสดงความขอบคุณทีมงานและทุกฝ่ายที่ทำให้การประชุมดำเนินการลุล่วงไปด้วยดี
พี่น้องสมัชชาประชาชนที่เคารพครับ ผมก็คงเหมือนกับท่านทั้งหลาย แม้จะเป็นผู้ที่มีความคิดผลักดันให้มีการประชุมสมัชชาผมเรียนว่า ผมเดินเข้ามาสู่ที่ประชุมเมื่อวาน ด้วยเครื่องหมายคำถามในใจมากมาย ผมไม่เคยแม้แต่พลิกบัตรผมดูเลยครับว่าผมนั่งอยู่ที่ไหน ไม่เคยไปขอดูเลยว่านั่งกับใคร แต่ว่าเมื่อตกลงกันว่าเราจะจัดเวทีเพื่อมาร่วมในการระดมความคิดเห็นนำเอาพลังสร้างสรรทั้งหลายที่มีอยู่จากผู้คนที่หลากหลายแล้ว ก็อยากมาด้วยจิตใจที่แน่วแน่ ที่จะเดินหน้า แน่นอนด้วยความกังวลว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่เราตั้งความหวังไว้หรือไม่ ผมได้เรียนท่านทั้งหลายแล้ว 2 วันที่ผ่านมาที่เรียบร้อย ราบรื่น เป็นเรื่องน่าประทับใจว่าเกิดขึ้นจากวินัยและความตั้งใจของพวกเราทุกคน แต่ยังมีอีกหลายต่อหลายสิ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ที่ทำให้ผมมีความประทับใจมีความมั่นใจ และมีความศรัทธามากยิ่งขึ้นในกระบวนของประชาชน
เมื่อวานนี้ เมื่อเริ่มต้นในกระบวนการสมัชชา ผมเป็นคู่สนทนากับภรรยาของทนายสมชาย นีระไพจิตร ผมไม่ทราบมาก่อน แต่ว่าเมื่อผมกับท่านมาเป็นคู่สนทนากัน ผมก็ทำหน้าที่ในการสัมภาษณ์ ประทับใจที่สุดคือ นี่คือบุคคลที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุดจากสภาพปัญหาบ้านเมืองในปัจจุบัน คำตอบและความคิดที่ท่านให้กับผม ไม่ได้มีการสะท้อนความรู้สึก ที่เป็นความโกรธ ความแค้น หรืออารมณ์ แต่สิ่งที่ท่านเล่าให้ผมฟังมันผ่านจากกระบวนการของการไตร่ตรอง และนำเสนอด้วยหัวใจที่คิดถึงคนอื่น คิดถึงอนาคต ผมไม่ทราบว่าท่านได้มีโอกาส พูดคุย สนทนากับใครบ้าง แต่เฉพาะประสบการณ์ตรงนี้ ส่วนตัวของผมถือว่ายิ่งใหญ่ และทำให้ผมมีความมั่นใจในกระบวนการของการปรึกษาหารือและการระดมความคิดของทุกๆคน
ช่วงบ่ายผมอาจจะไม่ใช่สมาชิกสมัชชาที่ไม่ดีนัก เพราะได้ขออนุญาตท่านวิทยากรว่า จะถือโอกาสพบปะเพื่อแสดงความขอบคุณ ทุกท่านที่ได้มาร่วมกิจกรรม แต่ก็ถือว่าได้มีโอกาสเป็นผู้สังเกตการณ์ในการแสดงความคิดเห็น ก็มีภาพประทับใจที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายภาพ ผมเห็นผู้คนหลากหลายล้อมวงกัน จากวงเล็กไปสู่วงใหญ่ ช่วยกันพูด ช่วยกันเขียน บางท่านใส่สูท บางทางก็เป็นคนของพรรค บางท่านก็เป็นประชาชน ซึ่งมาจากหลากหลายภูมิภาคและหลายหลายอาชีพ แต่ความหลากหลาย หรือความแตกต่าง ไม่ได้ไปสู่ความขัดแย้งแต่อย่างใดเลย มีแต่การสร้างความกระตือรือล้นให้แต่ละคนอยากจะเรียนรู้จากคนอื่นมากขึ้น ผ่านการมีความคิดและผ่านกระบวนการของการฟัง หลายคนคุกเข่าเขียนกับพื้น อยากที่จะมีโอกาส ที่จะเป็นตัวแทน เป็นปากเสียงแทนกลุ่มของตัวเอง ได้พูดต่อที่ประชุมใหญ่ คงนึกภาพออกหลายท่านแทบจะต่อตัวขึ้นไปชูป้ายเพื่อที่จะได้บอกกับสมัชชาและบอกกับชาวโลกว่า นี่คือสิ่งที่เราคิด นี่คือสิ่งที่เราใฝ่ฝัน นี่คือสิ่งที่เราอยากจะทำ
สิ่งเหล่านี้คือความประทับใจที่เกิดขึ้นในเชิงกระบวนการ และเมื่อสิ้นสุดวันแรกเราเก็บเกี่ยวประเด็นที่เป็น ความห่วงใยที่เป็นสิ่งที่พี่น้องอยากจะสร้างสรรค์เพื่อจัดระบบการประชุมในวันนี้ที่รวบยอดมา 7 ประเด็น ผมมีความรู้สึกประทับใจว่าประเด็นที่ได้ถูกรวบรวมออกมามันสะท้อนให้เห็นถึงความรอบด้านในการมองปัญหาของประเทศผสมผสานทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ผสมผสานทั้งปัญหาที่เชื่อมโยงอยู่กับสถานการณ์ในปัจจุบันที่เป็นข่าวเป็นคราว แต่ขณะเดียวกันไม่ได้ละทิ้งซึ่งปัญหาที่ไม่ได้อยู่ในหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ แต่เป็นความเป็นความตาย ความอยู่รอดหรือตัวชี้ขาดความเจริญก้าวหน้าของประเทศในวันข้างหน้า และมาวันนี้ก็มีการระดมความเห็นตามหัวข้อซึ่งเป็นข้อยุติจากการประชุมเมื่อวานนี้ ผมอัศจรรย์ใจอย่างหนึ่งครับ เมื่อวันที่เราพู ดถึงการจัดสมัชชาเพื่อมาเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองเพื่อนำไปสู่กระบวนการในเรื่องนโยบายผมจะเจอคำถามมาโดยตลอด จะเป็นคำถามที่อยู่บนพื้นฐานของความหวาดระแวงหรือประสบการณ์ก็แล้วแต่ความ พรรคการเมืองอยากจะมาทำกระบวนการเหล่านี้ทำไมเช่น นี้จะเป็นเวทีเพื่อที่จะมาต่อสู่ขับเขี้ยวกันทางการเมือง ในแง่ของการวิจารณ์ต่อว่าต่อขานผู้อื่นหรือไม่ แต่ท่านเห็นไหมครับว่า 7 ท่านที่มาสรุปบนเวทีนี้ไม่ได้ต่อว่าไม่ได้กล่าวร้ายใครเลยแม้แต่คนเดียว แม้แต่คำเดียว
ผมเจอคำถามที่ว่าทำกระบวนการแบบนี้ เหมือนกับเป็นอีกรูปแบบของประชานิยม หรือไม่ ผมเดินมาตั้งแต่ กลุ่มละ 8 คน กลุ่มละ 32 คน ผมเดินดูทั้ง 7 ห้องผมไม่เห็นข้อเสนอใหนเลยครับ ที่บอกว่าต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้ หรือเรียกร้องอย่างนี้เพราะฉันต้องการอย่างนี้ ไม่มีครับ มีแต่ต้องการเห็นสิ่งนี้ อยากให้ทำอย่างนี้ เพราะนี่คือส่งที่เราเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับบ้านเมือง และสำหรับส่วนรวมสำหรับอนาคต
ผมจึงอยากจะเรียนกับท่านทั้งหลายว่า 2 วันที่ผ่านมาท่านช่วยยืนยันศรัทธาของผม และพรรคประชาธิปัตย์ว่าพี่น้องประชาชน สามารถที่จะกำหนดอนาคตของตัวเองอย่างรอบครอบ และสร้างสรรบนพลังของเหตุผลและการไตร่ตรอง นี้คือพื้นฐานที่แข็งแกรงที่สุด สำหรับทั้งสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่จะก้าวเดินต่อไป
อย่างที่หลายท่านได้กล่าวว่า ทุกความเห็นทุกความคิด ได้มีการบันทึกไว้ในรูปแบบใด รูปแบบหนึ่ง มองรอบห้องท่านจะเห็นครับกระดาษ ซึ่งเป็นผลงานของท่านทั้งหลายมี ทั้งข้อเขียน มีทั้งบทกลอน เราจะรวบรวมความเห็นทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะที่ได้ถูกนำเสนอเป็นการสังเคราะห์ หรือการสรุปบนเวทีเท่านั้น และสิ่งที่เราจะดำเนินการต่อไปได้ปรึกษากับเลขาธิการ และคณะผู้บริหารบางส่วนแล้ว ก็คือเราจะมีการให้นักวิชาการที่มีความเป็นอิสระ เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้เพื่อนำเสนอให้พรรคได้ดำเนินการสอดคล้องกับแนวความคิดต่างๆที่พี่น้องได้ให้กับเราไว้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ขอให้ท่านมั่นใจและภาคภูมิใจว่าความคิดทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้น ที่ท่านได้พูด ที่ท่านได้ฟังนั้นล้วนแล้วแต่จะได้นำไปใช้ประโยชน์ทั้งสิ้น และผมเรียนครับ ประโยชน์ที่พรรคคิดจะนำไปใช้ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่หลายคนสงสัย หรือมองว่า เป็นเพียงการเตรียมการเลือกตั้ง ในอีก 3-4 ปีข้างหน้าไม่ใช่ ผมยืนยัน ต่อหน้าท่านทั้งหลายเลยว่าทุกความคิดพรรคประชาธิปัตย์จะนำไปใช้โดยเร็วที่สุด
แน่นอนหลายเรื่องโดยเฉพาะข้อเสนอในเชิงนโยบาย เราต้องยอมรับระบบของเรา เราไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหาร และถ้าเป็นนโยบายเป็นความคิดที่แตกต่าง รัฐบาลย่อมมีสิทธิที่จะยึดถือ นโยบายของรัฐบาลแต่อย่างไรก็ตาม หลายเรื่องที่เป็นข้อเสนอนี้อยู่ในขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของพวกเราในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย ข้อเสนอ ในเชิงกฏหมาย เราจะดำเนินการมอบหมายให้คณะทำงานด้านกฎหมายไปดำเนินการทันทีว่าจัดทำเป็นรูปแบบแบบจำลอง เป็นตุ๊กตา เป็นร่างกฎหมายที่จะนำเสนอ เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของฝ่ายนิติบัญัติได้หรือไม่
ข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับนโยบายในเชิงการให้คำแนะนำกับรัฐบาล แม้รัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไรก็ตามเราก็พร้อมเสนอในฐานะที่เป็นปากเสียงของทุกๆท่านพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน แต่ว่าสำคัญไปกว่านั้นคือว่าพรรคไม่ต้องการกลับไปสู่ระบบที่แยกกันเดิน หลายเรื่องผมเชิญชวนให้ทุกท่านมาร่วมเดินกับเราต่อไป แม้กระทั้งในเรื่องกฎหมายไม่ใช่เฉพาะสภาผู้แทนราษฎร ที่จะเสนอแก้ไขได้ในวันนี้ แต่พี่น้องประชานก็ทำได้เช่นเดียวกัน เราจะร่วมกันปรึกษาเพื่อผลักดันสิ่งเหล่านี้ และถ้าเรารวมพลังกันแม้เป็นเสียงข้างน้อยในสภา ผมเชื่อว่ารัฐบาลก็ต้องฟัง หรือถึงไม่ฟังก้ต้องได้ยิน
งานต่างๆเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ผมให้ความมั่นใจว่าจะเป็นงานที่มาช่วยกำหนดกรอบการทำงานในช่วงจากนี้ไปทั้งในฐานะฝ่ายนิติบัญัติ ในฐานะฝ่ายค้าน ทั้งในฐานะพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชน เรื่องหนึ่งซึ่งผมคงจะต้องพูดเป็นพิเศษ และรบกวนพี่น้องประชาชนในห้องนี้ คือเรื่องของปัญหา 3 จังหวัด ที่ผมหยิบเรื่องนี้เป็นพิเศษไม่ใช่ว่า ผมบอกว่ามันสำคัญกว่าเรื่องอื่น แต่เวลานี้มันเป็นปัญหาเร่งด่วน และผมคิดว่าผมฟังมา 2 วันทุกคนยอมรับว่ามันไม่ใช่ปัญหาของคน 3 จังหวัด แต่เป็นปัญหาของชาติ เราอาจจะไม่สามารถไปกำหนดนโยบายให้รัฐบาลได้ในภาวะอย่างนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ คือการเดินหน้าหลอมรวมพี่น้องประชนเพื่อสร้างความสามัคคีให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพราะที่เราพูดคุยกัน ในเรื่องของปัญหานี้นอกเหนือจากเรื่องนโยบายความห่วงใยที่ออกมาจากจิตใจของหลายท่านก็คือขณะนี้เรื่องนี้กำลังบานปลายไปสู่ความแตกแยก ซึ่งจะทำให้บ้านเมือง และประชาชนของเรา อ่อนแอ ฉะนั้นเหมือนกับทุกเรื่องที่มีข้อเสนอมาว่าพี่น้องประชาชน ภาคประชาชนยังต้องออกไปทำงานสร้างเครือข่ายเพื่อผลักดันเรื่องนั้น เรื่องนี้ เรื่องนี้ ผมขอร้องท่านเป็นพิเศษ ถ้ามีเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่จะต้องมาขอ หรือมาชี้นำพี่น้องในที่ประชุมวันนี้ ผมขอเรื่องนี้ครับ ช่วยสร้างความปองดองความสมานฉันท์ สามัคคีให้เกิดเร็วที่สุด
เพราะผมคิดว่าอย่างน้อย 3000 คน ที่เป็นแบบจำลองของ60 ล้านคน 2 วันที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าถ้าเราทบทวนตัวเอง รู้จักร่วมคิด รู้จักฟัง เราก้าวข้าม ก้าวพ้นความแตกต่าง แม้กระทั้งความเจ็บปวดในอดีต และในปัจจุบันได้ สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมอยากฝากทุกท่านไว้ และผมขอเรียนว่าการทำงานต่อเนื่องในทุกประเด็น ไม่ใช่เฉพาะปัญหานี้ จะขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ ท่านเลขาธิการได้รายงานแต่เช้าเมื่อวาน(8ต.ค.)ว่าจะต้องมีการประชุมสมัชชาครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 จะต้องมีการนำเอารูปแบบการประชุมตรงนี้ ไปดำเนินการในภูมิภาค ในจังหวัดต่าง เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นหลักประกันของความต่อเนื่อง และสิ่งที่ท่านทั้งหลายมีส่วนริเริ่มและสร้างขึ้นมา ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา
พี่น้องที่เคารพครับ ผมเรียนเป็นประเด็นสุดท้าย ก็คือว่าผมเริ่มต้นกับเพื่อนในพรรค และต่อมากับท่านวิทยากร ต่อมาอีกกับหลายต่อหลายฝ่าย และในที่สุดกับท่านทั้งหลาย ด้วยความคาดหวังที่สูงบนความไม่แน่ใจ ความไม่มั่นใจ บนเครื่องหมายคำถามจากหลายต่อหลายฝ่าย ผมเรียนท่านตั้งแต่เมื่อวานว่าจะทำได้หรือ แต่ให้ตั้งทำถามว่า ทำไมจะทำไม่ได้
เมื่อวานนี้ค่ำ เมื่อตอนรับประทานอาหาร ท่านคงจำการแสดงทั้ง 4 ภาค จังหวะรูปลักษณ์ของกลองเหล่านั้นแตกต่างกัน แต่ช่วงท้ายของการแสดงชุดนั้น ท่านได้เห็นแล้วผมได้ฟังแล้วว่าสามารถมาหลอมรวมกันได้อย่างมีพลังและเหลือเชื่อ ความคิดของท่านก็เหมือนจังหวะกลองครับ จังหวะกลองซึ่งแต่ละคนต่างก็มีจังหวะของตนเอง แต่ถ้าเราไม่เคยคิดทำ เรื่องของการหลอมรวม เราก็ต้องบอกว่าต่างคนก็ต่างเล่น แต่ 2 วันที่ผ่านมาเราได้ตัดสินใจร่วมกันแล้ว ผมคิดว่าเรามั่นใจแล้วว่า ที่สุดทุกความคิดตรงนี้ ที่จะแพร่ขยายไปทั่วประเทศ จะกลายมาเป็นจังหวะที่สามารถตีได้อย่างสอดคล้องกัน เพื่อเป็นพลังในการนำพาประเทศชาติเราไปสู่ความรุ่งเรืองและความผาสุขของประชาชนไทยทุกคน ครับ ผมของปิดสมัชชาประชาชน สมัยที่ 1 ครั้งที่ 1 ณ บัดนี้ครับ..ขอขอบพระคุณครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 9 ต.ค. 2548--จบ--
พี่น้องสมัชชาประชาชนที่เคารพครับ ผมก็คงเหมือนกับท่านทั้งหลาย แม้จะเป็นผู้ที่มีความคิดผลักดันให้มีการประชุมสมัชชาผมเรียนว่า ผมเดินเข้ามาสู่ที่ประชุมเมื่อวาน ด้วยเครื่องหมายคำถามในใจมากมาย ผมไม่เคยแม้แต่พลิกบัตรผมดูเลยครับว่าผมนั่งอยู่ที่ไหน ไม่เคยไปขอดูเลยว่านั่งกับใคร แต่ว่าเมื่อตกลงกันว่าเราจะจัดเวทีเพื่อมาร่วมในการระดมความคิดเห็นนำเอาพลังสร้างสรรทั้งหลายที่มีอยู่จากผู้คนที่หลากหลายแล้ว ก็อยากมาด้วยจิตใจที่แน่วแน่ ที่จะเดินหน้า แน่นอนด้วยความกังวลว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่เราตั้งความหวังไว้หรือไม่ ผมได้เรียนท่านทั้งหลายแล้ว 2 วันที่ผ่านมาที่เรียบร้อย ราบรื่น เป็นเรื่องน่าประทับใจว่าเกิดขึ้นจากวินัยและความตั้งใจของพวกเราทุกคน แต่ยังมีอีกหลายต่อหลายสิ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ที่ทำให้ผมมีความประทับใจมีความมั่นใจ และมีความศรัทธามากยิ่งขึ้นในกระบวนของประชาชน
เมื่อวานนี้ เมื่อเริ่มต้นในกระบวนการสมัชชา ผมเป็นคู่สนทนากับภรรยาของทนายสมชาย นีระไพจิตร ผมไม่ทราบมาก่อน แต่ว่าเมื่อผมกับท่านมาเป็นคู่สนทนากัน ผมก็ทำหน้าที่ในการสัมภาษณ์ ประทับใจที่สุดคือ นี่คือบุคคลที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุดจากสภาพปัญหาบ้านเมืองในปัจจุบัน คำตอบและความคิดที่ท่านให้กับผม ไม่ได้มีการสะท้อนความรู้สึก ที่เป็นความโกรธ ความแค้น หรืออารมณ์ แต่สิ่งที่ท่านเล่าให้ผมฟังมันผ่านจากกระบวนการของการไตร่ตรอง และนำเสนอด้วยหัวใจที่คิดถึงคนอื่น คิดถึงอนาคต ผมไม่ทราบว่าท่านได้มีโอกาส พูดคุย สนทนากับใครบ้าง แต่เฉพาะประสบการณ์ตรงนี้ ส่วนตัวของผมถือว่ายิ่งใหญ่ และทำให้ผมมีความมั่นใจในกระบวนการของการปรึกษาหารือและการระดมความคิดของทุกๆคน
ช่วงบ่ายผมอาจจะไม่ใช่สมาชิกสมัชชาที่ไม่ดีนัก เพราะได้ขออนุญาตท่านวิทยากรว่า จะถือโอกาสพบปะเพื่อแสดงความขอบคุณ ทุกท่านที่ได้มาร่วมกิจกรรม แต่ก็ถือว่าได้มีโอกาสเป็นผู้สังเกตการณ์ในการแสดงความคิดเห็น ก็มีภาพประทับใจที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายภาพ ผมเห็นผู้คนหลากหลายล้อมวงกัน จากวงเล็กไปสู่วงใหญ่ ช่วยกันพูด ช่วยกันเขียน บางท่านใส่สูท บางทางก็เป็นคนของพรรค บางท่านก็เป็นประชาชน ซึ่งมาจากหลากหลายภูมิภาคและหลายหลายอาชีพ แต่ความหลากหลาย หรือความแตกต่าง ไม่ได้ไปสู่ความขัดแย้งแต่อย่างใดเลย มีแต่การสร้างความกระตือรือล้นให้แต่ละคนอยากจะเรียนรู้จากคนอื่นมากขึ้น ผ่านการมีความคิดและผ่านกระบวนการของการฟัง หลายคนคุกเข่าเขียนกับพื้น อยากที่จะมีโอกาส ที่จะเป็นตัวแทน เป็นปากเสียงแทนกลุ่มของตัวเอง ได้พูดต่อที่ประชุมใหญ่ คงนึกภาพออกหลายท่านแทบจะต่อตัวขึ้นไปชูป้ายเพื่อที่จะได้บอกกับสมัชชาและบอกกับชาวโลกว่า นี่คือสิ่งที่เราคิด นี่คือสิ่งที่เราใฝ่ฝัน นี่คือสิ่งที่เราอยากจะทำ
สิ่งเหล่านี้คือความประทับใจที่เกิดขึ้นในเชิงกระบวนการ และเมื่อสิ้นสุดวันแรกเราเก็บเกี่ยวประเด็นที่เป็น ความห่วงใยที่เป็นสิ่งที่พี่น้องอยากจะสร้างสรรค์เพื่อจัดระบบการประชุมในวันนี้ที่รวบยอดมา 7 ประเด็น ผมมีความรู้สึกประทับใจว่าประเด็นที่ได้ถูกรวบรวมออกมามันสะท้อนให้เห็นถึงความรอบด้านในการมองปัญหาของประเทศผสมผสานทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ผสมผสานทั้งปัญหาที่เชื่อมโยงอยู่กับสถานการณ์ในปัจจุบันที่เป็นข่าวเป็นคราว แต่ขณะเดียวกันไม่ได้ละทิ้งซึ่งปัญหาที่ไม่ได้อยู่ในหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ แต่เป็นความเป็นความตาย ความอยู่รอดหรือตัวชี้ขาดความเจริญก้าวหน้าของประเทศในวันข้างหน้า และมาวันนี้ก็มีการระดมความเห็นตามหัวข้อซึ่งเป็นข้อยุติจากการประชุมเมื่อวานนี้ ผมอัศจรรย์ใจอย่างหนึ่งครับ เมื่อวันที่เราพู ดถึงการจัดสมัชชาเพื่อมาเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองเพื่อนำไปสู่กระบวนการในเรื่องนโยบายผมจะเจอคำถามมาโดยตลอด จะเป็นคำถามที่อยู่บนพื้นฐานของความหวาดระแวงหรือประสบการณ์ก็แล้วแต่ความ พรรคการเมืองอยากจะมาทำกระบวนการเหล่านี้ทำไมเช่น นี้จะเป็นเวทีเพื่อที่จะมาต่อสู่ขับเขี้ยวกันทางการเมือง ในแง่ของการวิจารณ์ต่อว่าต่อขานผู้อื่นหรือไม่ แต่ท่านเห็นไหมครับว่า 7 ท่านที่มาสรุปบนเวทีนี้ไม่ได้ต่อว่าไม่ได้กล่าวร้ายใครเลยแม้แต่คนเดียว แม้แต่คำเดียว
ผมเจอคำถามที่ว่าทำกระบวนการแบบนี้ เหมือนกับเป็นอีกรูปแบบของประชานิยม หรือไม่ ผมเดินมาตั้งแต่ กลุ่มละ 8 คน กลุ่มละ 32 คน ผมเดินดูทั้ง 7 ห้องผมไม่เห็นข้อเสนอใหนเลยครับ ที่บอกว่าต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้ หรือเรียกร้องอย่างนี้เพราะฉันต้องการอย่างนี้ ไม่มีครับ มีแต่ต้องการเห็นสิ่งนี้ อยากให้ทำอย่างนี้ เพราะนี่คือส่งที่เราเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับบ้านเมือง และสำหรับส่วนรวมสำหรับอนาคต
ผมจึงอยากจะเรียนกับท่านทั้งหลายว่า 2 วันที่ผ่านมาท่านช่วยยืนยันศรัทธาของผม และพรรคประชาธิปัตย์ว่าพี่น้องประชาชน สามารถที่จะกำหนดอนาคตของตัวเองอย่างรอบครอบ และสร้างสรรบนพลังของเหตุผลและการไตร่ตรอง นี้คือพื้นฐานที่แข็งแกรงที่สุด สำหรับทั้งสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่จะก้าวเดินต่อไป
อย่างที่หลายท่านได้กล่าวว่า ทุกความเห็นทุกความคิด ได้มีการบันทึกไว้ในรูปแบบใด รูปแบบหนึ่ง มองรอบห้องท่านจะเห็นครับกระดาษ ซึ่งเป็นผลงานของท่านทั้งหลายมี ทั้งข้อเขียน มีทั้งบทกลอน เราจะรวบรวมความเห็นทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะที่ได้ถูกนำเสนอเป็นการสังเคราะห์ หรือการสรุปบนเวทีเท่านั้น และสิ่งที่เราจะดำเนินการต่อไปได้ปรึกษากับเลขาธิการ และคณะผู้บริหารบางส่วนแล้ว ก็คือเราจะมีการให้นักวิชาการที่มีความเป็นอิสระ เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้เพื่อนำเสนอให้พรรคได้ดำเนินการสอดคล้องกับแนวความคิดต่างๆที่พี่น้องได้ให้กับเราไว้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ขอให้ท่านมั่นใจและภาคภูมิใจว่าความคิดทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้น ที่ท่านได้พูด ที่ท่านได้ฟังนั้นล้วนแล้วแต่จะได้นำไปใช้ประโยชน์ทั้งสิ้น และผมเรียนครับ ประโยชน์ที่พรรคคิดจะนำไปใช้ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่หลายคนสงสัย หรือมองว่า เป็นเพียงการเตรียมการเลือกตั้ง ในอีก 3-4 ปีข้างหน้าไม่ใช่ ผมยืนยัน ต่อหน้าท่านทั้งหลายเลยว่าทุกความคิดพรรคประชาธิปัตย์จะนำไปใช้โดยเร็วที่สุด
แน่นอนหลายเรื่องโดยเฉพาะข้อเสนอในเชิงนโยบาย เราต้องยอมรับระบบของเรา เราไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหาร และถ้าเป็นนโยบายเป็นความคิดที่แตกต่าง รัฐบาลย่อมมีสิทธิที่จะยึดถือ นโยบายของรัฐบาลแต่อย่างไรก็ตาม หลายเรื่องที่เป็นข้อเสนอนี้อยู่ในขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของพวกเราในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย ข้อเสนอ ในเชิงกฏหมาย เราจะดำเนินการมอบหมายให้คณะทำงานด้านกฎหมายไปดำเนินการทันทีว่าจัดทำเป็นรูปแบบแบบจำลอง เป็นตุ๊กตา เป็นร่างกฎหมายที่จะนำเสนอ เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของฝ่ายนิติบัญัติได้หรือไม่
ข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับนโยบายในเชิงการให้คำแนะนำกับรัฐบาล แม้รัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไรก็ตามเราก็พร้อมเสนอในฐานะที่เป็นปากเสียงของทุกๆท่านพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน แต่ว่าสำคัญไปกว่านั้นคือว่าพรรคไม่ต้องการกลับไปสู่ระบบที่แยกกันเดิน หลายเรื่องผมเชิญชวนให้ทุกท่านมาร่วมเดินกับเราต่อไป แม้กระทั้งในเรื่องกฎหมายไม่ใช่เฉพาะสภาผู้แทนราษฎร ที่จะเสนอแก้ไขได้ในวันนี้ แต่พี่น้องประชานก็ทำได้เช่นเดียวกัน เราจะร่วมกันปรึกษาเพื่อผลักดันสิ่งเหล่านี้ และถ้าเรารวมพลังกันแม้เป็นเสียงข้างน้อยในสภา ผมเชื่อว่ารัฐบาลก็ต้องฟัง หรือถึงไม่ฟังก้ต้องได้ยิน
งานต่างๆเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ผมให้ความมั่นใจว่าจะเป็นงานที่มาช่วยกำหนดกรอบการทำงานในช่วงจากนี้ไปทั้งในฐานะฝ่ายนิติบัญัติ ในฐานะฝ่ายค้าน ทั้งในฐานะพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชน เรื่องหนึ่งซึ่งผมคงจะต้องพูดเป็นพิเศษ และรบกวนพี่น้องประชาชนในห้องนี้ คือเรื่องของปัญหา 3 จังหวัด ที่ผมหยิบเรื่องนี้เป็นพิเศษไม่ใช่ว่า ผมบอกว่ามันสำคัญกว่าเรื่องอื่น แต่เวลานี้มันเป็นปัญหาเร่งด่วน และผมคิดว่าผมฟังมา 2 วันทุกคนยอมรับว่ามันไม่ใช่ปัญหาของคน 3 จังหวัด แต่เป็นปัญหาของชาติ เราอาจจะไม่สามารถไปกำหนดนโยบายให้รัฐบาลได้ในภาวะอย่างนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ คือการเดินหน้าหลอมรวมพี่น้องประชนเพื่อสร้างความสามัคคีให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพราะที่เราพูดคุยกัน ในเรื่องของปัญหานี้นอกเหนือจากเรื่องนโยบายความห่วงใยที่ออกมาจากจิตใจของหลายท่านก็คือขณะนี้เรื่องนี้กำลังบานปลายไปสู่ความแตกแยก ซึ่งจะทำให้บ้านเมือง และประชาชนของเรา อ่อนแอ ฉะนั้นเหมือนกับทุกเรื่องที่มีข้อเสนอมาว่าพี่น้องประชาชน ภาคประชาชนยังต้องออกไปทำงานสร้างเครือข่ายเพื่อผลักดันเรื่องนั้น เรื่องนี้ เรื่องนี้ ผมขอร้องท่านเป็นพิเศษ ถ้ามีเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่จะต้องมาขอ หรือมาชี้นำพี่น้องในที่ประชุมวันนี้ ผมขอเรื่องนี้ครับ ช่วยสร้างความปองดองความสมานฉันท์ สามัคคีให้เกิดเร็วที่สุด
เพราะผมคิดว่าอย่างน้อย 3000 คน ที่เป็นแบบจำลองของ60 ล้านคน 2 วันที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าถ้าเราทบทวนตัวเอง รู้จักร่วมคิด รู้จักฟัง เราก้าวข้าม ก้าวพ้นความแตกต่าง แม้กระทั้งความเจ็บปวดในอดีต และในปัจจุบันได้ สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมอยากฝากทุกท่านไว้ และผมขอเรียนว่าการทำงานต่อเนื่องในทุกประเด็น ไม่ใช่เฉพาะปัญหานี้ จะขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ ท่านเลขาธิการได้รายงานแต่เช้าเมื่อวาน(8ต.ค.)ว่าจะต้องมีการประชุมสมัชชาครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 จะต้องมีการนำเอารูปแบบการประชุมตรงนี้ ไปดำเนินการในภูมิภาค ในจังหวัดต่าง เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นหลักประกันของความต่อเนื่อง และสิ่งที่ท่านทั้งหลายมีส่วนริเริ่มและสร้างขึ้นมา ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา
พี่น้องที่เคารพครับ ผมเรียนเป็นประเด็นสุดท้าย ก็คือว่าผมเริ่มต้นกับเพื่อนในพรรค และต่อมากับท่านวิทยากร ต่อมาอีกกับหลายต่อหลายฝ่าย และในที่สุดกับท่านทั้งหลาย ด้วยความคาดหวังที่สูงบนความไม่แน่ใจ ความไม่มั่นใจ บนเครื่องหมายคำถามจากหลายต่อหลายฝ่าย ผมเรียนท่านตั้งแต่เมื่อวานว่าจะทำได้หรือ แต่ให้ตั้งทำถามว่า ทำไมจะทำไม่ได้
เมื่อวานนี้ค่ำ เมื่อตอนรับประทานอาหาร ท่านคงจำการแสดงทั้ง 4 ภาค จังหวะรูปลักษณ์ของกลองเหล่านั้นแตกต่างกัน แต่ช่วงท้ายของการแสดงชุดนั้น ท่านได้เห็นแล้วผมได้ฟังแล้วว่าสามารถมาหลอมรวมกันได้อย่างมีพลังและเหลือเชื่อ ความคิดของท่านก็เหมือนจังหวะกลองครับ จังหวะกลองซึ่งแต่ละคนต่างก็มีจังหวะของตนเอง แต่ถ้าเราไม่เคยคิดทำ เรื่องของการหลอมรวม เราก็ต้องบอกว่าต่างคนก็ต่างเล่น แต่ 2 วันที่ผ่านมาเราได้ตัดสินใจร่วมกันแล้ว ผมคิดว่าเรามั่นใจแล้วว่า ที่สุดทุกความคิดตรงนี้ ที่จะแพร่ขยายไปทั่วประเทศ จะกลายมาเป็นจังหวะที่สามารถตีได้อย่างสอดคล้องกัน เพื่อเป็นพลังในการนำพาประเทศชาติเราไปสู่ความรุ่งเรืองและความผาสุขของประชาชนไทยทุกคน ครับ ผมของปิดสมัชชาประชาชน สมัยที่ 1 ครั้งที่ 1 ณ บัดนี้ครับ..ขอขอบพระคุณครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 9 ต.ค. 2548--จบ--