ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. กำลังหาแนวทางเพิ่มการออมของประเทศ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธปท. กำลังหาแนวทาง
ในการเพิ่มการออมของประเทศในช่วงไตรมาส 4 ปี 48 และเพิ่มการออมภายในประเทศในช่วง 5 ปีข้างหน้า
เนื่องจากประเทศยังมีแนวโน้มขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง และตัวเลขการออมในไตรมาส 3 ของปีนี้ยังเพิ่มขึ้น
น้อยมากเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยตัวเลขเงินฝากจากภาคครัวเรือนของระบบสถาบันการเงินในไตรมาส
3 อยู่ที่ 5,437,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 19,611 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.36 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่
มียอดเงินฝากครัวเรือน 5,418,241 ล้านบาท โดยเงินฝากจากครัวเรือนเข้าสู่ระบบ ธ.พาณิชย์เพิ่มขึ้น 68,366
ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.72 จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการยกระดับของ บง. ขึ้นเป็น ธ.พาณิชย์
และอีกส่วนหนึ่งเป็นการลดจากการเบิกออกมาใช้จ่ายเพิ่มขึ้นของประชาชน สำหรับยอดฝากเงินของระบบ บค. มี
ยอดเงินฝากจากภาคครัวเรือน 922 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 47 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.8 ส่วน
เงินฝากภาคครัวเรือนของ ธ.อาคารสงเคราะห์ ธ.เพื่อการเกษตรฯ ก็มียอดเงินฝากลดลงเช่นกัน ส่วนการออม
เงินในระบบประกันแทนการฝากเงินยังคงเป็นทางเลือกหนึ่งของประชาชน โดยในไตรมาส 3 มียอดเงินฝากภาค
ครัวเรือน 458,743 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15,758 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.56 (ไทยรัฐ)
2. ยอดเงินฝาก ธ.พาณิชย์ขนาดใหญ่เดือน ต.ค.48 ลดลงกว่า 4.4 หมื่นล้านบาท รายงานแสดง
สินทรัพย์และหนี้สิน (ธ.พ.1.1) ของ ธ.พาณิชย์ขนาดใหญ่ 3 แห่ง ได้แก่ ธ.กรุงเทพ ธ.กสิกรไทย และ ธ.ไทย
พาณิชย์ สิ้นสุดเดือน ต.ค.48 เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย.48 ลดลงถึง 44,698 ล้านบาท โดย ธ.กรุงเทพ มียอด
เงินฝาก 1,140,852 ล้านบาท ลดลง 26,843 ล้านบาท ธ.กสิกรไทย มียอดเงินฝาก 693,240 ล้านบาท ลด
ลง 10,202 ล้านบาท และ ธ.ไทยพาณิชย์ มียอดเงินฝาก 627,419 ล้านบาท ลดลง 7,653 ล้านบาท ในขณะ
ที่ ธ.กรุงไทยมียอดเงินฝากสูงขึ้นเป็น 979,390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,234 ล้านบาท แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าใน
เดือน ต.ค. ธ.กรุงเทพไม่มีการปล่อยกู้หรือกู้ยืมในตลาด อาร์/พี เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย. ที่เป็นผู้กู้ จำนวน 2
พันล้านบาท และปล่อยกู้ 1.84 หมื่นล้านบาท ส่วน ธ.กรุงไทยปล่อยกู้ในตลาด อาร์/พี เดือน ก.ย. 45,930
ล้านบาท และเดือน ต.ค. 44,127 ล้านบาท ธ.กสิกรไทยปล่อยกู้เดือน ก.ย. 9.36 พันล้านบาท เดือน ต.
ค. 3 พันล้านบาท และ ธ.ไทยพาณิชย์ปล่อยกู้เดือน ก.ย. 1 พันล้านบาท เดือน ต.ค. 3.5 พันล้านบาท ทั้งนี้
รายงานข่าวจาก ธปท. ระบุว่า ภาวะตลาดเงินในสัปดาห์ที่ผ่านมา การกู้ยืมในตลาด อาร์/พี มีธุรกรรมหนาแน่นใน
ช่วงต้นสัปดาห์และเริ่มลดลงในช่วงปลายสัปดาห์ โดยสถาบันการเงินเน้นลงทุนระยะสั้นประเภท 1 และ 7 วัน
เพราะรอผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ในวันที่ 14 ธ.ค. โดยในสัปดาห์นี้มีปริมาณธุรกรรมอยู่ที่
ระดับ 1.05 — 1.45 แสนล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนที่อยู่ในช่วง 8.2 หมื่นล้านบาท — 1.12
แสนล้านบาท ต่อวัน (โพสต์ทูเดย์)
3. ก.คลังเร่งร่างระเบียบพัสดุพิเศษการประมูลโครงการเมกะโปรเจ็กต์ รายงานข่าวจาก ก.
คลัง เปิดเผยว่า ก.คลังกำลังอยู่ระหว่างร่างระเบียบพัสดุพิเศษสำหรับการประมูลโครงการขนาดใหญ่ตามแนวทาง
ของ นรม. ที่ต้องการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาดำเนินการได้โดยไม่ต้องมีการกำหนดข้อเสนอหรืออินเตอร์เนชั่นแนลบิด
ดิ้ง โดยในเบื้องต้นกรมบัญชีกลางได้กำหนดคำนิยามของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐหมายถึง โครงการจัด
หาผู้ขายหรือผู้รับจ้างก่อสร้างโดยหน่วยงานรัฐลงทุนที่มีมูลค่าสูงตั้งแต่ 1 พันล้านบาทขึ้นไป และไม่สามารถดำเนิน
การตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในระเบียบว่าด้วยการพัสดุของสำนัก นรม. ได้ ซึ่งงต้องมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย
ดำเนินการเปรียบเทียบทั้งข้อดีและข้อเสียของการดำเนินการ รายละเอียดด้านกายภาพ การดำเนินการตาม
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง มูลค่าโครงการ และแผนดำเนินงาน นอกจากนี้ ในส่วนของผู้รับเหมาได้ระบุให้ส่วนราชการ
เจ้าของโครงการทำประกาศเชิญชวนผู้ขายหรือผู้รับจ้างทั้งในและต่างประเทศ เพื่อยื่นข้อเสนอในการดำเนินงาน
เพื่อขอรับการคัดเลือก โดยหลักเกณฑ์ของการคัดเลือกผู้ยื่นข้อเสนอต้องคำนึงถึงต้นทุนของพัสดุ คุณภาพประโยชน์ที่
โครงการจะได้รับ มูลค่าทางเทคนิค ระยะเวลาการปฏิบัติตามสัญญา และอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ทางราชการ
ขณะที่ผู้รับเหมาต่างประเทศให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการประสานงานผ่าน ก.ต่างประเทศเท่านั้น (ผู้จัดการรายวัน)
4. คาดว่าร่างกฎหมายบรรษัทรัฐวิสากิจแห่งชาติจะมีผลบังคับใช้ในปีหน้า นายวิชัย จึงรักเกียรติ
ผอ.สนง.คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ดำเนินการร่างกฎหมายบรรษัทรัฐ
วิสาหกิจแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว และมีแผนที่จะรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริหารรัฐวิสาหกิจในช่วงต้นปีหน้า หลังจากนั้น
จะรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการ เพื่อนำมาประมวลก่อนที่จะเสนอร่างกฎหมายให้ฝ่ายนโยบายตัดสินใจและนำ
เสนอต่อ ครม. เพื่ออนุมัติ โดยคาดว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ในปีหน้า ทั้งนี้ สคร. ได้ร่างกฎหมายดัง
กล่าวขึ้นมาเพื่อรองรับการนำรัฐวิสาหกิจทุกแห่งที่ ก.คลังถือหุ้นเข้ามาอยู่ภายใต้การบริหารงานของคณะกรรมการ
นโยบายฯ โดยรัฐวิสาหกิจจะต้องแปลงสภาพเป็นบริษัทจำกัด ขณะที่ ก.คลังยังคงถือหุ้นในสัดส่วนเดิม โดยในร่าง
กฎหมายฉบับนี้จะระบุโครงสร้างหรือรูปแบบของซุปเปอร์โฮลดิ้งอย่างชัดเจน รวมถึงอำนาจหน้าที่ของทุกฝ่ายที่เกี่ยว
ข้อง กรอบ และเงื่อนไขต่าง ๆ ส่วนผลกระทบที่จะมีต่อรัฐวิสาหกิจจะมีแต่เชิงบวก เพราะในแง่ของการบริหาร
งานจะมีความคล่องตัวมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุน เพราะคณะกรรมการนโยบายฯ จะทำหน้าที่ในการพิจารณาแผน
การลงทุนทั้งหมด โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของหน่วยงานต่าง ๆ เหมือนในปัจจุบัน ขณะที่การบริหารงานก็จะมี
ความโปร่งใสและมีการตรวจสอบผ่านกระบวนการต่าง ๆ โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวจะมีตัวแทนจากหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องทั้งจากกระทรวงต่าง ๆ ที่มีรัฐวิสาหกิจภายใต้กำกับดูแล โดยมี นรม. เป็นประธาน นอกจากนี้ จะมีการ
กำหนดสัดส่วนการถือหุ้นไว้ในร่างกฎหมาย โดยรัฐบาลยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 (ไทยรัฐ,
กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. คาดว่ายอดขายปลีกโดยรวมของ สรอ.ในเดือน พ.ย.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เทียบต่อเดือน
รายงานจากนิวยอร์ค เมื่อ 12 ธ.ค.48 ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์พบว่า ยอดขายปลีกโดยรวมของ
สรอ.ในเดือน พ.ย.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.1 ในเดือน ต.ค.48ทั้งนี้ ยอดขายที่ไม่นับ
รวมสินค้าหมวดรถยนต์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 หลังจากที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึงร้อยละ 0.9 ในเดือนก่อน
หน้า สำหรับยอดขายสินค้าหมวดรถยนต์ของอเมริกาเหนือในเดือน พ.ย.48 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจำนวน 12.4 พัน ล.
คันต่อปี จากจำนวน 11.37 ล้านคันในเดือน ต.ค.48 จากการแข่งขันด้านการส่งเสริมการขายของบริษัทผู้ผลิตรถ
ยนต์ อนึ่ง นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า ยอดขายปลีกที่ไม่นับรวมรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นในเดือน พ.ย.48 นั้น มีสาเหตุมาจาก
การลดลงของราคาน้ำมัน โดยราคาน้ำมันเบนซินลดลงประมาณร้อยละ 30 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน หลัง
จากที่เคยเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงถึง 3.07 ดอลลาร์ สรอ. ต่อแกลลอนในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา จากพายุเฮอร์ริเคน
แคทรินาที่ส่งผลต่อผลผลิตน้ำมันใน สรอ. อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลการจับจ่ายใช้สอยในช่วงปลายปีเริ่มคล่องแคล่ว
ตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย.หลังจากวันหยุดเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้าผ่านไป ท่ามกลางความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เริ่ม
ฟื้นตัวเนื่องจากต้นทุนพลังงานเริ่มลดลง และตลาดแรงงานยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งนี้ ก.พาณิชย์ สรอ.จะประกาศ
ตัวเลขยอดขายปลีกอย่างเป็นทางการในวันอังคารที่ 13 พ.ย.48 นี้ (รอยเตอร์)
2. คาดว่าตลาดบ้านของ สรอ.ในปีหน้าจะชะลอตัวลงซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจ สรอ.ในปีหน้าชะลอตัว
ลงเช่นเดียวกัน รายงานจากนิวยอร์ค เมื่อ 12 ธ.ค.48 นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของ สรอ.คาดว่าตลาดบ้านของ
สรอ.ในปีหน้าจะชะลอตัวลงและจะส่งผลให้เศรษฐกิจ สรอ.ในปีหน้าชะลอตัวลงโดยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.5
ต่อปี หลังจากขยายตัวร้อยละ 3.7 ต่อปีในปีนี้ จากการคาดว่าการใช้ประโยชน์จากราคาบ้านที่สูงขึ้นจะลดลงจาก
600 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ในปีนี้เหลือ 425 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ในปีหน้า ทั้งนี้จากการคาดว่าราคาบ้านในปีหน้า
จะชะลอตัวลงโดยจะมีราคาสูงขึ้นร้อยละ 6.1 ทำให้ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 221,400 ดอลลาร์ สรอ. เทียบกับที่คาดว่า
ราคาจะสูงขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 12.7 ในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจในปีหน้าชะลอตัวลงระหว่างร้อยละ 0.5 ถึง
1.0 ต่อปี โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาชาวอเมริกันได้ใช้ประโยชน์จากราคาบ้านที่สูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นการกู้ยืมเงินจาก
สถาบันการเงินโดยใช้บ้านเป็นหลักประกันหรือกำไรจากการขายบ้านในการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นซึ่งมีส่วนช่วยให้
เศรษฐกิจของ สรอ.ขยายตัว ทั้งนี้ ราคาบ้านใน สรอ.เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 44 นับตั้งแต่เดือน ธ.ค.44 เป็นต้นมา
และมูลค่าสุทธิของบ้านใน สรอ.หลังหักหนี้สินแล้วเพิ่มขึ้น 4.1 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ.ในช่วงเวลานับแต่นั้นเป็นต้นมา (รอยเตอร์)
3. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยของยูโรโซนในปี 48 จะอยู่เหนือระดับร้อยละ 2 สาเหตุหลักจาก
ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น รายงานจากเอเธนส์ เมื่อ 12 ธ.ค.48 สมาชิกคณะกรรมาธิการบริหาร ธ.กลางยุโรป และ
ประธาน ธ.กลางกรีซ (Nicholas Garganas) เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของเขตเศรษฐกิจยุโรป (ยูโร
โซน) ในปี 48 จะอยู่เหนือระดับร้อยละ 2 สาเหตุหลักจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และจากสัญญาณในปัจจุบันซึ่ง
อัตราเงินเฟ้อ (annual rate) ในเดือน ต.ค.48 อยู่ที่ระดับร้อยละ 2.5 บ่งชี้ว่าในปี 49-50 อัตราเงินเฟ้อจะ
ไม่ลดลงต่ำกว่าร้อยละ 2 ซึ่งทำให้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายของ ธ.กลางยุโรปที่ต้องการควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้ต่ำ
กว่าร้อยละ 2 ทั้งนี้ Garganas กล่าวว่า ความเสี่ยงเกี่ยวกับเสถียรภาพของราคา และความจำเป็นในการควบ
คุมนโยบายการเงิน เป็นปัจจัยที่ทำให้ ธ.กลางยุโรปต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธ.
กลางยุโรปได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี อีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 2.25 นอกจาก
นี้ ธ.กลางยุโรป ได้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 48 ที่ระดับร้อยละ 2.1-2.3 และคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี 49
ที่ระดับร้อยละ 1.6-2.6 หรือเฉลี่ยร้อยละ 2.1 (รอยเตอร์)
4. คาดว่าผลผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 รายงานจาก
วอชิงตัน เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 48 เจ้าหน้าที่ระดับสูงจาก Energy Information Administration (EIA)
ของสรอ. คาดว่า กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก (OPEC) จะเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันอีกร้อยละ 23 ใน
อีก 5 ปีข้างหน้า ส่งผลให้ผลผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC ในปี 53 เพิ่มขึ้นที่ระดับ 36.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยส่วน
ใหญ่เป็นการผลิตเพิ่มจากอิรัก และซาอุดิอาระเบีย ทั้งนี้ซาอุดิอาระเบียตั้งเป้าหมายการผลิตไว้ที่ 12.5 ล้าน
บาร์เรลต่อวันในปลายปี 2552 ขณะที่อิรักคาดว่าการขยายการผลิตยังคงต้องขึ้นกับบรรยากาศในการลงทุน และ
เสถียรภาพทางการเมือง โดย สรอ. มีแผนที่จะปฎิรูปการก่อสร้างของอิรักเพื่อให้มีเป้าหมายการผลิตน้ำมันให้ได้วัน
ละ 5 ล้านบาร์เรลมากกว่าปริมาณการผลิตในปัจจุบัน 2 เท่า อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลผลิตน้ำมันของประเทศ
นอกกลุ่ม OPEC ในอีก 20 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ 67.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน มากกว่าที่ เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ถึง
2 เท่า ในขณะที่ในระยะยาว (ประมาณ 20 ปี) EIA ได้ปรับลดประมาณการณ์ผลผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC ลงจาก
ที่เคยประมาณการไว้ก่อนหน้านั้นโดยคาดว่า ผลผลิตน้ำมันของประเทศกลุ่ม OPEC ในปี 2568 จะอยู่ที่43.6 ล้าน
บาร์เรลต่อวันลดลงประมาณ 11 ล้านบาร์เรลจากระดับ 55 ล้านบาร์เรลต่อวันที่ EIA ได้คาดการณ์ไว้เมื่อปีที่แล้ว
อนึ่งคาดว่าปริมาณการบริโภคน้ำมันของโลกในอีก 10 ปีข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นเป็น 91 พัน ล. บาร์เรลล์ต่อวัน หรือ
เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันร้อยละ 8.7 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 13 ธ.ค. 48 9 ธ.ค.48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.248 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.0527/41.3514 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.92266 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 697.74/ 26.31 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,150/10,250 10,050/10,150 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 55.26 55.94 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 9 ธ.ค. 48 25.24*/22.69** 25.24*/22.69** 16.99/14.59 ปตท.
** ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 14 พ.ย. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. กำลังหาแนวทางเพิ่มการออมของประเทศ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธปท. กำลังหาแนวทาง
ในการเพิ่มการออมของประเทศในช่วงไตรมาส 4 ปี 48 และเพิ่มการออมภายในประเทศในช่วง 5 ปีข้างหน้า
เนื่องจากประเทศยังมีแนวโน้มขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง และตัวเลขการออมในไตรมาส 3 ของปีนี้ยังเพิ่มขึ้น
น้อยมากเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยตัวเลขเงินฝากจากภาคครัวเรือนของระบบสถาบันการเงินในไตรมาส
3 อยู่ที่ 5,437,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 19,611 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.36 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่
มียอดเงินฝากครัวเรือน 5,418,241 ล้านบาท โดยเงินฝากจากครัวเรือนเข้าสู่ระบบ ธ.พาณิชย์เพิ่มขึ้น 68,366
ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.72 จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการยกระดับของ บง. ขึ้นเป็น ธ.พาณิชย์
และอีกส่วนหนึ่งเป็นการลดจากการเบิกออกมาใช้จ่ายเพิ่มขึ้นของประชาชน สำหรับยอดฝากเงินของระบบ บค. มี
ยอดเงินฝากจากภาคครัวเรือน 922 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 47 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.8 ส่วน
เงินฝากภาคครัวเรือนของ ธ.อาคารสงเคราะห์ ธ.เพื่อการเกษตรฯ ก็มียอดเงินฝากลดลงเช่นกัน ส่วนการออม
เงินในระบบประกันแทนการฝากเงินยังคงเป็นทางเลือกหนึ่งของประชาชน โดยในไตรมาส 3 มียอดเงินฝากภาค
ครัวเรือน 458,743 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15,758 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.56 (ไทยรัฐ)
2. ยอดเงินฝาก ธ.พาณิชย์ขนาดใหญ่เดือน ต.ค.48 ลดลงกว่า 4.4 หมื่นล้านบาท รายงานแสดง
สินทรัพย์และหนี้สิน (ธ.พ.1.1) ของ ธ.พาณิชย์ขนาดใหญ่ 3 แห่ง ได้แก่ ธ.กรุงเทพ ธ.กสิกรไทย และ ธ.ไทย
พาณิชย์ สิ้นสุดเดือน ต.ค.48 เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย.48 ลดลงถึง 44,698 ล้านบาท โดย ธ.กรุงเทพ มียอด
เงินฝาก 1,140,852 ล้านบาท ลดลง 26,843 ล้านบาท ธ.กสิกรไทย มียอดเงินฝาก 693,240 ล้านบาท ลด
ลง 10,202 ล้านบาท และ ธ.ไทยพาณิชย์ มียอดเงินฝาก 627,419 ล้านบาท ลดลง 7,653 ล้านบาท ในขณะ
ที่ ธ.กรุงไทยมียอดเงินฝากสูงขึ้นเป็น 979,390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,234 ล้านบาท แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าใน
เดือน ต.ค. ธ.กรุงเทพไม่มีการปล่อยกู้หรือกู้ยืมในตลาด อาร์/พี เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย. ที่เป็นผู้กู้ จำนวน 2
พันล้านบาท และปล่อยกู้ 1.84 หมื่นล้านบาท ส่วน ธ.กรุงไทยปล่อยกู้ในตลาด อาร์/พี เดือน ก.ย. 45,930
ล้านบาท และเดือน ต.ค. 44,127 ล้านบาท ธ.กสิกรไทยปล่อยกู้เดือน ก.ย. 9.36 พันล้านบาท เดือน ต.
ค. 3 พันล้านบาท และ ธ.ไทยพาณิชย์ปล่อยกู้เดือน ก.ย. 1 พันล้านบาท เดือน ต.ค. 3.5 พันล้านบาท ทั้งนี้
รายงานข่าวจาก ธปท. ระบุว่า ภาวะตลาดเงินในสัปดาห์ที่ผ่านมา การกู้ยืมในตลาด อาร์/พี มีธุรกรรมหนาแน่นใน
ช่วงต้นสัปดาห์และเริ่มลดลงในช่วงปลายสัปดาห์ โดยสถาบันการเงินเน้นลงทุนระยะสั้นประเภท 1 และ 7 วัน
เพราะรอผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ในวันที่ 14 ธ.ค. โดยในสัปดาห์นี้มีปริมาณธุรกรรมอยู่ที่
ระดับ 1.05 — 1.45 แสนล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนที่อยู่ในช่วง 8.2 หมื่นล้านบาท — 1.12
แสนล้านบาท ต่อวัน (โพสต์ทูเดย์)
3. ก.คลังเร่งร่างระเบียบพัสดุพิเศษการประมูลโครงการเมกะโปรเจ็กต์ รายงานข่าวจาก ก.
คลัง เปิดเผยว่า ก.คลังกำลังอยู่ระหว่างร่างระเบียบพัสดุพิเศษสำหรับการประมูลโครงการขนาดใหญ่ตามแนวทาง
ของ นรม. ที่ต้องการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาดำเนินการได้โดยไม่ต้องมีการกำหนดข้อเสนอหรืออินเตอร์เนชั่นแนลบิด
ดิ้ง โดยในเบื้องต้นกรมบัญชีกลางได้กำหนดคำนิยามของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐหมายถึง โครงการจัด
หาผู้ขายหรือผู้รับจ้างก่อสร้างโดยหน่วยงานรัฐลงทุนที่มีมูลค่าสูงตั้งแต่ 1 พันล้านบาทขึ้นไป และไม่สามารถดำเนิน
การตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในระเบียบว่าด้วยการพัสดุของสำนัก นรม. ได้ ซึ่งงต้องมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย
ดำเนินการเปรียบเทียบทั้งข้อดีและข้อเสียของการดำเนินการ รายละเอียดด้านกายภาพ การดำเนินการตาม
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง มูลค่าโครงการ และแผนดำเนินงาน นอกจากนี้ ในส่วนของผู้รับเหมาได้ระบุให้ส่วนราชการ
เจ้าของโครงการทำประกาศเชิญชวนผู้ขายหรือผู้รับจ้างทั้งในและต่างประเทศ เพื่อยื่นข้อเสนอในการดำเนินงาน
เพื่อขอรับการคัดเลือก โดยหลักเกณฑ์ของการคัดเลือกผู้ยื่นข้อเสนอต้องคำนึงถึงต้นทุนของพัสดุ คุณภาพประโยชน์ที่
โครงการจะได้รับ มูลค่าทางเทคนิค ระยะเวลาการปฏิบัติตามสัญญา และอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ทางราชการ
ขณะที่ผู้รับเหมาต่างประเทศให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการประสานงานผ่าน ก.ต่างประเทศเท่านั้น (ผู้จัดการรายวัน)
4. คาดว่าร่างกฎหมายบรรษัทรัฐวิสากิจแห่งชาติจะมีผลบังคับใช้ในปีหน้า นายวิชัย จึงรักเกียรติ
ผอ.สนง.คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ดำเนินการร่างกฎหมายบรรษัทรัฐ
วิสาหกิจแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว และมีแผนที่จะรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริหารรัฐวิสาหกิจในช่วงต้นปีหน้า หลังจากนั้น
จะรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการ เพื่อนำมาประมวลก่อนที่จะเสนอร่างกฎหมายให้ฝ่ายนโยบายตัดสินใจและนำ
เสนอต่อ ครม. เพื่ออนุมัติ โดยคาดว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ในปีหน้า ทั้งนี้ สคร. ได้ร่างกฎหมายดัง
กล่าวขึ้นมาเพื่อรองรับการนำรัฐวิสาหกิจทุกแห่งที่ ก.คลังถือหุ้นเข้ามาอยู่ภายใต้การบริหารงานของคณะกรรมการ
นโยบายฯ โดยรัฐวิสาหกิจจะต้องแปลงสภาพเป็นบริษัทจำกัด ขณะที่ ก.คลังยังคงถือหุ้นในสัดส่วนเดิม โดยในร่าง
กฎหมายฉบับนี้จะระบุโครงสร้างหรือรูปแบบของซุปเปอร์โฮลดิ้งอย่างชัดเจน รวมถึงอำนาจหน้าที่ของทุกฝ่ายที่เกี่ยว
ข้อง กรอบ และเงื่อนไขต่าง ๆ ส่วนผลกระทบที่จะมีต่อรัฐวิสาหกิจจะมีแต่เชิงบวก เพราะในแง่ของการบริหาร
งานจะมีความคล่องตัวมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุน เพราะคณะกรรมการนโยบายฯ จะทำหน้าที่ในการพิจารณาแผน
การลงทุนทั้งหมด โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของหน่วยงานต่าง ๆ เหมือนในปัจจุบัน ขณะที่การบริหารงานก็จะมี
ความโปร่งใสและมีการตรวจสอบผ่านกระบวนการต่าง ๆ โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวจะมีตัวแทนจากหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องทั้งจากกระทรวงต่าง ๆ ที่มีรัฐวิสาหกิจภายใต้กำกับดูแล โดยมี นรม. เป็นประธาน นอกจากนี้ จะมีการ
กำหนดสัดส่วนการถือหุ้นไว้ในร่างกฎหมาย โดยรัฐบาลยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 (ไทยรัฐ,
กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. คาดว่ายอดขายปลีกโดยรวมของ สรอ.ในเดือน พ.ย.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เทียบต่อเดือน
รายงานจากนิวยอร์ค เมื่อ 12 ธ.ค.48 ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์พบว่า ยอดขายปลีกโดยรวมของ
สรอ.ในเดือน พ.ย.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.1 ในเดือน ต.ค.48ทั้งนี้ ยอดขายที่ไม่นับ
รวมสินค้าหมวดรถยนต์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 หลังจากที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึงร้อยละ 0.9 ในเดือนก่อน
หน้า สำหรับยอดขายสินค้าหมวดรถยนต์ของอเมริกาเหนือในเดือน พ.ย.48 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจำนวน 12.4 พัน ล.
คันต่อปี จากจำนวน 11.37 ล้านคันในเดือน ต.ค.48 จากการแข่งขันด้านการส่งเสริมการขายของบริษัทผู้ผลิตรถ
ยนต์ อนึ่ง นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า ยอดขายปลีกที่ไม่นับรวมรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นในเดือน พ.ย.48 นั้น มีสาเหตุมาจาก
การลดลงของราคาน้ำมัน โดยราคาน้ำมันเบนซินลดลงประมาณร้อยละ 30 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน หลัง
จากที่เคยเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงถึง 3.07 ดอลลาร์ สรอ. ต่อแกลลอนในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา จากพายุเฮอร์ริเคน
แคทรินาที่ส่งผลต่อผลผลิตน้ำมันใน สรอ. อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลการจับจ่ายใช้สอยในช่วงปลายปีเริ่มคล่องแคล่ว
ตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย.หลังจากวันหยุดเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้าผ่านไป ท่ามกลางความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เริ่ม
ฟื้นตัวเนื่องจากต้นทุนพลังงานเริ่มลดลง และตลาดแรงงานยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งนี้ ก.พาณิชย์ สรอ.จะประกาศ
ตัวเลขยอดขายปลีกอย่างเป็นทางการในวันอังคารที่ 13 พ.ย.48 นี้ (รอยเตอร์)
2. คาดว่าตลาดบ้านของ สรอ.ในปีหน้าจะชะลอตัวลงซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจ สรอ.ในปีหน้าชะลอตัว
ลงเช่นเดียวกัน รายงานจากนิวยอร์ค เมื่อ 12 ธ.ค.48 นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของ สรอ.คาดว่าตลาดบ้านของ
สรอ.ในปีหน้าจะชะลอตัวลงและจะส่งผลให้เศรษฐกิจ สรอ.ในปีหน้าชะลอตัวลงโดยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.5
ต่อปี หลังจากขยายตัวร้อยละ 3.7 ต่อปีในปีนี้ จากการคาดว่าการใช้ประโยชน์จากราคาบ้านที่สูงขึ้นจะลดลงจาก
600 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ในปีนี้เหลือ 425 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ในปีหน้า ทั้งนี้จากการคาดว่าราคาบ้านในปีหน้า
จะชะลอตัวลงโดยจะมีราคาสูงขึ้นร้อยละ 6.1 ทำให้ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 221,400 ดอลลาร์ สรอ. เทียบกับที่คาดว่า
ราคาจะสูงขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 12.7 ในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจในปีหน้าชะลอตัวลงระหว่างร้อยละ 0.5 ถึง
1.0 ต่อปี โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาชาวอเมริกันได้ใช้ประโยชน์จากราคาบ้านที่สูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นการกู้ยืมเงินจาก
สถาบันการเงินโดยใช้บ้านเป็นหลักประกันหรือกำไรจากการขายบ้านในการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นซึ่งมีส่วนช่วยให้
เศรษฐกิจของ สรอ.ขยายตัว ทั้งนี้ ราคาบ้านใน สรอ.เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 44 นับตั้งแต่เดือน ธ.ค.44 เป็นต้นมา
และมูลค่าสุทธิของบ้านใน สรอ.หลังหักหนี้สินแล้วเพิ่มขึ้น 4.1 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ.ในช่วงเวลานับแต่นั้นเป็นต้นมา (รอยเตอร์)
3. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยของยูโรโซนในปี 48 จะอยู่เหนือระดับร้อยละ 2 สาเหตุหลักจาก
ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น รายงานจากเอเธนส์ เมื่อ 12 ธ.ค.48 สมาชิกคณะกรรมาธิการบริหาร ธ.กลางยุโรป และ
ประธาน ธ.กลางกรีซ (Nicholas Garganas) เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของเขตเศรษฐกิจยุโรป (ยูโร
โซน) ในปี 48 จะอยู่เหนือระดับร้อยละ 2 สาเหตุหลักจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และจากสัญญาณในปัจจุบันซึ่ง
อัตราเงินเฟ้อ (annual rate) ในเดือน ต.ค.48 อยู่ที่ระดับร้อยละ 2.5 บ่งชี้ว่าในปี 49-50 อัตราเงินเฟ้อจะ
ไม่ลดลงต่ำกว่าร้อยละ 2 ซึ่งทำให้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายของ ธ.กลางยุโรปที่ต้องการควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้ต่ำ
กว่าร้อยละ 2 ทั้งนี้ Garganas กล่าวว่า ความเสี่ยงเกี่ยวกับเสถียรภาพของราคา และความจำเป็นในการควบ
คุมนโยบายการเงิน เป็นปัจจัยที่ทำให้ ธ.กลางยุโรปต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธ.
กลางยุโรปได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี อีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 2.25 นอกจาก
นี้ ธ.กลางยุโรป ได้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 48 ที่ระดับร้อยละ 2.1-2.3 และคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี 49
ที่ระดับร้อยละ 1.6-2.6 หรือเฉลี่ยร้อยละ 2.1 (รอยเตอร์)
4. คาดว่าผลผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 รายงานจาก
วอชิงตัน เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 48 เจ้าหน้าที่ระดับสูงจาก Energy Information Administration (EIA)
ของสรอ. คาดว่า กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก (OPEC) จะเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันอีกร้อยละ 23 ใน
อีก 5 ปีข้างหน้า ส่งผลให้ผลผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC ในปี 53 เพิ่มขึ้นที่ระดับ 36.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยส่วน
ใหญ่เป็นการผลิตเพิ่มจากอิรัก และซาอุดิอาระเบีย ทั้งนี้ซาอุดิอาระเบียตั้งเป้าหมายการผลิตไว้ที่ 12.5 ล้าน
บาร์เรลต่อวันในปลายปี 2552 ขณะที่อิรักคาดว่าการขยายการผลิตยังคงต้องขึ้นกับบรรยากาศในการลงทุน และ
เสถียรภาพทางการเมือง โดย สรอ. มีแผนที่จะปฎิรูปการก่อสร้างของอิรักเพื่อให้มีเป้าหมายการผลิตน้ำมันให้ได้วัน
ละ 5 ล้านบาร์เรลมากกว่าปริมาณการผลิตในปัจจุบัน 2 เท่า อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลผลิตน้ำมันของประเทศ
นอกกลุ่ม OPEC ในอีก 20 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ 67.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน มากกว่าที่ เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ถึง
2 เท่า ในขณะที่ในระยะยาว (ประมาณ 20 ปี) EIA ได้ปรับลดประมาณการณ์ผลผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC ลงจาก
ที่เคยประมาณการไว้ก่อนหน้านั้นโดยคาดว่า ผลผลิตน้ำมันของประเทศกลุ่ม OPEC ในปี 2568 จะอยู่ที่43.6 ล้าน
บาร์เรลต่อวันลดลงประมาณ 11 ล้านบาร์เรลจากระดับ 55 ล้านบาร์เรลต่อวันที่ EIA ได้คาดการณ์ไว้เมื่อปีที่แล้ว
อนึ่งคาดว่าปริมาณการบริโภคน้ำมันของโลกในอีก 10 ปีข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นเป็น 91 พัน ล. บาร์เรลล์ต่อวัน หรือ
เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันร้อยละ 8.7 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 13 ธ.ค. 48 9 ธ.ค.48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.248 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.0527/41.3514 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.92266 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 697.74/ 26.31 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,150/10,250 10,050/10,150 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 55.26 55.94 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 9 ธ.ค. 48 25.24*/22.69** 25.24*/22.69** 16.99/14.59 ปตท.
** ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 14 พ.ย. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--