แท็ก
ยางพารา
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--20 พ.ค.--บิสนิวส์
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้ามีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 ยางพารา : ความจำเป็นในการถอนสมาชิกภาพจาก INRO
บาท/กก.
ระดับชั้นราคาที่ INRO กำหนด
ราคาขั้นสูง 35.10
ราคาต้องขาย (must-sale) 33.54
ราคาอาจจะขาย (may-sale) 32.11
Reference Price 27.94
ราคาอาจจะซื้อ (may-buy) 23.79
ราคาต้องซื้อ (must-buy) 22.36
ราคาขั้นต่ำ 20.00
ราคาต้องซื้อ หมายถึง ระดับราคาที่ทำให้ INRO ต้องซื้อยางเก็บเข้าสต็อก
ราคาต้องขาย หมายถึง ระดับราคาที่ทำให้ INRO ต้องขายยางออกสู่ตลาด
บาท/กก.
รายการ เมย.-ธค. 40 มค. 41 กพ. 41 มีค. 41 เมย. 41
ราคาแจ้งสถานการณ์ตลาด (DMIP) 32.91 44.36 43.80 35.02 34.04
ราคาเกษตรกร 22.96 24.20 29.52 23.77 23.36
ในการประชุมความตกลงยางธรรมชาติครั้งที่ 37 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2540 ที่ผ่านมา
ประเทศผู้ผลิตเรียกร้องให้มีการปรับระดับชั้นราคาให้สูงขึ้น เพื่อจะทำให้การรับซื้อยางเก็บเข้ามูลภัณฑ์
กันชนได้เร็วขึ้น แต่ที่ประชุมมีมติให้คงระดับชั้นราคาเดิมไว้ ซึ่งจากผลการประชุมดังกล่าว และภาวะ
เศรษฐกิจในปัจจุบัน เห็นควรที่ไทยน่าจะนำมาประกอบในการพิจารณขอถอนตัวในการเป็นสมาชิกภาพ
คือ
1) INRO ไม่สามารถยกระดับราคาเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนของเกษตรกรได้ เนื่องจาก
INRO ไม่ปรับระดับชั้นราคาให้สูงขึ้นเพื่อเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ทั้ง
นี้เมื่อพิจารณาการซื้อ-ขายยางเข้ามูลภัณฑ์กันชนของ INRO แล้ว จะเห็นได้ว่าราคาแจ้งสถานการณ์
(DMIP) ในช่วงเดือนมกราคม กิโลกรัมละ 44.36 บาท และ 34.04 บาทในเดือนเมษายน ยังสูง
กว่าราคาต้องซื้อ (must-buy) ที่กิโลกรัมละ 22.36 บาท ทำให้ INRO ไม่สามารถรับซื้อยาง
เก็บเข้าสต็อกได้ แม้ว่าผลผลิตโลกจะเกินความต้องการของตลาด เทียบกับราคาเกษตรกรในเดือน
มกราคม กิโลกรัมละ 24.02 บาท และ 23.36 บาท ในเดือนเมษายน ซึ่งใกล้เคียงกับต้น
ทุนการผลิตที่กิโลกรัมละ 22.06 บาท
2) เงินสมทบบัญชีงบบริหารที่ไทยจะต้องจ่ายเป็นจำนวนกว่าปีละ 8 ล้านบาทนั้น ในภาวะ
เศรษฐกิจเช่นนี้ เห็นว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นภาระและไม่ก่อประโยชน์ต่อประเทศแต่อย่างใด
2.2 สับปะรด : ภาวะภัยแล้งส่งผลต่อการผลิต แต่การส่งออกแจ่มใส
จากที่เกิดภาวะความแห้งแล้งอย่างต่อเนื่องในแหล่งผลิตที่สำคัญในจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์
เพชรบุรี ชลบุรี และระยอง นับแต่ปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลผลิตสับปะรดลดลงโดยเฉพาะในช่วง
เมษายน-มิถุนายน 2541 ซึ่งเป็นช่วงสับปะรดปี (พีคใหญ่) เนื่องจากสภาพต้นไม่สมบูรณ์และเป็นอุปสรรค
ต่อการใช้สารบังคับผลผลิต แต่อย่างไรก็ตามในช่วงปลายปี ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2541
(พีคเล็ก) คาดว่าจะมีผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้ได้เริ่มมีฝนตกบ้างแล้ว และราคาที่
เกษตรกรได้รับในช่วงที่ผ่านมาจูงใจให้มีการดูแลรักษาเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับผลผลิตสับปะรด
ในปี 2541 ผู้ประกอบการแปรรูปได้คาดว่าปริมาณผลผลิตจะลดลงจากปีที่ผ่านมากว่าร้อยละ 20
ส่วนการส่งออกผลิตภัณฑ์สับปะรดโดยเฉพาะไปยังตลาดอเมริกาในปีนี้ คาดว่าจะแจ่ม
ใสมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากปัญหา Anti-Dumping ซึ่งเป็นกรณีพิพาทระหว่างสหรัฐอเมริกากับผู้ส่งออก
ของไทยได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น โดยสหรัฐอเมริกาได้ปรับลดอัตราภาษีขาเข้าให้แก่บริษัทผู้ส่งออก
ส่วนใหญ่ของไทยจากร้อยละ 24.00-51.16 เป็นร้อยละ 0.56-24.64
จากที่คาดว่าผลผลิตสับปะรดจะลดลงดังกล่าวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลทำให้การส่งออก
ของไทยลดลง เมื่อเทียบกับความต้องการของตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นแล้ว ดังนั้นจึงเห็นควรให้กรมส่งเสริม
การเกษตรแนะนำวิธีการหยอดแก๊ส และใส่ปุ๋ย เพื่อให้ได้คุณภาพสอดคล้องตามความต้องการของโรงงาน
รวมทั้งให้โรงงานเข้ามามีบทบาทในการกำหนดราคารับซื้อในระดับที่เหมาะสมด้วย
2.4 ไข่ไก่ : ราคามีแนวโน้มสูงขึ้น
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้
หน่วย : บาท/ฟอง
ปี มค. กพ. มีค. เมย. พค. มิย. กค. สค. กย. ตค. พย. ธค. เฉลี่ย
2540 1.43 1.38 1.44 1.46 1.56 1.59 1.57 1.64 1.69 1.62 1.61 1.57 1.55
2541 1.55 1.72 1.74 1.67 1.78
จากการที่ราคาไข่ไก่ได้อ่อนตัวลงในช่วงปลายปี 2540 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2541 เนื่องจากใน
ช่วงดังกล่าวอัตราการให้ไข่ดีเพราะอากาศค่อนข้างเย็น ทำให้ผลผลิตมีปริมาณมาก ขณะเดียวกันต้นทุน
การผลิตมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารและราคาลูกไก่ โดยในช่วงเดือน
ธันวาคม 2540-มกราคม 2541 ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ในแหล่งเลี้ยงขนาดใหญ่ เช่นจังหวัด
ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา ฯลฯ อยู่ระหว่างฟองละ 1.45 - 1.50 บาท ในขณะที่
ต้นทุนการผลิตอยู่ระหว่างฟองละ 1.35-1.52 บาท ทำให้ผู้เลี้ยงเริ่มประสบกับการขาดทุน ดังนั้น
ในวันที่ 12 มกราคม 2541 คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ได้มีมติให้
แทรกแซงตลาดไข่ไก่ โดยอนุมัติเงินจำนวน 50 ล้านบาท เพื่อใช้รวบรวมไข่ไก่เก็บเข้าห้องเย็น
และนำออกจำหน่ายเมื่อราคาไข่ไก่ในตลาดอยู่ที่ฟองละ 1.35 บาท อย่างไรก็ตามในเดือนกุมภาพันธ์
ราคาไข่ไก่กลับปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนเป็นต้นมา เพราะผลจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
ทำให้ผู้เลี้ยงปรับลดการเลี้ยงลง ประกอบกับการส่งออกค่อนข้างดี เพราะผลของการลดค่าเงินบาท
โดยนอกเหนือจากจะส่งออกไปยังฮ่องกงแล้วยังสามารถส่งออกไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลางได้มาก
ขึ้น นอกจากนั้นแล้วสภาพอากาศที่เริ่มร้อนขึ้น ทำให้อัตราการให้ไข่ลดลง ผลผลิตเริ่มลดน้อยลง
ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ได้ส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้นดังกล่าว แม้ว่าในเดือนเมษายนราคาจะอ่อนตัวลง
เพราะสาเหตุมาจากความต้องการที่ลดลงในช่วงโรงเรียนปิดเทอม ขณะเดียวกันก็มีผลไม้ตามฤดูกาล
ออกมามาก ทำให้การทำขนมหวานที่มีการใช้ไข่ไก่เป็นส่วนประกอบลดลง แต่สาเหตุดังกล่าวก็ทำให้
ราคาอ่อนตัวลงไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากภัยแล้งอันเนื่องมาจากอากาศที่ร้อนจัดในขณะนี้ จะยังคงทำให้
อัตราการให้ไข่ลดลง และมีปัญหาไก่ป่วยและตายมากขึ้น บางพื้นที่เกิดภาวะขาดแคลนน้ำ ส่งผลให้
ผลผลิตเริ่มขาดตลาดและราคามีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ในสัปดาห์
นี้เฉลี่ยฟองละ 1.81 บาท คาดว่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ราคาจะมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก เพราะ
ผลจากการปรับลดการเลี้ยงในช่วงที่ราคาตกต่ำจะทำให้ไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดมีปริมาณลดลง ประกอบกับ
ความต้องการบริโภคที่เพิ่มมากขึ้น เพราะการเปิดภาคเรียนของสถานศึกษาต่าง ๆ
2.4 น้ำนมดิบ : การจัดสรรโควตานมผงขาดมันเนย งวดที่ 2
ตามที่คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการปศุสัตว์แห่งชาติ ได้มีมติเมื่อคราวประชุม
ครั้งที่ 1/2541 วันที่ 12 มกราคม 2541 ให้แบ่งการจัดสรรโควตานำเข้านมผงขาดมันเนยให้ผู้ประกอบ
การเป็น 2 งวด ๆ ละ 6 เดือน สำหรับงวดที่ 1 ระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน 2541 ได้ดำเนิน
การจัดสรรสิทธิให้ผู้ประกอบการไปแล้ว และขณะนี้ใกล้สิ้นสุดงวดที่ 1 คณะอนุกรรมการพัฒนาโคนมและ
ผลิตภัณฑ์นม จึงได้พิจารณาจัดสรรโควตานำเข้านมผงขาดมันเนยในงวดที่ 2 เสนอต่อคณะกรรมการ
นโยบายฯ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อจะได้สามารถดำเนินการประกาศการจัดสรรโควตาได้ตาม
กำหนดเวลา
ในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายฯ ครั้งที่ 2/2541 วันที่ 15 พฤษภาคม 2541 โดย
มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายสมชาย สุนทรวัฒน์) เป็นประธาน ได้มีมติให้จัด
สรรโควตานำเข้านมผงขาดมันเนยงวดที่ 2 ดังนี้ คือ
1) ปริมาณจัดสรรในงวดที่ 2 จำนวน 39,000 ตัน
2) ระยะเวลาการนำเข้าในงวดที่ 2 ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2541
3) แบ่งกลุ่มผู้นำเข้าเป็น 4 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 ผู้ผลิตนมพร้อมดื่ม จำนวน 13,470 ตัน
กลุ่มที่ 2 ผู้ผลิตนมข้น จำนวน 15,870 ตัน
กลุ่มที่ 3 นิติบุคคลผู้ประกอบการแปรรูปอาหารนม จำนวน 7,000 ตัน
กลุ่มที่ 4 นิติบุคคลผู้นำเข้านมผงขาดมันเนยเพื่อการค้า จำนวน 2,660 ตัน
4) เงื่อนไขการบริหารการนำเข้า
- สำหรับกลุ่มผู้ผลิตนมพร้อมดื่ม ให้รายงานการซื้อขายและแหล่งซื้อขายน้ำนมดิ
หรือปริมาณการใช้น้ำนมดิบของตนต่อกรมปศุสัตว์ ระหว่างเดือนเมษายน ถึงสิงหาคม 2541 เป็นราย
เดือน รวม 5 เดือนภายในวันที่ 20 กันยายน 2541
- ให้ทุกกลุ่มรายงานการนำเข้าต่อกรมการค้าต่างประเทศ ภายใน 20 วัน
นับตั้งแต่วันที่นำสินค้าเข้าแต่ละครั้ง
- ในกรณีผู้นำเข้ารายใด ไม่ประสงค์นำเข้าหรือนำเข้าไม่ครบตามโควตาให้แจ้ง
คืนโควตาต่อกรมการค้าต่างประเทศ ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2541
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 11-17 พ.ค. 2541--
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้ามีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 ยางพารา : ความจำเป็นในการถอนสมาชิกภาพจาก INRO
บาท/กก.
ระดับชั้นราคาที่ INRO กำหนด
ราคาขั้นสูง 35.10
ราคาต้องขาย (must-sale) 33.54
ราคาอาจจะขาย (may-sale) 32.11
Reference Price 27.94
ราคาอาจจะซื้อ (may-buy) 23.79
ราคาต้องซื้อ (must-buy) 22.36
ราคาขั้นต่ำ 20.00
ราคาต้องซื้อ หมายถึง ระดับราคาที่ทำให้ INRO ต้องซื้อยางเก็บเข้าสต็อก
ราคาต้องขาย หมายถึง ระดับราคาที่ทำให้ INRO ต้องขายยางออกสู่ตลาด
บาท/กก.
รายการ เมย.-ธค. 40 มค. 41 กพ. 41 มีค. 41 เมย. 41
ราคาแจ้งสถานการณ์ตลาด (DMIP) 32.91 44.36 43.80 35.02 34.04
ราคาเกษตรกร 22.96 24.20 29.52 23.77 23.36
ในการประชุมความตกลงยางธรรมชาติครั้งที่ 37 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2540 ที่ผ่านมา
ประเทศผู้ผลิตเรียกร้องให้มีการปรับระดับชั้นราคาให้สูงขึ้น เพื่อจะทำให้การรับซื้อยางเก็บเข้ามูลภัณฑ์
กันชนได้เร็วขึ้น แต่ที่ประชุมมีมติให้คงระดับชั้นราคาเดิมไว้ ซึ่งจากผลการประชุมดังกล่าว และภาวะ
เศรษฐกิจในปัจจุบัน เห็นควรที่ไทยน่าจะนำมาประกอบในการพิจารณขอถอนตัวในการเป็นสมาชิกภาพ
คือ
1) INRO ไม่สามารถยกระดับราคาเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนของเกษตรกรได้ เนื่องจาก
INRO ไม่ปรับระดับชั้นราคาให้สูงขึ้นเพื่อเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ทั้ง
นี้เมื่อพิจารณาการซื้อ-ขายยางเข้ามูลภัณฑ์กันชนของ INRO แล้ว จะเห็นได้ว่าราคาแจ้งสถานการณ์
(DMIP) ในช่วงเดือนมกราคม กิโลกรัมละ 44.36 บาท และ 34.04 บาทในเดือนเมษายน ยังสูง
กว่าราคาต้องซื้อ (must-buy) ที่กิโลกรัมละ 22.36 บาท ทำให้ INRO ไม่สามารถรับซื้อยาง
เก็บเข้าสต็อกได้ แม้ว่าผลผลิตโลกจะเกินความต้องการของตลาด เทียบกับราคาเกษตรกรในเดือน
มกราคม กิโลกรัมละ 24.02 บาท และ 23.36 บาท ในเดือนเมษายน ซึ่งใกล้เคียงกับต้น
ทุนการผลิตที่กิโลกรัมละ 22.06 บาท
2) เงินสมทบบัญชีงบบริหารที่ไทยจะต้องจ่ายเป็นจำนวนกว่าปีละ 8 ล้านบาทนั้น ในภาวะ
เศรษฐกิจเช่นนี้ เห็นว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นภาระและไม่ก่อประโยชน์ต่อประเทศแต่อย่างใด
2.2 สับปะรด : ภาวะภัยแล้งส่งผลต่อการผลิต แต่การส่งออกแจ่มใส
จากที่เกิดภาวะความแห้งแล้งอย่างต่อเนื่องในแหล่งผลิตที่สำคัญในจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์
เพชรบุรี ชลบุรี และระยอง นับแต่ปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลผลิตสับปะรดลดลงโดยเฉพาะในช่วง
เมษายน-มิถุนายน 2541 ซึ่งเป็นช่วงสับปะรดปี (พีคใหญ่) เนื่องจากสภาพต้นไม่สมบูรณ์และเป็นอุปสรรค
ต่อการใช้สารบังคับผลผลิต แต่อย่างไรก็ตามในช่วงปลายปี ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2541
(พีคเล็ก) คาดว่าจะมีผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้ได้เริ่มมีฝนตกบ้างแล้ว และราคาที่
เกษตรกรได้รับในช่วงที่ผ่านมาจูงใจให้มีการดูแลรักษาเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับผลผลิตสับปะรด
ในปี 2541 ผู้ประกอบการแปรรูปได้คาดว่าปริมาณผลผลิตจะลดลงจากปีที่ผ่านมากว่าร้อยละ 20
ส่วนการส่งออกผลิตภัณฑ์สับปะรดโดยเฉพาะไปยังตลาดอเมริกาในปีนี้ คาดว่าจะแจ่ม
ใสมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากปัญหา Anti-Dumping ซึ่งเป็นกรณีพิพาทระหว่างสหรัฐอเมริกากับผู้ส่งออก
ของไทยได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น โดยสหรัฐอเมริกาได้ปรับลดอัตราภาษีขาเข้าให้แก่บริษัทผู้ส่งออก
ส่วนใหญ่ของไทยจากร้อยละ 24.00-51.16 เป็นร้อยละ 0.56-24.64
จากที่คาดว่าผลผลิตสับปะรดจะลดลงดังกล่าวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลทำให้การส่งออก
ของไทยลดลง เมื่อเทียบกับความต้องการของตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นแล้ว ดังนั้นจึงเห็นควรให้กรมส่งเสริม
การเกษตรแนะนำวิธีการหยอดแก๊ส และใส่ปุ๋ย เพื่อให้ได้คุณภาพสอดคล้องตามความต้องการของโรงงาน
รวมทั้งให้โรงงานเข้ามามีบทบาทในการกำหนดราคารับซื้อในระดับที่เหมาะสมด้วย
2.4 ไข่ไก่ : ราคามีแนวโน้มสูงขึ้น
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้
หน่วย : บาท/ฟอง
ปี มค. กพ. มีค. เมย. พค. มิย. กค. สค. กย. ตค. พย. ธค. เฉลี่ย
2540 1.43 1.38 1.44 1.46 1.56 1.59 1.57 1.64 1.69 1.62 1.61 1.57 1.55
2541 1.55 1.72 1.74 1.67 1.78
จากการที่ราคาไข่ไก่ได้อ่อนตัวลงในช่วงปลายปี 2540 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2541 เนื่องจากใน
ช่วงดังกล่าวอัตราการให้ไข่ดีเพราะอากาศค่อนข้างเย็น ทำให้ผลผลิตมีปริมาณมาก ขณะเดียวกันต้นทุน
การผลิตมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารและราคาลูกไก่ โดยในช่วงเดือน
ธันวาคม 2540-มกราคม 2541 ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ในแหล่งเลี้ยงขนาดใหญ่ เช่นจังหวัด
ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา ฯลฯ อยู่ระหว่างฟองละ 1.45 - 1.50 บาท ในขณะที่
ต้นทุนการผลิตอยู่ระหว่างฟองละ 1.35-1.52 บาท ทำให้ผู้เลี้ยงเริ่มประสบกับการขาดทุน ดังนั้น
ในวันที่ 12 มกราคม 2541 คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ได้มีมติให้
แทรกแซงตลาดไข่ไก่ โดยอนุมัติเงินจำนวน 50 ล้านบาท เพื่อใช้รวบรวมไข่ไก่เก็บเข้าห้องเย็น
และนำออกจำหน่ายเมื่อราคาไข่ไก่ในตลาดอยู่ที่ฟองละ 1.35 บาท อย่างไรก็ตามในเดือนกุมภาพันธ์
ราคาไข่ไก่กลับปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนเป็นต้นมา เพราะผลจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
ทำให้ผู้เลี้ยงปรับลดการเลี้ยงลง ประกอบกับการส่งออกค่อนข้างดี เพราะผลของการลดค่าเงินบาท
โดยนอกเหนือจากจะส่งออกไปยังฮ่องกงแล้วยังสามารถส่งออกไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลางได้มาก
ขึ้น นอกจากนั้นแล้วสภาพอากาศที่เริ่มร้อนขึ้น ทำให้อัตราการให้ไข่ลดลง ผลผลิตเริ่มลดน้อยลง
ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ได้ส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้นดังกล่าว แม้ว่าในเดือนเมษายนราคาจะอ่อนตัวลง
เพราะสาเหตุมาจากความต้องการที่ลดลงในช่วงโรงเรียนปิดเทอม ขณะเดียวกันก็มีผลไม้ตามฤดูกาล
ออกมามาก ทำให้การทำขนมหวานที่มีการใช้ไข่ไก่เป็นส่วนประกอบลดลง แต่สาเหตุดังกล่าวก็ทำให้
ราคาอ่อนตัวลงไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากภัยแล้งอันเนื่องมาจากอากาศที่ร้อนจัดในขณะนี้ จะยังคงทำให้
อัตราการให้ไข่ลดลง และมีปัญหาไก่ป่วยและตายมากขึ้น บางพื้นที่เกิดภาวะขาดแคลนน้ำ ส่งผลให้
ผลผลิตเริ่มขาดตลาดและราคามีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ในสัปดาห์
นี้เฉลี่ยฟองละ 1.81 บาท คาดว่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ราคาจะมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก เพราะ
ผลจากการปรับลดการเลี้ยงในช่วงที่ราคาตกต่ำจะทำให้ไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดมีปริมาณลดลง ประกอบกับ
ความต้องการบริโภคที่เพิ่มมากขึ้น เพราะการเปิดภาคเรียนของสถานศึกษาต่าง ๆ
2.4 น้ำนมดิบ : การจัดสรรโควตานมผงขาดมันเนย งวดที่ 2
ตามที่คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการปศุสัตว์แห่งชาติ ได้มีมติเมื่อคราวประชุม
ครั้งที่ 1/2541 วันที่ 12 มกราคม 2541 ให้แบ่งการจัดสรรโควตานำเข้านมผงขาดมันเนยให้ผู้ประกอบ
การเป็น 2 งวด ๆ ละ 6 เดือน สำหรับงวดที่ 1 ระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน 2541 ได้ดำเนิน
การจัดสรรสิทธิให้ผู้ประกอบการไปแล้ว และขณะนี้ใกล้สิ้นสุดงวดที่ 1 คณะอนุกรรมการพัฒนาโคนมและ
ผลิตภัณฑ์นม จึงได้พิจารณาจัดสรรโควตานำเข้านมผงขาดมันเนยในงวดที่ 2 เสนอต่อคณะกรรมการ
นโยบายฯ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อจะได้สามารถดำเนินการประกาศการจัดสรรโควตาได้ตาม
กำหนดเวลา
ในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายฯ ครั้งที่ 2/2541 วันที่ 15 พฤษภาคม 2541 โดย
มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายสมชาย สุนทรวัฒน์) เป็นประธาน ได้มีมติให้จัด
สรรโควตานำเข้านมผงขาดมันเนยงวดที่ 2 ดังนี้ คือ
1) ปริมาณจัดสรรในงวดที่ 2 จำนวน 39,000 ตัน
2) ระยะเวลาการนำเข้าในงวดที่ 2 ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2541
3) แบ่งกลุ่มผู้นำเข้าเป็น 4 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 ผู้ผลิตนมพร้อมดื่ม จำนวน 13,470 ตัน
กลุ่มที่ 2 ผู้ผลิตนมข้น จำนวน 15,870 ตัน
กลุ่มที่ 3 นิติบุคคลผู้ประกอบการแปรรูปอาหารนม จำนวน 7,000 ตัน
กลุ่มที่ 4 นิติบุคคลผู้นำเข้านมผงขาดมันเนยเพื่อการค้า จำนวน 2,660 ตัน
4) เงื่อนไขการบริหารการนำเข้า
- สำหรับกลุ่มผู้ผลิตนมพร้อมดื่ม ให้รายงานการซื้อขายและแหล่งซื้อขายน้ำนมดิ
หรือปริมาณการใช้น้ำนมดิบของตนต่อกรมปศุสัตว์ ระหว่างเดือนเมษายน ถึงสิงหาคม 2541 เป็นราย
เดือน รวม 5 เดือนภายในวันที่ 20 กันยายน 2541
- ให้ทุกกลุ่มรายงานการนำเข้าต่อกรมการค้าต่างประเทศ ภายใน 20 วัน
นับตั้งแต่วันที่นำสินค้าเข้าแต่ละครั้ง
- ในกรณีผู้นำเข้ารายใด ไม่ประสงค์นำเข้าหรือนำเข้าไม่ครบตามโควตาให้แจ้ง
คืนโควตาต่อกรมการค้าต่างประเทศ ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2541
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 11-17 พ.ค. 2541--