1. การแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการ ผลการดำเนินการ 1) ได้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้ าราชการครู โดยที่ประชุมได้พิจารณา ปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการในการให้ข้าราชการครูกู้ยืมเงินใหม่ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2540 2) สำนักงาน ก.ค. ได้แจ้งประกาศฯ หลักเกณฑ์และวิธีการให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องสำนักงานศึกษาธิการ จังหวัด และ หน่วยงานทางการศึกษาต่าง ๆ ซึ่งในหลักเกณฑ์และวิธีการปรับปรุงใหม่นั้น กำหนดคุณสมบัติตามเกณฑ์สามารถ กู้ได้ 200,000 บาท หรือมากกว่าโดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 6 ส่งคืนภายใน 8 ปี ซึ่งครูที่จะกู้ได้ตามเกณฑ์นี้ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ (1) เป็นผู้มีหนี้สินที่เกิดจากการกู้ยืมเงินอันปรากฎหลักฐานการเป็นหนี้สินชั ดเจน ซึ่งเป็นหนี้ที่ก่อไว้ก่อนวันที่ยื่นคำขอกู้ (2) เป็นผู้มีหนี้อันต้องชำระตามคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาล (3) เป็นผู้ที่ปรากฎตามหลักฐานการจ่ายเงินเดือนว่าภายหลังหักเงินเดือนชำระหนี ้ แล้วไม่มีเงินเดือนคงเหลืออยู่เลย และยังมีหนี้ที่จะต้องชำระอยู่อีก (4) เป็นผู้ที่ได้รับเงินเดือนสุทธิน้อยกว่าร้อยละ 20 ของเงินเดือน 3) กำหนดให้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการเกี่ยว กับคำขอกู้ของข้าราชการครูในเขต รับผิดชอบให้แล้วเสร็จภายใน 23 มกราคม 2541 และคณะอนุกรรมการฯ ระดับกระทรวง/จังหวัด ดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 มกราคม 2541 4) สำนักงาน ก.ค. จัดสรรยอดเงินให้จังหวัดต่าง ๆ โดยคำนวณจากสัดส่วนจำนวน ข้าราชการครูของแต่ละจังหวัด ส่วนการ ทำสัญญากู้ยืมส่งใช้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ย โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์จำกัด (ธ.ก.ส.) และจากข้อมูล ข้าราชการครู ขอกู้ มียอดเงินสูงกว่าวงเงินที่จัดสรรให้ทุกจังหวัด
2. การขอปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งและแต่งตั้งข้าราชการครูสายงานบริหารสถานศึก ษา ผลการดำเนินการ ได้กำหนดนโยบายการเร่งรัดการปฏิบัติงานให้รวดเร็ว ได้ให้สำนักงาน ก.ค.สำรวจงานค้างปรากฎว่ามีคำขอปรับปรุงการ กำหนดตำแหน่ง และแต่งตั้งข้าราชการครูสายงานบริหารสถานศึกษา ค้างการพิจารณาอยู่ 8021 โรงเรียน/9242 ตำแหน่ง ได้เร่ง รัดการดำเนินการ โดยขอความอนุเคราะห์จากสำนักงานคณะกรรมการปกครองประถมศึกษาแห่งชาติ ในการสนับสนุน ข้าราชการครูช่วยวิเคราะห์งาน และสนับสนุนงบประมาณการดำเนินการ โดยตั้งศูนย์การปฏิบัติงานที่สำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดนนทบุรี ซึ่งผลการดำเนินการกับคำขอปี 2539 ที่ตกค้างนี้เสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2541
3. คำขอปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ ผลการดำเนินการ ได้มีนโยบายเร่งรัดการปฏิบัติงานของสำนักงาน ก.ค. โดยมีการสำรวจงานค้าง ปรากฎว่ามีคำขอตำแหน่งทางวิชาการ ค้าง การพิจารณาอยู่ 2614 ราย ได้มีการหาแนวทางการแก้ปัญหาเพื่อให้งานที่ค้างอยู่เสร็จสิ้นโดยเร็ว โดยตั้งกรรมการผู้อ่าน ผลงาน เพิ่มขึ้นในสาขาที่มีปริมาณคำขอมาก และกำหนดวิธีการลดขั้นตอนการทำงานออกมาตรการกำกับเร่งรัดจน ณ ปัจจุบัน งานแล้ว เสร็จ 1599 ราย ยังค้างการดำเนินการอยู่เพียง 1015 ราย ซึ่งก็ได้เร่งรัดการดำเนินการโดยจัดระบบการจัดการใหม่
4. การปรับปรุงโครงสร้างสำนักงาน ก.ค. ผลการดำเนินการ จากเมื่อปี 2538 เป็นต้นมาสำนักงาน ก.ค. ได้แบ่งงานภายในเป็น 5 สำนัก 6 ศูนย์/กอง/กลุ่ม ซึ่งจากเดิมตามพระราช กฤษฎี การแบ่งส่วนราชการของสำนักงาน ก.ค. มีเพียง 6 กอง โดยในเบื้องต้นหวังว่าจะขอปรับโครงสร้างใหม่ไปยัง ก.พ. แต่ยังมิได้ ดำเนินการตามแผนการดังกล่าว จวบจนขณะนี้นโยบายของรัฐบาลไม่ให้ขยายหน่วยงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ และประกอบกับการแบ่งส่วนราชการภายในไม่เป็นไปตามภาระหน้าที่ที่ปรากฎในพระ ราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการของ สำนักงาน ก.ค. ตามกฎหมายทำให้งานในหน้าที่ของบางกองถูกละเลยและไม่ปฏิบัติ จึงได้มีนโยบายให้ยกเลิกคำสั่งแบ่งส่วน ราชการภายในดังกล่าว ให้กลับไปใช้โครงสร้างเดิมตามพระราชกฤษฎีกา เพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายที่กำหนด โดยดำเนินการดังนี้ (1) ยกเลิกโครงสร้างภายในกลับไปใช้โครงสร้างเดิมตามพระราชกฤษฎีกา (2) เกี่ยวอัตรากำลังและเจ้าหน้าที่ให้เหมาะสมกับปริมาณงาน (3) จัดระบบการทำงานให้คล่องตัว รวดเร็ว เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพ (4) จัดบุคลากรให้เหมาะสมกับงาน เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถและประสบการณ์
5. หลักเกณฑ์และวิธีการ (สอบ) คัดเลือกข้าราชการครูเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาและผู ้บริหารหน่วยงาน ทางการศึกษา ผลการดำเนินการ เนื่องจากการดำเนินการคัดเลือกข้าราชการครู เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา เช่น ตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการโรงเรียน และผู้บริหารในหน่วยงานระดับจังหวัด ระดับอำเภอของกรมต่าง ๆ ไม่เป็นไปในแนวเดียวกัน คือ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติใช้วิธีสอบคัดเลือก แล้วเข้าอบรมแล้วแต่งตั้งตามลำดับที่สอบได้ ส่วนกรม สามัญศึกษาใช้วิธีคัด เข้าอบรมแล้วแต่งตั้งตามความเหมาะสม ทำให้เกิดปัญหาการวิ่งเต้นเพื่อเข้ารับการอบรม และวิ่งเต้น เพื่อ การแต่งตั้งทำให้สร้างความไม่เป็นธรรมตามระบบคุณธรรม ก.ค. โดยนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการ (สอบ) คัดเลือกขึ้นเพื่อใช้คัดเลือกผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารหน่วยงานทางการศึกษาโดยกำหนดหลักการดังนี้ (1) สอบภาคความรู้เกี่ยวกับตำแหน่งและความรู้ความสามารถทั่วไป (2) มีการประเมินโดยการสัมภาษณ์ผู้ผ่านการสอบในชั้นแรก (3) มีการประเมินสถานภาพของครอบครัว ประวัติการทำงาน ภูมิหลังในเรื่องต่าง ๆ (4) เสนอแนวคิดในการทำงาน การวางแผนแก้ปัญหางานเชิงบริหาร ผู้ผ่านการคัดเลือกต้องเข้าอบรมตามหลักสูตรท ี่ ก.ค. กำหนด ผลการสอบการประเมินจัดลำดับแต่งตั้งตามลำดับและขึ้น บัญชีไว้ 3 ปี
6. การยกเว้นคุณสมบัติด้านการฝึกอบรมผู้บริหารสถานศึกษา ผลการดำเนินการ ด้วยในปีงบประมาณ 2541 กระทรวงศึกษาธิการถูกตัดงบประมาณการฝึกอบรมทำให้การอบรมเตรียมผู้บริหาร เพื่อเข้าสู่ ตำแหน่งเกิดปัญหาในด้านงบประมาณ ประกอบกับในปี 2539 - 2540 ก.ค. ได้อนุมัติตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ และตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียน ตามเกณฑ์ปกติและเกณฑ์กันดารยุ่งยากไปจำนวนมาก ซึ่งกรมไม่สามารถจัดฝึกอบรมก่อนออกคำสั่งแต่งตั้ง ได้ทัน และประกอบกับ นโยบาย ฯพณฯ นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมอบหมายให้สำนักงาน ก.ค. พิจารณาดำเนินการในเรื่องนี้ โดยมติ ก.ค. โดยมี นายอาคม เอ่งฉ้วน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธาน ก.ค. ได้เห็น ชอบในเรื่องนี้ คือ (1) ให้ยกเว้นคุณสมบัติด้านการฝึกอบรม แก่ข้าราชการครูผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการ โรงเรียน โดยให้ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุแต่งตั้งตามมาตรา 42 สามารถออกคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการครูให้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการโรงเรียนได้ก่อนวันที่ ก.ค. อนุมัติตำแหน่ง (2) หลังจากแต่งตั้งตามข้อ (1) แล้วให้กรมจัดฝึกอบรมภายใน 1 ปี จากการยกเว้นคุณสมบัติด้านการฝึกอบรมดังกล่าวสามารถ แต่งตั้งข้าราชการครู ให้ดำรงตำแหน่งได้ทันที และชะลอการใช้จ่ายเงินงบประมาณในการฝึกอบรมไปอีก 1 ปี รวมทั้งการคล่องตัวในการบริหาร
7. การกระจายอำนาจการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งข้าราชการครูให้ดำรงตำแหน่งทางว ิชาการ ในตำแหน่งอาจารย์ 3 ศึกษานิเทศก์ 8 และผู้บริหารสถานศึกษาระดับ 8 ผลการดำเนินการ ก.ค. เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2541 ได้พิจารณาปรับปรุงวิธีการในการขอกำหนดตำแหน่งอาจารย์ 3 ศึกษานิเทศก์ 8 ผู้บริหาร สถานศึกษาระดับ8 ซึ่งในปัจจุบันต้องทำคำขอที่แสดงถึงความชำนาญการ/เชี่ยวชาญ และทำผลงานทางวิชาการ เสนอให้ ก.ค. พิจารณาทั้ง 2 ส่วน ซึ่งจาการศึกษาวิเคราะห์และการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิที่อ่านผลงาน เห็นว่าการประเมินด้านภาคการ ชำนาญการ/ เชี่ยวชาญ น่าจะประเมินโดย อ.ก.ค. กรมตั้งขึ้นในท้องถิ่นเพื่อการประเมินตรงตามสภาพที่แท้จริงจึงได้กำหนด วิธี การใหม่ ดังนี้ (1) การประเมินผลการปฏิบัติงาน (1000 คะแนน) ให้ตั้งกรรมการ 3 คน ประกอบ ด้วยผู้บริหารโรงเรียน ครูในโรงเรียน และศึกษานิเทศก์ หรือครูนอกโรงเรียน เป็นคณะกรรมการ ทั้งนี้วิธีการประเมิน ประเมินจากเอกสารและจากสภาพจริง (2) การประเมินความชำนาญการ/เชี่ยวชาญให้ อ.ก.ค.กรม ตั้งกรรมการ ซึ่งเป็นอาจารย์ 3 ศึกษานิเทศก์ 8 ขึ้นไปในสาขา นั้น ๆ จำนวน 3 คน เป็นคณะกรรมการประเมิน (3) ผลงานทางวิชาการส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่ง ก.ค. แต่งตั้งเป็นผู้ประเมิน
8. การฝึกอบรมเตรียมผู้บริหาร (อบรมทางไกล) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ ผลการดำเนินการ จากมาตรฐานการกำหนดตำแหน่งข้าราชการครู กำหนดว่า ผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งได้แก่ ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการโรงเรียน หรือตำแหน่งผู้ช่วย ต้องผ่านการ ฝึกอบรมผู้บริหารสถานศึกษา โดยกำหนดระยะเวลาในการ ฝึกอบรมไม่น้อยกว่า 23 วันทำการ หรือไม่น้อยกว่า 184 ชั่วโมง ซึ่งในปัจจุบันมีการอนุมัติตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน มากในปี 2539 - 2540 ตามหลักเกณฑ์วิธีการปกติและเกณฑ์กันดาร ยุ่งยากและประกอบกับกรมต่าง ๆ ถูกปรับลดงบประมาณ ในการฝึกอบรมจึงได้หาวิธีการและแนวทางในการฝึกอบรมให้ได้ทั่วถึง และประหยัดค่าใช้จ่ายจึงได้เสนอ ก.ค. พิจารณาอนุมัติ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2540 โดยได้ปรับวิธีการฝึกอบรมแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ใช้ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง กำหนดให้ศึกษา 30 วัน เมื่อผ่านการสอบมีคะแนนรวมร้อยละ 60 ขึ้นไป จึงเข้ารับ การอบรมขั้นตอน ต่อไป ขั้นตอนที่ 2 ฝึกปฏิบัติงานในสถานศึกษาต้นแบบ ใช้เวลาศึกษา 10 วัน ในระหว่างนั้นต้องเขียนภาคนิพนธ์ และรายงาน ผลงานทางวิชาการ เมื่อผ่านการประเมินผลรวมร้อยละ 60 ขึ้นไป จึงเข้ารับการประชุมเชิงปฏิบัติการ ขั้นตอนที่ 3 การประชุมเชิงปฏิบัติการ ใช้เวลา 5 วัน ณ เขตการศึกษา/จังหวัด หรือสถาบันพัฒนาผู้บริหารการศึกษา จากการปรับปรุงวิธีการอบรมดังกล่าวประหยัดงบประมาณได้มากและสามารถจัดอบรม ได้พร้อม ๆ กันทั้งประเทศ ซึ่งการ ฝึกอบรมตามวิธีการดังกล่าวนี้ได้เปิดอบรมโดย ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายชุมพล ศิลปอาชา) และมีการ ปฐมนิเทศ ผู้เข้าอบรมโดยวิธีการทางไกลโดย ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายอาคม เอ่งฉ้วน) ประธาน ก.ค. แล้ว ตั้งแต่ 1 เมษายน 2541
9. การสรรหาบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครู ครั้งที่ 1 ปี 2541 ผลการดำเนินการ ด้วย ก.ค. เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2541 ได้มีมติในการสรรหาบุคคลเข้ารับราชการเป็นราชการครู ครั้งที่ 1 ปี 2541 ใช้วิธีสอบ แข่งขัน ทั้งนี้ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์วิธีการ ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค. ที่ ศธ 1504/ว9 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2529 กล่าวโดย สรุป มีการสอบข้อเขียนภาคความรู้ความสามารถทั่วไป ภาคความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง และสอบภาคความเหมาะสม กับตำแหน่ง (สัมภาษณ์) อนึ่งสำหรับการคัดเลือกที่ดำเนินการเมื่อปี 2540 นั้น ให้ยกเลิกสำหรับกรมต่าง ๆ ยกเว้นการคัดเลือกใช้ได้ในสถาบันเทค โนโลยีราชมงคล สำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ แต่ต้องขอให้ ก.ค. อนุมัติการคัดเลือกก่อน
10. การเสียสละเงินประจำตำแหน่ง ผลการดำเนินการ ตามนโยบายของรัฐบาลให้มีการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรไม่ให้ขยายตัวเข้ม งวดดูแลการใช้จ่ายอย่างประหยัดและเพิ่ม ประสิทธิภาพในการทำงาน และสร้างจิตสำนึกความเสียสละความสามัคคีในหมู่ข้าราชการ โดยคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือน แห่งชาติ (กงช.) ได้ประชุมเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2540 เห็นว่าข้าราชการผู้มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งแต่ละคนจะสมัครใจ เสียสละเงินประจำตำแหน่ง ก.ค. กำหนดนโยบายมอบให้กระทรวงศึกษาธิการโดย นายสุรัฐ ศิลปอนันต์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ประชุมอธิบดีทุก กรมเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2541 เห็นพ้องกันว่าข้าราชการกระทรวงศึกษาการ ซึ่งมีเงินประจำตำแหน่งควรได้ผนึกกำลังที่จะแสดง ถึงความสามัคคีช่วยชาติเช่นเดียวกับข้าราชการฝ่ายอื่น ๆ กล่าวคือ ข้าราชการระดับ 9 ขึ้นไปเสียสละในอัตราร้อยละ 20 ต่อเดือน และข้าราชการระดับ 8 ลงมาเสียสละในอัตราร้อยละ10 ต่อเดือน เป็นเวลา 9 เดือน (มกราคม 2541 - กันยายน 2541) โดยแต่ละ คนลงชื่อแสดงความจำนงเสียสละตามแบบที่กระทรวงการคลังกำหนด จากการประเมินเบื้องต้นปรากฎว่าข้าราชการครูผู้มีเงินประจำตำแหน่ง ได้แสดงความจำนงเสียสละตามที่ได้มีการรณรงค์ ทั้งนี้ กรมต่าง ๆ ได้รับไปดำเนินการแล้วตั้งแต่ 15 มกราคม 2541
11. การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งทางวิชาการตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ผลการดำเนินการ จากการประเมินตำแหน่งทางวิชาการของข้าราชการครูในปัจจุบัน ซึ่งมีการประเมินจากเอกสารที่ข้าราชการครูจัดทำขึ้น ทั้ง ที่ประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาต่าง ๆ ซึ่ง ก.ค. แต่งตั้งก็ไม่อาจยืนยันได้ถึงผลสะท้อนที่แท้จริงจากคุณภาพการจัด การเรียน การสอน ก.ค. จึงมีนโยบายในการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการใหม่ โดยการประเมินจากระดับคุณภาพซึ่งยึดมาตรฐาน วิชาชีพครู ซึ่งคุรุสภาจัดทำขึ้นและกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้ไปแล้ว ทั้งนี้ การประเมินยึดระดับคุณภาพทางวิชาชีพครู ซึ่งคุรุสภา จัดทำขึ้นและกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้ไปแล้ว ทั้งนี้ การประเมินยึดระดับคุณภาพทางวิชาชีพ NTO และ EMQ เพื่อ พัฒนาวิชาชีพสู่ความเป็นมืออาชีพจึงให้ตำแหน่งสูงขึ้นและนอกจากนี้ยังใช้เ ป็นเกณฑ์การประเมินครูดีมีผลงาน เป็นที่ ประจักษ์ ต่อสาธารณชนทั้งใน และต่างประเทศ ก.ค. เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2541 ได้มีมติตั้ง อ.ก.ค. วิสามัญเฉพาะกิจจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการ ประเมินตำแหน่งทาง วิชาการตามสภาพจริง โดยให้เสร็จภายใน พฤษภาคม 2541 โดยในขณะนี้ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงาน ต่าง ๆ มาร่วมจัดทำร่างหลักเกณฑ์และวิธีการแล้ว ซึ่งจะนำเสนอ ก.ค. อนุมัติต่อไป
12. การขอแก้ไขกฎ ก.ค. ฉบับที่ 13 ว่าด้วยการกำหนดระดับเงินเดือนของตำแหน่งข้าราชการครู (ผศ. รศ. ศ., ผอ.ปจ. ศธจ. สศจ. หน.ปอ./หน.ปก., ศธอ. และผู้ช่วย) ให้มีระดับสูงขึ้นอีก 1 ระดับ เฉพาะตัว ผลการดำเนินการ ก.ค. ได้เสนอแก้ไขกฎ ก.ค. ฉบับที่ 13 ว่าด้วยการกำหนดระดับตำแหน่งข้าราชการครู ซึ่งได้แก่ ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์ สามารถปรับระดับสูงขึ้นได้อีก 1 ระดับ และตำแหน่งศึกษาธิการจังหวัด ศึกษาธิการอำเภอ ผู้อำนวยการประถมศึกษาจังหวัด หัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอ/กิ่ง ผู้อำนวยการสามัญศึกษาจังหวัด และตำแหน่งผู้ช่วยของ ตำแหน่งดังกล่าวสามารถปรับระดับเงินเดือนได้สูงขึ้นอีก 1 ระดับ โดยเป็นตำแหน่งเฉพาะตัว ที่จะต้องใช้ผลงานทางวิชาการ ในการขอปรับระดับ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2541 ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายชุมพล ศิลปอาชา) ได้มีหนังสือยืนยันการ ดำเนินการต่อไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และเรื่องนี้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีให้ชะลอไว้ก่อน เว้นแต่การปรับ ระดับดังกล่าวไม่กระทบต่องบประมาณที่จัดสรรไว้ ซึ่งเรื่องนี้สำนักงาน ก.ค. ได้แจ้งให้กรมดำเนินการวิเคราะห์ด้านงบประมาณ รายคนหากปรับระดับสูงขึ้น เพื่อนำเสนอสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งต่อไป
13. กฎ ก.ค. ฉบับที่ 20 (พ.ศ. 2540) ว่าด้วยการเลื่อนขั้นเงินเดือน ผลการดำเนินการ ก.ค. ได้ออกกฎ ก.ค. ฉบับที่ 20 (พ.ศ. 2540) ว่าด้วยการเลื่อนขั้นเงินเดือนใช้สำหรับ ข้าราชการครูโดยเฉพาะ ทั้งนี้เดิมการ เลื่อนขั้นเงินเดือนใช้กฎ ก.พ. ฉบับที่ 10 สรุปดังนี้ (1) ปีใช้ปีการศึกษา (2) องค์ประกอบการประเมินใช้มาตรฐานวิชาชีพครูของกระทรวงศึกษาธิการ (11 ข้อ) (3) การประเมินเน้นผลงาน ลักษณะ และคุณภาพของงาน (4) ให้ตั้งคณะกรรมการไม่น้อยกว่า 3 คน เป็นคณะกรรมการประเมิน โดยเน้นให้มีผู้สอนในสถานศึกษานั้นเป็น คณะกรรมการประเมินด้วย (5) ให้ประเมินอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง (6) ให้ใช้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2541 เป็นต้นไป สำนักงาน ก.ค. ได้แจ้งให้กรมทราบและถือปฏิบัติแล้ว ตั้งแต่ 15 ธันวาคม 2540
14. การร่างกฎ ก.ค. ฉบับที่..(พ.ศ..) ว่าด้วยกรณีหย่อนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติ หน้าที่ราชการ บกพร่องใน หน้าที่ ราชการหรือประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ ราชการที่ปรากฎชัดเจน ผลการดำเนินการ เรื่องนี้เดิมใช้กฎ ก.พ.มาบังคับใช้แก่ข้าราชการครู ซึ่ง ก.ค. มีมติให้ร่างกฎ ก.ค. ว่าด้วยกรณีหย่อนความสามารถ ในอันที่จะ ปฏิบัติหน้าที่ราชการบกพร่องในหน้าที่ราชการ หรือประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ราชการที่ปรากฎชัดแจ้ง ซึ่ง เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2541 ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายชุมพล ศิลปอาชา) ได้ลงนามยืนยันการดำเนินการ ต่อไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว
15. ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ....และพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงิน ประจำตำแหน่งข้าราชการครู พ.ศ ผลการดำเนินการ ก.ค.ได้มีมติให้มีการแก้ไขโดยร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ. 2523 เสียใหม่ และร่างพระราชบัญญัติเงิน เดือนประจำตำแหน่งข้าราชการครู โดยเสนอไปให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ขอให้กระทรวง ศึกษาธิการยืนยันการดำเนินการต่อไป และต่อมาเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2541 ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายชุมพล ศิลปอาชา) ได้ลงนามในหนังสือแจ้งยืนยันให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินกา รในเรื่องดังกล่าว ต่อไปแล้ว
16. การรณรงค์ให้ข้าราชการครูออมทรัพย์เพื่อชาติ ผลการดำเนินการ ก.ค. ได้จัดโครงการสนองนโยบายของรัฐบาล ให้มีการรณรงค์ให้คนในชาติออมทรัพย์เพื่อช่วยวิกฤตการณ์ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งสำนักงาน ก.ค. ร่วมกับคุรุสภาได้จัดทำสติกเกอร์ จำนวน 1 แสนใบ รณรงค์เพื่อการออมทรัพย์ โดยเริ่มตั้งแต่วันครู 16 มกราคม 2541 เป็นต้นไป โดยสำนักงาน ก.ค. ร่วมกับธนาคารออมสินรับฝากเงินเป็นปฐมฤกษ์ ในวันครู ปี 2541 (16 มกราคม 2541) ที่สนามกีฬาแห่งชาติ โดยมี ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายชุมพล ศิลปอาชา) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง ศึกษาธิการ (นายอาคม เอ่งฉ้วง) ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (นายสุรัฐ ศิลปอนันต์) เลขาธิการ ก.ค. อธิบดีกรมสามัญศึกษา และ ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการร่วมฝากเงินกับธนาคารออมสินในวันนั ้นด้วย ในการรณรงค์ได้แจ้งให้ขยายผลไปถึง นักเรียนและชุมชน โดยข้าราชการครูปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างด้วย--จบ--
2. การขอปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งและแต่งตั้งข้าราชการครูสายงานบริหารสถานศึก ษา ผลการดำเนินการ ได้กำหนดนโยบายการเร่งรัดการปฏิบัติงานให้รวดเร็ว ได้ให้สำนักงาน ก.ค.สำรวจงานค้างปรากฎว่ามีคำขอปรับปรุงการ กำหนดตำแหน่ง และแต่งตั้งข้าราชการครูสายงานบริหารสถานศึกษา ค้างการพิจารณาอยู่ 8021 โรงเรียน/9242 ตำแหน่ง ได้เร่ง รัดการดำเนินการ โดยขอความอนุเคราะห์จากสำนักงานคณะกรรมการปกครองประถมศึกษาแห่งชาติ ในการสนับสนุน ข้าราชการครูช่วยวิเคราะห์งาน และสนับสนุนงบประมาณการดำเนินการ โดยตั้งศูนย์การปฏิบัติงานที่สำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดนนทบุรี ซึ่งผลการดำเนินการกับคำขอปี 2539 ที่ตกค้างนี้เสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2541
3. คำขอปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ ผลการดำเนินการ ได้มีนโยบายเร่งรัดการปฏิบัติงานของสำนักงาน ก.ค. โดยมีการสำรวจงานค้าง ปรากฎว่ามีคำขอตำแหน่งทางวิชาการ ค้าง การพิจารณาอยู่ 2614 ราย ได้มีการหาแนวทางการแก้ปัญหาเพื่อให้งานที่ค้างอยู่เสร็จสิ้นโดยเร็ว โดยตั้งกรรมการผู้อ่าน ผลงาน เพิ่มขึ้นในสาขาที่มีปริมาณคำขอมาก และกำหนดวิธีการลดขั้นตอนการทำงานออกมาตรการกำกับเร่งรัดจน ณ ปัจจุบัน งานแล้ว เสร็จ 1599 ราย ยังค้างการดำเนินการอยู่เพียง 1015 ราย ซึ่งก็ได้เร่งรัดการดำเนินการโดยจัดระบบการจัดการใหม่
4. การปรับปรุงโครงสร้างสำนักงาน ก.ค. ผลการดำเนินการ จากเมื่อปี 2538 เป็นต้นมาสำนักงาน ก.ค. ได้แบ่งงานภายในเป็น 5 สำนัก 6 ศูนย์/กอง/กลุ่ม ซึ่งจากเดิมตามพระราช กฤษฎี การแบ่งส่วนราชการของสำนักงาน ก.ค. มีเพียง 6 กอง โดยในเบื้องต้นหวังว่าจะขอปรับโครงสร้างใหม่ไปยัง ก.พ. แต่ยังมิได้ ดำเนินการตามแผนการดังกล่าว จวบจนขณะนี้นโยบายของรัฐบาลไม่ให้ขยายหน่วยงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ และประกอบกับการแบ่งส่วนราชการภายในไม่เป็นไปตามภาระหน้าที่ที่ปรากฎในพระ ราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการของ สำนักงาน ก.ค. ตามกฎหมายทำให้งานในหน้าที่ของบางกองถูกละเลยและไม่ปฏิบัติ จึงได้มีนโยบายให้ยกเลิกคำสั่งแบ่งส่วน ราชการภายในดังกล่าว ให้กลับไปใช้โครงสร้างเดิมตามพระราชกฤษฎีกา เพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายที่กำหนด โดยดำเนินการดังนี้ (1) ยกเลิกโครงสร้างภายในกลับไปใช้โครงสร้างเดิมตามพระราชกฤษฎีกา (2) เกี่ยวอัตรากำลังและเจ้าหน้าที่ให้เหมาะสมกับปริมาณงาน (3) จัดระบบการทำงานให้คล่องตัว รวดเร็ว เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพ (4) จัดบุคลากรให้เหมาะสมกับงาน เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถและประสบการณ์
5. หลักเกณฑ์และวิธีการ (สอบ) คัดเลือกข้าราชการครูเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาและผู ้บริหารหน่วยงาน ทางการศึกษา ผลการดำเนินการ เนื่องจากการดำเนินการคัดเลือกข้าราชการครู เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา เช่น ตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการโรงเรียน และผู้บริหารในหน่วยงานระดับจังหวัด ระดับอำเภอของกรมต่าง ๆ ไม่เป็นไปในแนวเดียวกัน คือ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติใช้วิธีสอบคัดเลือก แล้วเข้าอบรมแล้วแต่งตั้งตามลำดับที่สอบได้ ส่วนกรม สามัญศึกษาใช้วิธีคัด เข้าอบรมแล้วแต่งตั้งตามความเหมาะสม ทำให้เกิดปัญหาการวิ่งเต้นเพื่อเข้ารับการอบรม และวิ่งเต้น เพื่อ การแต่งตั้งทำให้สร้างความไม่เป็นธรรมตามระบบคุณธรรม ก.ค. โดยนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการ (สอบ) คัดเลือกขึ้นเพื่อใช้คัดเลือกผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารหน่วยงานทางการศึกษาโดยกำหนดหลักการดังนี้ (1) สอบภาคความรู้เกี่ยวกับตำแหน่งและความรู้ความสามารถทั่วไป (2) มีการประเมินโดยการสัมภาษณ์ผู้ผ่านการสอบในชั้นแรก (3) มีการประเมินสถานภาพของครอบครัว ประวัติการทำงาน ภูมิหลังในเรื่องต่าง ๆ (4) เสนอแนวคิดในการทำงาน การวางแผนแก้ปัญหางานเชิงบริหาร ผู้ผ่านการคัดเลือกต้องเข้าอบรมตามหลักสูตรท ี่ ก.ค. กำหนด ผลการสอบการประเมินจัดลำดับแต่งตั้งตามลำดับและขึ้น บัญชีไว้ 3 ปี
6. การยกเว้นคุณสมบัติด้านการฝึกอบรมผู้บริหารสถานศึกษา ผลการดำเนินการ ด้วยในปีงบประมาณ 2541 กระทรวงศึกษาธิการถูกตัดงบประมาณการฝึกอบรมทำให้การอบรมเตรียมผู้บริหาร เพื่อเข้าสู่ ตำแหน่งเกิดปัญหาในด้านงบประมาณ ประกอบกับในปี 2539 - 2540 ก.ค. ได้อนุมัติตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ และตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียน ตามเกณฑ์ปกติและเกณฑ์กันดารยุ่งยากไปจำนวนมาก ซึ่งกรมไม่สามารถจัดฝึกอบรมก่อนออกคำสั่งแต่งตั้ง ได้ทัน และประกอบกับ นโยบาย ฯพณฯ นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมอบหมายให้สำนักงาน ก.ค. พิจารณาดำเนินการในเรื่องนี้ โดยมติ ก.ค. โดยมี นายอาคม เอ่งฉ้วน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธาน ก.ค. ได้เห็น ชอบในเรื่องนี้ คือ (1) ให้ยกเว้นคุณสมบัติด้านการฝึกอบรม แก่ข้าราชการครูผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการ โรงเรียน โดยให้ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุแต่งตั้งตามมาตรา 42 สามารถออกคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการครูให้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการโรงเรียนได้ก่อนวันที่ ก.ค. อนุมัติตำแหน่ง (2) หลังจากแต่งตั้งตามข้อ (1) แล้วให้กรมจัดฝึกอบรมภายใน 1 ปี จากการยกเว้นคุณสมบัติด้านการฝึกอบรมดังกล่าวสามารถ แต่งตั้งข้าราชการครู ให้ดำรงตำแหน่งได้ทันที และชะลอการใช้จ่ายเงินงบประมาณในการฝึกอบรมไปอีก 1 ปี รวมทั้งการคล่องตัวในการบริหาร
7. การกระจายอำนาจการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งข้าราชการครูให้ดำรงตำแหน่งทางว ิชาการ ในตำแหน่งอาจารย์ 3 ศึกษานิเทศก์ 8 และผู้บริหารสถานศึกษาระดับ 8 ผลการดำเนินการ ก.ค. เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2541 ได้พิจารณาปรับปรุงวิธีการในการขอกำหนดตำแหน่งอาจารย์ 3 ศึกษานิเทศก์ 8 ผู้บริหาร สถานศึกษาระดับ8 ซึ่งในปัจจุบันต้องทำคำขอที่แสดงถึงความชำนาญการ/เชี่ยวชาญ และทำผลงานทางวิชาการ เสนอให้ ก.ค. พิจารณาทั้ง 2 ส่วน ซึ่งจาการศึกษาวิเคราะห์และการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิที่อ่านผลงาน เห็นว่าการประเมินด้านภาคการ ชำนาญการ/ เชี่ยวชาญ น่าจะประเมินโดย อ.ก.ค. กรมตั้งขึ้นในท้องถิ่นเพื่อการประเมินตรงตามสภาพที่แท้จริงจึงได้กำหนด วิธี การใหม่ ดังนี้ (1) การประเมินผลการปฏิบัติงาน (1000 คะแนน) ให้ตั้งกรรมการ 3 คน ประกอบ ด้วยผู้บริหารโรงเรียน ครูในโรงเรียน และศึกษานิเทศก์ หรือครูนอกโรงเรียน เป็นคณะกรรมการ ทั้งนี้วิธีการประเมิน ประเมินจากเอกสารและจากสภาพจริง (2) การประเมินความชำนาญการ/เชี่ยวชาญให้ อ.ก.ค.กรม ตั้งกรรมการ ซึ่งเป็นอาจารย์ 3 ศึกษานิเทศก์ 8 ขึ้นไปในสาขา นั้น ๆ จำนวน 3 คน เป็นคณะกรรมการประเมิน (3) ผลงานทางวิชาการส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่ง ก.ค. แต่งตั้งเป็นผู้ประเมิน
8. การฝึกอบรมเตรียมผู้บริหาร (อบรมทางไกล) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ ผลการดำเนินการ จากมาตรฐานการกำหนดตำแหน่งข้าราชการครู กำหนดว่า ผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งได้แก่ ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการโรงเรียน หรือตำแหน่งผู้ช่วย ต้องผ่านการ ฝึกอบรมผู้บริหารสถานศึกษา โดยกำหนดระยะเวลาในการ ฝึกอบรมไม่น้อยกว่า 23 วันทำการ หรือไม่น้อยกว่า 184 ชั่วโมง ซึ่งในปัจจุบันมีการอนุมัติตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน มากในปี 2539 - 2540 ตามหลักเกณฑ์วิธีการปกติและเกณฑ์กันดาร ยุ่งยากและประกอบกับกรมต่าง ๆ ถูกปรับลดงบประมาณ ในการฝึกอบรมจึงได้หาวิธีการและแนวทางในการฝึกอบรมให้ได้ทั่วถึง และประหยัดค่าใช้จ่ายจึงได้เสนอ ก.ค. พิจารณาอนุมัติ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2540 โดยได้ปรับวิธีการฝึกอบรมแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ใช้ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง กำหนดให้ศึกษา 30 วัน เมื่อผ่านการสอบมีคะแนนรวมร้อยละ 60 ขึ้นไป จึงเข้ารับ การอบรมขั้นตอน ต่อไป ขั้นตอนที่ 2 ฝึกปฏิบัติงานในสถานศึกษาต้นแบบ ใช้เวลาศึกษา 10 วัน ในระหว่างนั้นต้องเขียนภาคนิพนธ์ และรายงาน ผลงานทางวิชาการ เมื่อผ่านการประเมินผลรวมร้อยละ 60 ขึ้นไป จึงเข้ารับการประชุมเชิงปฏิบัติการ ขั้นตอนที่ 3 การประชุมเชิงปฏิบัติการ ใช้เวลา 5 วัน ณ เขตการศึกษา/จังหวัด หรือสถาบันพัฒนาผู้บริหารการศึกษา จากการปรับปรุงวิธีการอบรมดังกล่าวประหยัดงบประมาณได้มากและสามารถจัดอบรม ได้พร้อม ๆ กันทั้งประเทศ ซึ่งการ ฝึกอบรมตามวิธีการดังกล่าวนี้ได้เปิดอบรมโดย ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายชุมพล ศิลปอาชา) และมีการ ปฐมนิเทศ ผู้เข้าอบรมโดยวิธีการทางไกลโดย ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายอาคม เอ่งฉ้วน) ประธาน ก.ค. แล้ว ตั้งแต่ 1 เมษายน 2541
9. การสรรหาบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครู ครั้งที่ 1 ปี 2541 ผลการดำเนินการ ด้วย ก.ค. เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2541 ได้มีมติในการสรรหาบุคคลเข้ารับราชการเป็นราชการครู ครั้งที่ 1 ปี 2541 ใช้วิธีสอบ แข่งขัน ทั้งนี้ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์วิธีการ ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค. ที่ ศธ 1504/ว9 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2529 กล่าวโดย สรุป มีการสอบข้อเขียนภาคความรู้ความสามารถทั่วไป ภาคความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง และสอบภาคความเหมาะสม กับตำแหน่ง (สัมภาษณ์) อนึ่งสำหรับการคัดเลือกที่ดำเนินการเมื่อปี 2540 นั้น ให้ยกเลิกสำหรับกรมต่าง ๆ ยกเว้นการคัดเลือกใช้ได้ในสถาบันเทค โนโลยีราชมงคล สำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ แต่ต้องขอให้ ก.ค. อนุมัติการคัดเลือกก่อน
10. การเสียสละเงินประจำตำแหน่ง ผลการดำเนินการ ตามนโยบายของรัฐบาลให้มีการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรไม่ให้ขยายตัวเข้ม งวดดูแลการใช้จ่ายอย่างประหยัดและเพิ่ม ประสิทธิภาพในการทำงาน และสร้างจิตสำนึกความเสียสละความสามัคคีในหมู่ข้าราชการ โดยคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือน แห่งชาติ (กงช.) ได้ประชุมเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2540 เห็นว่าข้าราชการผู้มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งแต่ละคนจะสมัครใจ เสียสละเงินประจำตำแหน่ง ก.ค. กำหนดนโยบายมอบให้กระทรวงศึกษาธิการโดย นายสุรัฐ ศิลปอนันต์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ประชุมอธิบดีทุก กรมเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2541 เห็นพ้องกันว่าข้าราชการกระทรวงศึกษาการ ซึ่งมีเงินประจำตำแหน่งควรได้ผนึกกำลังที่จะแสดง ถึงความสามัคคีช่วยชาติเช่นเดียวกับข้าราชการฝ่ายอื่น ๆ กล่าวคือ ข้าราชการระดับ 9 ขึ้นไปเสียสละในอัตราร้อยละ 20 ต่อเดือน และข้าราชการระดับ 8 ลงมาเสียสละในอัตราร้อยละ10 ต่อเดือน เป็นเวลา 9 เดือน (มกราคม 2541 - กันยายน 2541) โดยแต่ละ คนลงชื่อแสดงความจำนงเสียสละตามแบบที่กระทรวงการคลังกำหนด จากการประเมินเบื้องต้นปรากฎว่าข้าราชการครูผู้มีเงินประจำตำแหน่ง ได้แสดงความจำนงเสียสละตามที่ได้มีการรณรงค์ ทั้งนี้ กรมต่าง ๆ ได้รับไปดำเนินการแล้วตั้งแต่ 15 มกราคม 2541
11. การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งทางวิชาการตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ผลการดำเนินการ จากการประเมินตำแหน่งทางวิชาการของข้าราชการครูในปัจจุบัน ซึ่งมีการประเมินจากเอกสารที่ข้าราชการครูจัดทำขึ้น ทั้ง ที่ประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาต่าง ๆ ซึ่ง ก.ค. แต่งตั้งก็ไม่อาจยืนยันได้ถึงผลสะท้อนที่แท้จริงจากคุณภาพการจัด การเรียน การสอน ก.ค. จึงมีนโยบายในการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการใหม่ โดยการประเมินจากระดับคุณภาพซึ่งยึดมาตรฐาน วิชาชีพครู ซึ่งคุรุสภาจัดทำขึ้นและกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้ไปแล้ว ทั้งนี้ การประเมินยึดระดับคุณภาพทางวิชาชีพครู ซึ่งคุรุสภา จัดทำขึ้นและกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้ไปแล้ว ทั้งนี้ การประเมินยึดระดับคุณภาพทางวิชาชีพ NTO และ EMQ เพื่อ พัฒนาวิชาชีพสู่ความเป็นมืออาชีพจึงให้ตำแหน่งสูงขึ้นและนอกจากนี้ยังใช้เ ป็นเกณฑ์การประเมินครูดีมีผลงาน เป็นที่ ประจักษ์ ต่อสาธารณชนทั้งใน และต่างประเทศ ก.ค. เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2541 ได้มีมติตั้ง อ.ก.ค. วิสามัญเฉพาะกิจจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการ ประเมินตำแหน่งทาง วิชาการตามสภาพจริง โดยให้เสร็จภายใน พฤษภาคม 2541 โดยในขณะนี้ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงาน ต่าง ๆ มาร่วมจัดทำร่างหลักเกณฑ์และวิธีการแล้ว ซึ่งจะนำเสนอ ก.ค. อนุมัติต่อไป
12. การขอแก้ไขกฎ ก.ค. ฉบับที่ 13 ว่าด้วยการกำหนดระดับเงินเดือนของตำแหน่งข้าราชการครู (ผศ. รศ. ศ., ผอ.ปจ. ศธจ. สศจ. หน.ปอ./หน.ปก., ศธอ. และผู้ช่วย) ให้มีระดับสูงขึ้นอีก 1 ระดับ เฉพาะตัว ผลการดำเนินการ ก.ค. ได้เสนอแก้ไขกฎ ก.ค. ฉบับที่ 13 ว่าด้วยการกำหนดระดับตำแหน่งข้าราชการครู ซึ่งได้แก่ ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์ สามารถปรับระดับสูงขึ้นได้อีก 1 ระดับ และตำแหน่งศึกษาธิการจังหวัด ศึกษาธิการอำเภอ ผู้อำนวยการประถมศึกษาจังหวัด หัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอ/กิ่ง ผู้อำนวยการสามัญศึกษาจังหวัด และตำแหน่งผู้ช่วยของ ตำแหน่งดังกล่าวสามารถปรับระดับเงินเดือนได้สูงขึ้นอีก 1 ระดับ โดยเป็นตำแหน่งเฉพาะตัว ที่จะต้องใช้ผลงานทางวิชาการ ในการขอปรับระดับ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2541 ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายชุมพล ศิลปอาชา) ได้มีหนังสือยืนยันการ ดำเนินการต่อไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และเรื่องนี้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีให้ชะลอไว้ก่อน เว้นแต่การปรับ ระดับดังกล่าวไม่กระทบต่องบประมาณที่จัดสรรไว้ ซึ่งเรื่องนี้สำนักงาน ก.ค. ได้แจ้งให้กรมดำเนินการวิเคราะห์ด้านงบประมาณ รายคนหากปรับระดับสูงขึ้น เพื่อนำเสนอสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งต่อไป
13. กฎ ก.ค. ฉบับที่ 20 (พ.ศ. 2540) ว่าด้วยการเลื่อนขั้นเงินเดือน ผลการดำเนินการ ก.ค. ได้ออกกฎ ก.ค. ฉบับที่ 20 (พ.ศ. 2540) ว่าด้วยการเลื่อนขั้นเงินเดือนใช้สำหรับ ข้าราชการครูโดยเฉพาะ ทั้งนี้เดิมการ เลื่อนขั้นเงินเดือนใช้กฎ ก.พ. ฉบับที่ 10 สรุปดังนี้ (1) ปีใช้ปีการศึกษา (2) องค์ประกอบการประเมินใช้มาตรฐานวิชาชีพครูของกระทรวงศึกษาธิการ (11 ข้อ) (3) การประเมินเน้นผลงาน ลักษณะ และคุณภาพของงาน (4) ให้ตั้งคณะกรรมการไม่น้อยกว่า 3 คน เป็นคณะกรรมการประเมิน โดยเน้นให้มีผู้สอนในสถานศึกษานั้นเป็น คณะกรรมการประเมินด้วย (5) ให้ประเมินอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง (6) ให้ใช้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2541 เป็นต้นไป สำนักงาน ก.ค. ได้แจ้งให้กรมทราบและถือปฏิบัติแล้ว ตั้งแต่ 15 ธันวาคม 2540
14. การร่างกฎ ก.ค. ฉบับที่..(พ.ศ..) ว่าด้วยกรณีหย่อนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติ หน้าที่ราชการ บกพร่องใน หน้าที่ ราชการหรือประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ ราชการที่ปรากฎชัดเจน ผลการดำเนินการ เรื่องนี้เดิมใช้กฎ ก.พ.มาบังคับใช้แก่ข้าราชการครู ซึ่ง ก.ค. มีมติให้ร่างกฎ ก.ค. ว่าด้วยกรณีหย่อนความสามารถ ในอันที่จะ ปฏิบัติหน้าที่ราชการบกพร่องในหน้าที่ราชการ หรือประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ราชการที่ปรากฎชัดแจ้ง ซึ่ง เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2541 ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายชุมพล ศิลปอาชา) ได้ลงนามยืนยันการดำเนินการ ต่อไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว
15. ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ....และพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงิน ประจำตำแหน่งข้าราชการครู พ.ศ ผลการดำเนินการ ก.ค.ได้มีมติให้มีการแก้ไขโดยร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ. 2523 เสียใหม่ และร่างพระราชบัญญัติเงิน เดือนประจำตำแหน่งข้าราชการครู โดยเสนอไปให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ขอให้กระทรวง ศึกษาธิการยืนยันการดำเนินการต่อไป และต่อมาเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2541 ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายชุมพล ศิลปอาชา) ได้ลงนามในหนังสือแจ้งยืนยันให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินกา รในเรื่องดังกล่าว ต่อไปแล้ว
16. การรณรงค์ให้ข้าราชการครูออมทรัพย์เพื่อชาติ ผลการดำเนินการ ก.ค. ได้จัดโครงการสนองนโยบายของรัฐบาล ให้มีการรณรงค์ให้คนในชาติออมทรัพย์เพื่อช่วยวิกฤตการณ์ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งสำนักงาน ก.ค. ร่วมกับคุรุสภาได้จัดทำสติกเกอร์ จำนวน 1 แสนใบ รณรงค์เพื่อการออมทรัพย์ โดยเริ่มตั้งแต่วันครู 16 มกราคม 2541 เป็นต้นไป โดยสำนักงาน ก.ค. ร่วมกับธนาคารออมสินรับฝากเงินเป็นปฐมฤกษ์ ในวันครู ปี 2541 (16 มกราคม 2541) ที่สนามกีฬาแห่งชาติ โดยมี ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายชุมพล ศิลปอาชา) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง ศึกษาธิการ (นายอาคม เอ่งฉ้วง) ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (นายสุรัฐ ศิลปอนันต์) เลขาธิการ ก.ค. อธิบดีกรมสามัญศึกษา และ ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการร่วมฝากเงินกับธนาคารออมสินในวันนั ้นด้วย ในการรณรงค์ได้แจ้งให้ขยายผลไปถึง นักเรียนและชุมชน โดยข้าราชการครูปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างด้วย--จบ--