ท่าเรือโคเปอร์ (Port of Koper หรือ Luka Koper) เป็นท่าเรือหลักที่ใหญ่และสำคัญแห่งหนึ่งของทวีปยุโรปตั้งอยู่ที่เมืองโคเปอร์ ทางตอนใต้ของประเทศสโลวีเนีย และอยู่ทางตอนเหนือของทะเลอะเดรียติก (Adriatic Sea)โดยสโลวีเนียมีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลอะเดรียติก เป็นระยะทางรวม 46.6 กิโลเมตร
ทำเลที่ตั้งอันเหมาะสมทำให้ท่าเรือโคเปอร์เป็นศูนย์กลางการขนส่งและกระจายสินค้าต่อไปยัง
ประเทศต่าง ๆ ทางตอนในของทวีปยุโรปที่ไม่ติดทะเล อาทิ ออสเตรีย สาธารณรัฐเช็ก ฮังการี และสโลวาเกีย
ซึ่งจะสะดวกและรวดเร็วกว่าการขนส่งผ่านท่าเรืออื่น ๆ ในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อาทิ ท่าเรือในฝรั่งเศส
และอิตาลี ฯลฯ โดยจะช่วยลดระยะเวลาในการขนส่งได้ราว 5-10 วัน ประกอบกับเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม
2547 สโลวีเนียได้เข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) โดยสมบูรณ์ ทำให้สินค้าจากสโลวีเนียสามารถเข้าสู่
ประเทศต่าง ๆ ใน EU ได้อย่างสะดวกและยังได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีจากกลุ่ม EU ด้วย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้
หลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในเอเชียขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือโคเปอร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถขนส่งสินค้า
จากเอเชียผ่านอินเดีย และคลองสุเอซ ของอียิปต์ ซึ่งช่วยย่นระยะทางที่ต้องอ้อมทวีปแอฟริกาได้ถึง 8,320
กิโลเมตร ก่อนส่งต่อไปยังท่าเรือโคเปอร์ในทะเลอะเดรียติก เพื่อกระจายสินค้าสู่ประเทศในทวีปยุโรปต่อไป
พัฒนาการของท่าเรือโคเปอร์
ท่าเรือโคเปอร์ก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2500 โดยเป็นการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลและบริษัทเอกชน
ในสัดส่วน 47.7% ต่อ 52.3% หลังจากนั้นได้มีการพัฒนาโครงสร้างและระบบสาธารณูปโภคของท่าเรืออย่างต่อเนื่อง
จนมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสาธารณูปโภคที่ทันสมัยอย่างครบครัน โดยในแต่ละปีมีการใช้เงินสูงราว 130
ล้านยูโร (ประมาณ 6.5 พันล้านบาท) เพื่อพัฒนาท่าเรือโคเปอร์ให้ได้มาตรฐานสากล ทำให้ท่าเรือโคเปอร์
มีระบบการบริหารจัดการที่ดี และมีความพร้อมในการให้บริการในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นระบบโลจิสติกส์ ข้อมูล
ด้านการตลาดและการเงิน จนได้ใบรับรองมาตรฐาน ISO 9001 รวมทั้งยังได้ใบรับรองมาตรฐาน ISO 14001
ในปี 2541 จาก International Organization for Standardization เนื่องจากมีระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม(Environmental Management System) ที่มีประสิทธิภาพ
โครงสร้างท่าเรือ
ท่าเรือโคเปอร์ มีหน้าท่ากว้างถึง 2,578 เมตร และมีท่าเทียบเรือ (Basin) จำนวน 3 ท่า โดยแบ่งตามความลึกของระดับน้ำทะเล และลักษณะการใช้งาน คือ
* Basin I อยู่ทางใต้สุดของท่าเรือโคเปอร์ มีระดับน้ำทะเลลึก 6 --12 เมตร ใช้ขนถ่ายสินค้าทั่วไปรวมถึง ไม้ ผลไม้ รถยนต์ และสินค้าปศุสัตว์ ฯลฯ
* Basin II อยู่ทางเหนือของ Basin I มีระดับน้ำทะเลลึก 14-16 เมตร ใช้ขนถ่ายสินค้าเทกอง (อาทิ ข้าวและมันสำปะหลัง ฯลฯ) และน้ำมัน
* Basin III อยู่ทางเหนือสุดของท่าเรือโคเปอร์ มีระดับน้ำทะเลลึก 18 เมตร ใช้ขนถ่ายสินค้าวัสดุเทกอง(อาทิ ทราย ปูน หิน) รวมถึงเหล็ก และถ่านหิน
ศักยภาพด้านการขนส่ง
นอกจากจุดยุทธศาสตร์ที่โดดเด่นของท่าเรือโคเปอร์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว การที่รัฐบาลสโลวีเนียได้จัดตั้ง
Free Trade Zone ในท่าเรือโคเปอร์ โดยให้สิทธิพิเศษด้านภาษี ด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่นักลงทุน
ที่เข้าไปตั้งบริษัทอยู่ในบริเวณท่าเรือโคเปอร์ รวมทั้งยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าและส่งออกสำหรับสินค้าที่ผ่านท่าเรือ
แห่งนี้ ทำให้ปริมาณการขนส่งสินค้าขาเข้าและสินค้าขาออกผ่านท่าเรือโคเปอร์เพิ่มขึ้นถึง 90% จาก 6.5 ล้านตัน
ในปี 2539 เป็น 12.4 ล้านตัน ในปี 2547 โดยในปี 2547 สินค้าเทกองชนิดแห้ง (Dry Bulk Cargo) มีการขนถ่ายผ่านท่าเรือแห่งนี้มากที่สุด รองลงมา คือ ตู้คอนเทนเนอร์ (Container) ตู้สินค้าทั่วไป (General Cargo) ยานพาหนะ(Vehicle) และสินค้าเทกองชนิดเหลว (Liquid Bulk Cargo) สำหรับประเทศที่มีการขนถ่ายสินค้าผ่านท่าเรือโคเปอร์มากที่สุด คือ ออสเตรีย รองลงมา ได้แก่ อิตาลี สโลวาเกีย ฮังการี และสาธารณรัฐเช็ก ตามลำดับ
รัฐบาลสโลวีเนียมีแผนจะผลักดันให้สโลวีเนียเป็น "A Transport Hub of Europe" โดยขณะนี้กำลัง
เร่งปรับปรุงและพัฒนาเส้นทางขนส่งที่สำคัญในประเทศ อาทิ การก่อสร้างทางรถไฟ (สินค้าจากท่าเรือโคเปอร์
ราว 65% นิยมขนส่งต่อด้วยรถไฟ) และถนนเพื่อเชื่อมต่อเมืองโคเปอร์กับเมืองหลวง รวมทั้งเมืองสำคัญ
ของหลายประเทศในทวีปยุโรป เพื่อให้พร้อมรองรับการกระจายสินค้าจากท่าเรือโคเปอร์ไปยังประเทศต่าง ๆ
ในทวีปยุโรปต่อไป
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มิถุนายน 2548--
-พห-
ทำเลที่ตั้งอันเหมาะสมทำให้ท่าเรือโคเปอร์เป็นศูนย์กลางการขนส่งและกระจายสินค้าต่อไปยัง
ประเทศต่าง ๆ ทางตอนในของทวีปยุโรปที่ไม่ติดทะเล อาทิ ออสเตรีย สาธารณรัฐเช็ก ฮังการี และสโลวาเกีย
ซึ่งจะสะดวกและรวดเร็วกว่าการขนส่งผ่านท่าเรืออื่น ๆ ในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อาทิ ท่าเรือในฝรั่งเศส
และอิตาลี ฯลฯ โดยจะช่วยลดระยะเวลาในการขนส่งได้ราว 5-10 วัน ประกอบกับเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม
2547 สโลวีเนียได้เข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) โดยสมบูรณ์ ทำให้สินค้าจากสโลวีเนียสามารถเข้าสู่
ประเทศต่าง ๆ ใน EU ได้อย่างสะดวกและยังได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีจากกลุ่ม EU ด้วย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้
หลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในเอเชียขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือโคเปอร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถขนส่งสินค้า
จากเอเชียผ่านอินเดีย และคลองสุเอซ ของอียิปต์ ซึ่งช่วยย่นระยะทางที่ต้องอ้อมทวีปแอฟริกาได้ถึง 8,320
กิโลเมตร ก่อนส่งต่อไปยังท่าเรือโคเปอร์ในทะเลอะเดรียติก เพื่อกระจายสินค้าสู่ประเทศในทวีปยุโรปต่อไป
พัฒนาการของท่าเรือโคเปอร์
ท่าเรือโคเปอร์ก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2500 โดยเป็นการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลและบริษัทเอกชน
ในสัดส่วน 47.7% ต่อ 52.3% หลังจากนั้นได้มีการพัฒนาโครงสร้างและระบบสาธารณูปโภคของท่าเรืออย่างต่อเนื่อง
จนมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสาธารณูปโภคที่ทันสมัยอย่างครบครัน โดยในแต่ละปีมีการใช้เงินสูงราว 130
ล้านยูโร (ประมาณ 6.5 พันล้านบาท) เพื่อพัฒนาท่าเรือโคเปอร์ให้ได้มาตรฐานสากล ทำให้ท่าเรือโคเปอร์
มีระบบการบริหารจัดการที่ดี และมีความพร้อมในการให้บริการในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นระบบโลจิสติกส์ ข้อมูล
ด้านการตลาดและการเงิน จนได้ใบรับรองมาตรฐาน ISO 9001 รวมทั้งยังได้ใบรับรองมาตรฐาน ISO 14001
ในปี 2541 จาก International Organization for Standardization เนื่องจากมีระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม(Environmental Management System) ที่มีประสิทธิภาพ
โครงสร้างท่าเรือ
ท่าเรือโคเปอร์ มีหน้าท่ากว้างถึง 2,578 เมตร และมีท่าเทียบเรือ (Basin) จำนวน 3 ท่า โดยแบ่งตามความลึกของระดับน้ำทะเล และลักษณะการใช้งาน คือ
* Basin I อยู่ทางใต้สุดของท่าเรือโคเปอร์ มีระดับน้ำทะเลลึก 6 --12 เมตร ใช้ขนถ่ายสินค้าทั่วไปรวมถึง ไม้ ผลไม้ รถยนต์ และสินค้าปศุสัตว์ ฯลฯ
* Basin II อยู่ทางเหนือของ Basin I มีระดับน้ำทะเลลึก 14-16 เมตร ใช้ขนถ่ายสินค้าเทกอง (อาทิ ข้าวและมันสำปะหลัง ฯลฯ) และน้ำมัน
* Basin III อยู่ทางเหนือสุดของท่าเรือโคเปอร์ มีระดับน้ำทะเลลึก 18 เมตร ใช้ขนถ่ายสินค้าวัสดุเทกอง(อาทิ ทราย ปูน หิน) รวมถึงเหล็ก และถ่านหิน
ศักยภาพด้านการขนส่ง
นอกจากจุดยุทธศาสตร์ที่โดดเด่นของท่าเรือโคเปอร์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว การที่รัฐบาลสโลวีเนียได้จัดตั้ง
Free Trade Zone ในท่าเรือโคเปอร์ โดยให้สิทธิพิเศษด้านภาษี ด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่นักลงทุน
ที่เข้าไปตั้งบริษัทอยู่ในบริเวณท่าเรือโคเปอร์ รวมทั้งยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าและส่งออกสำหรับสินค้าที่ผ่านท่าเรือ
แห่งนี้ ทำให้ปริมาณการขนส่งสินค้าขาเข้าและสินค้าขาออกผ่านท่าเรือโคเปอร์เพิ่มขึ้นถึง 90% จาก 6.5 ล้านตัน
ในปี 2539 เป็น 12.4 ล้านตัน ในปี 2547 โดยในปี 2547 สินค้าเทกองชนิดแห้ง (Dry Bulk Cargo) มีการขนถ่ายผ่านท่าเรือแห่งนี้มากที่สุด รองลงมา คือ ตู้คอนเทนเนอร์ (Container) ตู้สินค้าทั่วไป (General Cargo) ยานพาหนะ(Vehicle) และสินค้าเทกองชนิดเหลว (Liquid Bulk Cargo) สำหรับประเทศที่มีการขนถ่ายสินค้าผ่านท่าเรือโคเปอร์มากที่สุด คือ ออสเตรีย รองลงมา ได้แก่ อิตาลี สโลวาเกีย ฮังการี และสาธารณรัฐเช็ก ตามลำดับ
รัฐบาลสโลวีเนียมีแผนจะผลักดันให้สโลวีเนียเป็น "A Transport Hub of Europe" โดยขณะนี้กำลัง
เร่งปรับปรุงและพัฒนาเส้นทางขนส่งที่สำคัญในประเทศ อาทิ การก่อสร้างทางรถไฟ (สินค้าจากท่าเรือโคเปอร์
ราว 65% นิยมขนส่งต่อด้วยรถไฟ) และถนนเพื่อเชื่อมต่อเมืองโคเปอร์กับเมืองหลวง รวมทั้งเมืองสำคัญ
ของหลายประเทศในทวีปยุโรป เพื่อให้พร้อมรองรับการกระจายสินค้าจากท่าเรือโคเปอร์ไปยังประเทศต่าง ๆ
ในทวีปยุโรปต่อไป
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มิถุนายน 2548--
-พห-