สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--11 มิ.ย.--บิสนิวส์
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
อ้อยและน้ำตาล : ชาวไร่อ้อยจะประท้วง หากราคาอ้อยต่ำกว่า 785 บาทต่อตัน
สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ได้ยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการทั้ง 3 กระทรวง
ที่ดูแล พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทรายฯ คือ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวง
เกษตรและสหกรณ์ ให้แก้ไขปัญหาราคาอ้อยซึ่งมีแนวโน้มว่าจะต่ำกว่า 785 บาทต่อตัน ตามที่ทั้ง
3 กระทรวงได้ประมาณการไว้ ในขณะนี้ได้คาดว่าราคาอ้อยขั้นสุดท้ายปีการผลิต 2540/41 ชาว
ไร่อ้อยจะได้รับไม่เกิน 700 บาทต่อตัน สำหรับข้อเรียกร้องของชาวไร่อ้อยมี 3 ประเด็นคือ
1. ต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย
2. ขอให้รัฐบาลแยกภาษีมูลค่าเพิ่มออกจากราคาจำหน่ายน้ำตาลทราย เพื่อช่วยเหลือ
สภาพคล่องและราคาอ้อยขั้นสุดท้ายของปี 2540/41 ที่คาดว่าจะไม่ได้ 785 บาทต่อตันอ้อย
3. ขอให้แก้ไขปัญหาเรื่องภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อการปลูกอ้อยปี 2541/42
สาเหตุที่ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายอาจไม่ถึง 785 บาทต่อตัน เนื่องจากการวิเคราะห์ตัวเลขของทั้ง
3 กระทรวงก่อนหน้านี้ ได้ใช้ผลผลิตต่อตันอ้อย 98 กิโลกรัม และใช้อัตราแลกเปลี่ยน 44.268 บาท
ต่อเหรียญสหรัฐฯในการคำนวณรายได้จากการส่งออกน้ำตาล แต่หลังจากการประมาณการในครั้ง
นั้น ปรากฎว่าผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อยได้ลดลงเหลือ 96.88 กิโลกรัม ทำให้ผลิตน้ำตาลได้ลดลง
เหลือ 4.09 ล้านตัน จากที่คาดไว้ 4.12 ล้านตัน และค่าเงินบาทได้ปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอดจน
อยู่ในระดับ 37-38 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ก่อนจะลดค่าลงไปเหลือ 42 - 43 บาท ในขณะนี้ ซึ่งจะส่ง
ผลให้รายได้จากการส่งออกน้ำตาลลดลง และกระทบต่อเนื่องไปถึงราคาอ้อยขั้นสุดท้ายด้วย
ข้อคิดเห็น
การแก้ไขปัญหาสภาพคล่องนั้นขณะนี้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้เห็นชอบตามที่
กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแนวทางแก้ไข 2 แนวทางคือ แนวทางแรก การขอกู้ยืมเงินจาก OECF
ในวงเงิน 7,000 ล้านเยน หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยดำเนินการผ่านธนาคารเพื่อการ
เกษตรและสหกรณ์การเกษตร สำหรับแนวทางที่ 2 ให้บริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด ขอกู้ยืมเงิน
จากต่างประเทศในวงเงินประมาณ 80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยใช้น้ำตาลโควตา ข. เป็นหลัก
ประกัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ
สำหรับปัญหาภัยแล้งที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น ควรมอบหมายให้หน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ
ที่เกี่ยวข้องติดตามอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมสำหรับการช่วยเหลือ ส่วนเรื่องการแยกภาษีมูล
ค่าเพิ่มออกจากราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายนั้น เนื่องจากน้ำตาลทรายเป็นสินค้าที่ควบคุมตามประกาศ
ของคณะกรรมการกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาดของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งราคาควบคุมน้ำ
ตาลทรายเป็นราคาที่ได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ด้วย หากจะมีการเปลี่ยนแปลงคงจะต้องมีการหารือกับ
กระทรวงพาณิชย์ถึงความเป็นไปได้ต่อไป
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 หอยสองฝา : ผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์หอยสองฝาของเจ้าหน้าที่จากอียู
1. การส่งผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำเข้าอียู
1.1 ตั้งแต่ปี 2518-2541 อียูได้อนุมัติให้โรงงานของไทย 191 โรงงาน ส่งผลิต
ภัณฑ์สัตว์น้ำเข้าอียูได้เป็นการถาวร และสามารถส่งผลิตภัณฑ์หอยสองฝาได้เป็นการชั่วคราวตั้งแต่ปี
2540 การอนุญาตนำเข้าถาวรจะต้องผ่านการตรวจสอบขั้นตอนการผลิตและการควบคุมคุณภาพจากเจ้า
หน้าที่อียู และไทยสามารถส่งผลิตภัณฑ์ทั้งสองอย่างเข้าอียูได้ประมาณปีละ 14,300 ล้านบาท
1.2 ผลกระทบจากวิกฤตการณ์วัวบ้าในช่วงที่ผ่านมา ทำให้อียูเพิ่มความเข้มงวดใน
การตรวจสอบสุขอนามัยสินค้าเกษตรมากขึ้น และได้ระงับการนำเข้าผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำจากหลายประเทศ
เช่น จีน อินเดีย บังคลาเทศ มาดากัสการ์ และมาเลเซีย
1.3 สำหรับประเทศไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ร่วม
กันพิจารณาแล้วเห็นว่า ความเข้มงวดดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำของไทย
ประกอบกับหอยสองฝายังไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าแบบถาวร จึงได้เชิญเจ้าหน้าที่อียูเดินทางมาตรวจ
สอบสุขอนามัยและขั้นตอนการผลิตหอยสองฝาระหว่างวันที่ 27 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2541
2. จุดประสงค์ของการตรวจสอบ
เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณา การอนุญาตนำเข้าแบบถาวร และตรวจสอบระบบการควบ
คุมตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำประจำปี
3. ผลการตรวจสอบ ได้ดำเนินการตรวจสอบ 2 ด้าน ดังนี้
3.1 ระบบการดำเนินงานของหน่วยงานส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้แก่กองตรวจสอบ
ควบคุมผลิตภัณฑ์และแปรรูปสัตว์น้ำ กรมประมง กรุงเทพฯ และจ.สุราษฎร์ธานี ปรากฎว่าการดำเนิน
งานส่วนใหญ่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของอียู แต่เห็นควรปรับปรุง 3 ประเด็นคือ
- เพิ่มความถี่ในการตรวจโรงงานจากเดิมคือ 4 เดือน/ครั้ง/โรงงาน
- Bioassay Lab ยังขาดเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์
- ปรับปรุงห้อง Microbiological Lab ให้มีอุณหภูมิที่เหมาะสม และรหัสคุมตัวอย่างน้ำ
และผลิตภัณฑ์เพื่อการวิเคราะห์ให้ชัดเจน
3.2 ผลการตรวจสอบกระบวนการผลิตและแปรรูป จากการตรวจสอบพื้นที่และวิธีจับหอย
สองฝาในโรงงาน ทั้งเกรด A และ B รวม 5 โรงงาน ปรากฎว่า
- โรงงานเกรด A 1 โรงงาน มีมาตรฐานสูง เห็นควรนำมาเป็นตัวอย่าง
- โรงงานเกรด B ทั้ง 4 โรงงาน ต้องปรับปรุงข้อบกพร่องด้านสุขอนามัยและ
ความสะอาด โดยเฉพาะจุดรับวัตถุดิบและทิ้งของเสีย พื้นที่แต่ละส่วนในโรงงานแบ่งแยกไม่ชัดเจน
เป็นการยากในการควบคุมอุณหภูมิ ใช้คลอรีนในอัตราความเข้มข้นสูงกว่ามาตรฐานของอียูมาก รวมทั้ง
รหัสสินค้าไม่ชัดเจนและการใช้ HACCP ในแต่ละโรงงานแตกต่างกันมาก ฯลฯ
4. ข้อเสนอแนะของคณะเจ้าหน้าที่ EU
4.1 ให้เพิ่มความถี่ในการตรวจสอบโรงงานแปรรูปเป็น 1 สัปดาห์/ครั้ง/โรงงาน พร้อม
มาตรการอื่น ๆ โดยขอให้ส่งรายละเอียดให้ EU พิจารณาก่อน
4.2 จัดทำบัญชีรายชื่อ Bioassay lab ที่จะใช้อ้างอิง พร้อมผลวิเคราะห์ตัวอย่างปี
2540 ให้ EU พิจารณา
4.3 แก้ไขปัญหาห้องควบคุมอุณหภูมิ Microbiological lab และรหัสควบคุมตัวอย่าง
แล้วรายงานผลการแก้ไขให้ EU พิจารณา
4.4 ปรับปรุงข้อบกพร่องต่าง ๆ ของโรงงานเกรด B ทั้งหมด แล้วทบทวนบัญชีราย
ชื่อโรงงานที่ได้มาตรฐานและแจ้งให้ EU พิจารณาภายใน 6 เดือน
4.5 ส่งบัญชีรายชื่อเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจลงนามในใบรับรองสุขอนามัย ข้อมูลด้านปริมาณ
และมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ รวมทั้งบัญชีรายชื่อโรงงานเกรด A, B และ C ให้ EU ใช้
ประกอบการพิจารณาทบทวนการนำเข้า
5. ข้อคิดเห็น
5.1 การตรวจสอบของอียูค่อนข้างเข้มงวดและละเอียดมาก โดยเฉพาะสาร
Biotozin ในสินค้าเกษตร กรมประมงจึงควรมีมาตรการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ
5.2 คณะผู้แทนอียู มีความเข้าใจและยอมรับแผนการแก้ไขปัญหาที่กรมประมงและโรงงาน
ต่าง ๆ ชี้แจง และให้ความสำคัญกับ Competent inspection outhority มาก และจากการประ
สานงานเป็นการภายในทราบว่า การพิจารณาทบทวนการอนุมัติการนำเข้าหอยสองฝา และผลิตภัณฑ์สัตว์
น้ำของอียูจะแล้วเสร็จก่อนสิงหาคม 2541 ดังนั้น กรมประมงควรจัดส่งข้อมูลและแผนการแก้ไขปัญหา
และรายงานความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาให้ทันการพิจารณาของ Standing Veterinary
Committee และควรส่งสำเนาให้สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจำกรุงบรัสเซลส์ เพื่อ
ช่วยชี้แจงและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแจ้งสำนักงานมาตรฐานและตรวจสอบสินค้า
เกษตร เพื่อทรายผลการตรวจสอบด้วย
2.2 สุกร : ราคามีแนวโน้มสูงขึ้น
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ (บาท/กก.)
ปี มค. กพ. มีค. เมย. พค. มิย. กค. สค. กย. ตค. พย. ธค.
2540 41.63 40.22 39.60 39.91 40.96 41.83 41.60 41.31 39.77 36.40 31.86 29.23
2541 29.70 32.54 36.91 37.21 37.95 38.59*
* สัปดาห์แรก
ราคาสุกรขุนได้ปรับตัวลดลงมากในช่วงปลายปี 2540 โดยลดลงเหลือเพียงกิโลกรัมละ
29.23 บาทในเดือนธันวาคม ขณะที่มีต้นทุนการผลิตกิโลกรัมละ 37.65 บาท ส่งผลให้ผู้เลี้ยงสุกร
ประสบการขาดทุนและขาดเงินทุนหมุนเวียนค่าอาหารสัตว์ จึงต้องลดปริมาณการเลี้ยงสุกรลง และเมื่อ
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2541 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติได้ประกาศปรับราคาขายสุกรขุนเป็นกิโลกรัมละ
35 บาท หลังจากนั้น ราคาสุกรขุนได้ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลเนื่องจากการลดปริมาณการเลี้ยงสุกรดัง
กล่าว
ราคาสุกรขุนที่เกษตรกรขายได้ในสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.59 บาท สูงขึ้นจากสัปดาห์
ที่แล้ว 0.37 บาท คาดว่าราคาสุกรในช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม จะมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก เนื่อง
จากเป็นช่วงฤดูกาลที่ผลผลิตสุกรต่ำกว่าปกติ ประกอบกับผลจากการลดปริมาณการเลี้ยงสุกรในช่วงที่
ราคาต่ำมากจะทำให้สุกรที่ออกสู่ตลาดมีปริมาณลดลง อย่างไรก็ตาม ความต้องการบริโภคสุกรก็ลดลง
เช่นเดียวกันเพราะปัจจุบันผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง
2.3 ไข่ไก่ : มีแนวโน้มขาดแคลนและราคาแพง
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้
หน่วย : บาท/ฟอง
ปี มค. กพ. มีค. เมย. พค. มิย. กค. สค. กย. ตค. พย. ธค.
2540 1.43 1.38 1.44 1.46 1.56 1.59 1.57 1.64 1.69 1.62 1.57 1.55
2541 1.55 1.72 1.74 1.67 1.84 200*
* ราคาในสัปดาห์แรก
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษภาคม มาจนถึง
ปัจจุบัน โดยในเดือนพฤษภาคม 2541 มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ฟองละ 1.84 บาท สูงขึ้นจากฟองละ 1.56
บาท ของเดือนเดียวกันกับปีที่ผ่านมาร้อยละ 17.95 และมีแนวโน้มว่าราคาจะยังคงสูงขึ้นอีก เพราะผล
ผลิตไข่ไก่มีปริมาณลดลงโดยมีสาเหตุสำคัญมาจาก
1) ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้เลี้ยงขาดสภาพคล่องทางการเงิน จึงต้องปรับลดการเลี้ยง
ลง ในขณะที่บางส่วนเลิกกิจการไป สาเหตุเพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการปรับ
ลดค่าเงินบาท ทำให้วัตถุดิบอาหารสัตว์เช่น ข้าวโพด กากถั่วเหลือง และปลาป่น ที่เป็นส่วนประกอบ
สำคัญในอาหารไก่ไข่ปรับราคาสูงขึ้น
2) ผลกระทบจากภัยแล้งอันเนื่องมากจากอากาศที่ร้อนจัดติดต่อกันมานานหลายเดือน ทำให้
อัตราการให้ไข่ลดลง มีปัญหาไก่ป่วยและตายค่อนข้างมาก บางพื้นที่เกิดภาวะขาดแคลนน้ำในการเลี้ยง
ส่งผลให้ผลผลิตลดลง
นอกจากสาเหตุทางด้านการผลิตแล้ว ทางด้านความต้องการบริโภคก็ปรับเพิ่มขึ้นเพราะการ
เข้าสู่ช่วงเปิดภาคเรียนของสถานศึกษาต่าง ๆ รวมทั้งสุกรและไก่เนื้อมีราคาแพง ผู้บริโภคบางส่วน
เปลี่ยนมาบริโภคโปรตีนจากไข่ไก่แทนเพราะเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วมีราคาถูกกว่า
จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้ผลผลิตไข่ไก่ในปัจจุบันเริ่มขาดตลาดและราคามีแนว
โน้มสูงขึ้น โดยในสัปดาห์นี้มีราคาเฉลี่ยที่ฟองละ 2.00 บาท ส่งผลให้ราคาขายปลีกสูงตามไปด้วย
โดยมีราคาเฉลี่ยประมาณฟองละ 3 บาท ทำให้ผู้บริโภคประสบกับความเดือดร้อน
อย่างไรก็ตาม ทางด้านการเลี้ยงในช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝนที่สภาพอากาศเย็นลง อัตราการให้
ไข่เริ่มดีขึ้น และการสูญเสียลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ผลผลิตมีปริมาณมากขึ้นและคาดว่าราคาจะไม่สูงขึ้นมาก
นัก
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 1 - 7 มิ.ย. 2541--
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
อ้อยและน้ำตาล : ชาวไร่อ้อยจะประท้วง หากราคาอ้อยต่ำกว่า 785 บาทต่อตัน
สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ได้ยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการทั้ง 3 กระทรวง
ที่ดูแล พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทรายฯ คือ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวง
เกษตรและสหกรณ์ ให้แก้ไขปัญหาราคาอ้อยซึ่งมีแนวโน้มว่าจะต่ำกว่า 785 บาทต่อตัน ตามที่ทั้ง
3 กระทรวงได้ประมาณการไว้ ในขณะนี้ได้คาดว่าราคาอ้อยขั้นสุดท้ายปีการผลิต 2540/41 ชาว
ไร่อ้อยจะได้รับไม่เกิน 700 บาทต่อตัน สำหรับข้อเรียกร้องของชาวไร่อ้อยมี 3 ประเด็นคือ
1. ต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย
2. ขอให้รัฐบาลแยกภาษีมูลค่าเพิ่มออกจากราคาจำหน่ายน้ำตาลทราย เพื่อช่วยเหลือ
สภาพคล่องและราคาอ้อยขั้นสุดท้ายของปี 2540/41 ที่คาดว่าจะไม่ได้ 785 บาทต่อตันอ้อย
3. ขอให้แก้ไขปัญหาเรื่องภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อการปลูกอ้อยปี 2541/42
สาเหตุที่ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายอาจไม่ถึง 785 บาทต่อตัน เนื่องจากการวิเคราะห์ตัวเลขของทั้ง
3 กระทรวงก่อนหน้านี้ ได้ใช้ผลผลิตต่อตันอ้อย 98 กิโลกรัม และใช้อัตราแลกเปลี่ยน 44.268 บาท
ต่อเหรียญสหรัฐฯในการคำนวณรายได้จากการส่งออกน้ำตาล แต่หลังจากการประมาณการในครั้ง
นั้น ปรากฎว่าผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อยได้ลดลงเหลือ 96.88 กิโลกรัม ทำให้ผลิตน้ำตาลได้ลดลง
เหลือ 4.09 ล้านตัน จากที่คาดไว้ 4.12 ล้านตัน และค่าเงินบาทได้ปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอดจน
อยู่ในระดับ 37-38 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ก่อนจะลดค่าลงไปเหลือ 42 - 43 บาท ในขณะนี้ ซึ่งจะส่ง
ผลให้รายได้จากการส่งออกน้ำตาลลดลง และกระทบต่อเนื่องไปถึงราคาอ้อยขั้นสุดท้ายด้วย
ข้อคิดเห็น
การแก้ไขปัญหาสภาพคล่องนั้นขณะนี้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้เห็นชอบตามที่
กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแนวทางแก้ไข 2 แนวทางคือ แนวทางแรก การขอกู้ยืมเงินจาก OECF
ในวงเงิน 7,000 ล้านเยน หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยดำเนินการผ่านธนาคารเพื่อการ
เกษตรและสหกรณ์การเกษตร สำหรับแนวทางที่ 2 ให้บริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด ขอกู้ยืมเงิน
จากต่างประเทศในวงเงินประมาณ 80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยใช้น้ำตาลโควตา ข. เป็นหลัก
ประกัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ
สำหรับปัญหาภัยแล้งที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น ควรมอบหมายให้หน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ
ที่เกี่ยวข้องติดตามอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมสำหรับการช่วยเหลือ ส่วนเรื่องการแยกภาษีมูล
ค่าเพิ่มออกจากราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายนั้น เนื่องจากน้ำตาลทรายเป็นสินค้าที่ควบคุมตามประกาศ
ของคณะกรรมการกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาดของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งราคาควบคุมน้ำ
ตาลทรายเป็นราคาที่ได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ด้วย หากจะมีการเปลี่ยนแปลงคงจะต้องมีการหารือกับ
กระทรวงพาณิชย์ถึงความเป็นไปได้ต่อไป
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 หอยสองฝา : ผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์หอยสองฝาของเจ้าหน้าที่จากอียู
1. การส่งผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำเข้าอียู
1.1 ตั้งแต่ปี 2518-2541 อียูได้อนุมัติให้โรงงานของไทย 191 โรงงาน ส่งผลิต
ภัณฑ์สัตว์น้ำเข้าอียูได้เป็นการถาวร และสามารถส่งผลิตภัณฑ์หอยสองฝาได้เป็นการชั่วคราวตั้งแต่ปี
2540 การอนุญาตนำเข้าถาวรจะต้องผ่านการตรวจสอบขั้นตอนการผลิตและการควบคุมคุณภาพจากเจ้า
หน้าที่อียู และไทยสามารถส่งผลิตภัณฑ์ทั้งสองอย่างเข้าอียูได้ประมาณปีละ 14,300 ล้านบาท
1.2 ผลกระทบจากวิกฤตการณ์วัวบ้าในช่วงที่ผ่านมา ทำให้อียูเพิ่มความเข้มงวดใน
การตรวจสอบสุขอนามัยสินค้าเกษตรมากขึ้น และได้ระงับการนำเข้าผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำจากหลายประเทศ
เช่น จีน อินเดีย บังคลาเทศ มาดากัสการ์ และมาเลเซีย
1.3 สำหรับประเทศไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ร่วม
กันพิจารณาแล้วเห็นว่า ความเข้มงวดดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำของไทย
ประกอบกับหอยสองฝายังไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าแบบถาวร จึงได้เชิญเจ้าหน้าที่อียูเดินทางมาตรวจ
สอบสุขอนามัยและขั้นตอนการผลิตหอยสองฝาระหว่างวันที่ 27 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2541
2. จุดประสงค์ของการตรวจสอบ
เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณา การอนุญาตนำเข้าแบบถาวร และตรวจสอบระบบการควบ
คุมตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำประจำปี
3. ผลการตรวจสอบ ได้ดำเนินการตรวจสอบ 2 ด้าน ดังนี้
3.1 ระบบการดำเนินงานของหน่วยงานส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้แก่กองตรวจสอบ
ควบคุมผลิตภัณฑ์และแปรรูปสัตว์น้ำ กรมประมง กรุงเทพฯ และจ.สุราษฎร์ธานี ปรากฎว่าการดำเนิน
งานส่วนใหญ่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของอียู แต่เห็นควรปรับปรุง 3 ประเด็นคือ
- เพิ่มความถี่ในการตรวจโรงงานจากเดิมคือ 4 เดือน/ครั้ง/โรงงาน
- Bioassay Lab ยังขาดเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์
- ปรับปรุงห้อง Microbiological Lab ให้มีอุณหภูมิที่เหมาะสม และรหัสคุมตัวอย่างน้ำ
และผลิตภัณฑ์เพื่อการวิเคราะห์ให้ชัดเจน
3.2 ผลการตรวจสอบกระบวนการผลิตและแปรรูป จากการตรวจสอบพื้นที่และวิธีจับหอย
สองฝาในโรงงาน ทั้งเกรด A และ B รวม 5 โรงงาน ปรากฎว่า
- โรงงานเกรด A 1 โรงงาน มีมาตรฐานสูง เห็นควรนำมาเป็นตัวอย่าง
- โรงงานเกรด B ทั้ง 4 โรงงาน ต้องปรับปรุงข้อบกพร่องด้านสุขอนามัยและ
ความสะอาด โดยเฉพาะจุดรับวัตถุดิบและทิ้งของเสีย พื้นที่แต่ละส่วนในโรงงานแบ่งแยกไม่ชัดเจน
เป็นการยากในการควบคุมอุณหภูมิ ใช้คลอรีนในอัตราความเข้มข้นสูงกว่ามาตรฐานของอียูมาก รวมทั้ง
รหัสสินค้าไม่ชัดเจนและการใช้ HACCP ในแต่ละโรงงานแตกต่างกันมาก ฯลฯ
4. ข้อเสนอแนะของคณะเจ้าหน้าที่ EU
4.1 ให้เพิ่มความถี่ในการตรวจสอบโรงงานแปรรูปเป็น 1 สัปดาห์/ครั้ง/โรงงาน พร้อม
มาตรการอื่น ๆ โดยขอให้ส่งรายละเอียดให้ EU พิจารณาก่อน
4.2 จัดทำบัญชีรายชื่อ Bioassay lab ที่จะใช้อ้างอิง พร้อมผลวิเคราะห์ตัวอย่างปี
2540 ให้ EU พิจารณา
4.3 แก้ไขปัญหาห้องควบคุมอุณหภูมิ Microbiological lab และรหัสควบคุมตัวอย่าง
แล้วรายงานผลการแก้ไขให้ EU พิจารณา
4.4 ปรับปรุงข้อบกพร่องต่าง ๆ ของโรงงานเกรด B ทั้งหมด แล้วทบทวนบัญชีราย
ชื่อโรงงานที่ได้มาตรฐานและแจ้งให้ EU พิจารณาภายใน 6 เดือน
4.5 ส่งบัญชีรายชื่อเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจลงนามในใบรับรองสุขอนามัย ข้อมูลด้านปริมาณ
และมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ รวมทั้งบัญชีรายชื่อโรงงานเกรด A, B และ C ให้ EU ใช้
ประกอบการพิจารณาทบทวนการนำเข้า
5. ข้อคิดเห็น
5.1 การตรวจสอบของอียูค่อนข้างเข้มงวดและละเอียดมาก โดยเฉพาะสาร
Biotozin ในสินค้าเกษตร กรมประมงจึงควรมีมาตรการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ
5.2 คณะผู้แทนอียู มีความเข้าใจและยอมรับแผนการแก้ไขปัญหาที่กรมประมงและโรงงาน
ต่าง ๆ ชี้แจง และให้ความสำคัญกับ Competent inspection outhority มาก และจากการประ
สานงานเป็นการภายในทราบว่า การพิจารณาทบทวนการอนุมัติการนำเข้าหอยสองฝา และผลิตภัณฑ์สัตว์
น้ำของอียูจะแล้วเสร็จก่อนสิงหาคม 2541 ดังนั้น กรมประมงควรจัดส่งข้อมูลและแผนการแก้ไขปัญหา
และรายงานความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาให้ทันการพิจารณาของ Standing Veterinary
Committee และควรส่งสำเนาให้สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจำกรุงบรัสเซลส์ เพื่อ
ช่วยชี้แจงและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแจ้งสำนักงานมาตรฐานและตรวจสอบสินค้า
เกษตร เพื่อทรายผลการตรวจสอบด้วย
2.2 สุกร : ราคามีแนวโน้มสูงขึ้น
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ (บาท/กก.)
ปี มค. กพ. มีค. เมย. พค. มิย. กค. สค. กย. ตค. พย. ธค.
2540 41.63 40.22 39.60 39.91 40.96 41.83 41.60 41.31 39.77 36.40 31.86 29.23
2541 29.70 32.54 36.91 37.21 37.95 38.59*
* สัปดาห์แรก
ราคาสุกรขุนได้ปรับตัวลดลงมากในช่วงปลายปี 2540 โดยลดลงเหลือเพียงกิโลกรัมละ
29.23 บาทในเดือนธันวาคม ขณะที่มีต้นทุนการผลิตกิโลกรัมละ 37.65 บาท ส่งผลให้ผู้เลี้ยงสุกร
ประสบการขาดทุนและขาดเงินทุนหมุนเวียนค่าอาหารสัตว์ จึงต้องลดปริมาณการเลี้ยงสุกรลง และเมื่อ
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2541 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติได้ประกาศปรับราคาขายสุกรขุนเป็นกิโลกรัมละ
35 บาท หลังจากนั้น ราคาสุกรขุนได้ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลเนื่องจากการลดปริมาณการเลี้ยงสุกรดัง
กล่าว
ราคาสุกรขุนที่เกษตรกรขายได้ในสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.59 บาท สูงขึ้นจากสัปดาห์
ที่แล้ว 0.37 บาท คาดว่าราคาสุกรในช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม จะมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก เนื่อง
จากเป็นช่วงฤดูกาลที่ผลผลิตสุกรต่ำกว่าปกติ ประกอบกับผลจากการลดปริมาณการเลี้ยงสุกรในช่วงที่
ราคาต่ำมากจะทำให้สุกรที่ออกสู่ตลาดมีปริมาณลดลง อย่างไรก็ตาม ความต้องการบริโภคสุกรก็ลดลง
เช่นเดียวกันเพราะปัจจุบันผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง
2.3 ไข่ไก่ : มีแนวโน้มขาดแคลนและราคาแพง
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้
หน่วย : บาท/ฟอง
ปี มค. กพ. มีค. เมย. พค. มิย. กค. สค. กย. ตค. พย. ธค.
2540 1.43 1.38 1.44 1.46 1.56 1.59 1.57 1.64 1.69 1.62 1.57 1.55
2541 1.55 1.72 1.74 1.67 1.84 200*
* ราคาในสัปดาห์แรก
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษภาคม มาจนถึง
ปัจจุบัน โดยในเดือนพฤษภาคม 2541 มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ฟองละ 1.84 บาท สูงขึ้นจากฟองละ 1.56
บาท ของเดือนเดียวกันกับปีที่ผ่านมาร้อยละ 17.95 และมีแนวโน้มว่าราคาจะยังคงสูงขึ้นอีก เพราะผล
ผลิตไข่ไก่มีปริมาณลดลงโดยมีสาเหตุสำคัญมาจาก
1) ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้เลี้ยงขาดสภาพคล่องทางการเงิน จึงต้องปรับลดการเลี้ยง
ลง ในขณะที่บางส่วนเลิกกิจการไป สาเหตุเพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการปรับ
ลดค่าเงินบาท ทำให้วัตถุดิบอาหารสัตว์เช่น ข้าวโพด กากถั่วเหลือง และปลาป่น ที่เป็นส่วนประกอบ
สำคัญในอาหารไก่ไข่ปรับราคาสูงขึ้น
2) ผลกระทบจากภัยแล้งอันเนื่องมากจากอากาศที่ร้อนจัดติดต่อกันมานานหลายเดือน ทำให้
อัตราการให้ไข่ลดลง มีปัญหาไก่ป่วยและตายค่อนข้างมาก บางพื้นที่เกิดภาวะขาดแคลนน้ำในการเลี้ยง
ส่งผลให้ผลผลิตลดลง
นอกจากสาเหตุทางด้านการผลิตแล้ว ทางด้านความต้องการบริโภคก็ปรับเพิ่มขึ้นเพราะการ
เข้าสู่ช่วงเปิดภาคเรียนของสถานศึกษาต่าง ๆ รวมทั้งสุกรและไก่เนื้อมีราคาแพง ผู้บริโภคบางส่วน
เปลี่ยนมาบริโภคโปรตีนจากไข่ไก่แทนเพราะเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วมีราคาถูกกว่า
จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้ผลผลิตไข่ไก่ในปัจจุบันเริ่มขาดตลาดและราคามีแนว
โน้มสูงขึ้น โดยในสัปดาห์นี้มีราคาเฉลี่ยที่ฟองละ 2.00 บาท ส่งผลให้ราคาขายปลีกสูงตามไปด้วย
โดยมีราคาเฉลี่ยประมาณฟองละ 3 บาท ทำให้ผู้บริโภคประสบกับความเดือดร้อน
อย่างไรก็ตาม ทางด้านการเลี้ยงในช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝนที่สภาพอากาศเย็นลง อัตราการให้
ไข่เริ่มดีขึ้น และการสูญเสียลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ผลผลิตมีปริมาณมากขึ้นและคาดว่าราคาจะไม่สูงขึ้นมาก
นัก
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 1 - 7 มิ.ย. 2541--