แท็ก
อุตสาหกรรม
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--2 พ.ย.--บิสนิวส์
รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตร
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
ปลาโอ : ชาวประมงเรียกร้องให้แก้ปัญหาราคาปลาโอตกต่ำ
ข้อเท็จจริง
ปลาโอหรือปลาทูน่าขนาดเล็กของไทย มี 2 ชนิด คือ ปลาโอดำ และปลาโอลายในอดีตปลาโอใช้เพื่อการบริโภคภายในประเทศเท่านั้น ต่อมาเมื่ออุตสาหกรรมปลาทูน่าบรรจุกระป๋องของไทยขยายตัวมากขึ้น ความต้องการปลาโอเป็นวัตถุดิบในการผลิตปลาทูน่า-กระป๋องก็เพิ่มขึ้นด้วย การพัฒนาเครื่องมือในการจับปลาโอจึงได้เริ่มอย่างจริงจังตั้งแต่ ปี 2524 ทำให้สามารถจับปลาโอดำและปลาโอลายได้เพิ่มมากขึ้น คือจากที่จับได้เฉลี่ยปีละ 15,789 ตันในปี 2521-2524 เพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยปีละ 78,524 ตันในปี 2525 - 2529 และตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา ปริมาณการจับอยู่ในระดับกว่า 100,000 ตันต่อปี โดยจับได้สูงสุด 169,000 ตันในปี 2535
ปัจจุบันความต้องการปลาโอเป็นวัตถุดิบในการผลิตปลาทูน่าบรรจุกระป๋องมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากผู้บริโภคในประเทศผู้นำเข้าปลาทูน่ากระป๋องที่สำคัญ ลดการบริโภคปลาทูน่ากระป๋องที่ผลิตจากปลาโอลง โดยหันไปบริโภคปลาทูน่ากระป๋องที่ผลิตจากปลาทูน่าแท้มากขึ้น นอกจากนี้การที่กองเรือทูน่าของญี่ปุ่นสามารถจัดปลาทูน่าท้องแถบ และทูน่าครีบเหลืองได้เพิ่มขึ้นและมีราคาลดลง ทำให้ผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องนำเข้าปลาทูน่าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 80 ของปริมาณการซื้อทั้งหมด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาปลาโอตกต่ำ ประกอบกับช่วงนี้ต้นทุนโดยเฉพาะค่าน้ำมันสูงขึ้น ทำให้การออกจับปลาโอไม่ค่อยจะคุ้มกับค่าใช้จ่าย
ปัญหา
ขณะนี้ชาวประมงอวนล้อมในภาคใต้ที่จังหวัดสงขลา ได้ชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องราคาปลาโอตกต่ำ โดยราคาปลาโอดำจากที่เคยขายได้กิโลกรัมละ 35-40 บาท ปัจจุบันห้องเย็นรับซื้อเพียงกิโลกรัมละ 20 บาท ส่วนปลาโอลายจากที่เคยขายได้กิโลกรัมละ 20-28 บาท ปัจจุบันกิโลกรัมละ 9-10 บาท
สิ่งที่ชาวประมงเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ คือ
1. ให้รัฐควบคุมปริมาณการนำเข้าปลาทูน่าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
2. ขอให้รัฐบาลชดเชยราคาปลาโอ โดยให้ปลาโอดำอยู่ที่กิโลกรัมละ 25-28 บาท ปลาโอลายกิโลกรัมละ 15-18 บาท
ปัญหาดังกล่าว จังหวัดสงขลาแจ้งว่าได้มีการประชุมข้อเรียกร้องของชาวประมงเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปว่า
1. ฝ่ายโรงงานยินยอมรับซื้อปลาโอดำ กิโลกรัมละ 24 บาท ปลาโอลายกิโลกรัมละ 12 บาท ณ ราคาโรงงาน
2. ฝ่ายแพปลาขอค่าดำเนินการทั้งปลาโอดำและปลาโอลายกิโลกรัมละ 1 บาท
3. เรือประมงต้องการให้ทางราชการประกันราคาปลาโอดำกิโลกรัมละ 25 บาท ปลาโอลายกิโลกรัมละ 14 บาท
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ข้อเรียกร้องดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณา
ข้อคิดเห็น
กรณีที่ชาวประมงเรียกร้องให้มีการลดหรือจำกัดปริมาณการนำเข้าปลาทูน่าจากต่างประเทศนั้น ขัดแย้งกับสภาพความจริงของอุตสาหกรรมการผลิตและการส่งออกปลาทูน่าบรรจุกระป๋องของไทย เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกปลาทูน่าบรรจุกระป๋องอันดับหนึ่งของโลก โดยมีมูลค่าการส่งออกในปี 2541 ประมาณ 25,000 ล้านบาท และวัตถุดิบคือปลาทูน่าก็นำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด รวมทั้งปัจจุบันผู้บริโภคปลาทูน่าบรรจุกระป๋องในประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่นิยมบริโภคปลาทูน่าบรรจุกระป๋องที่ผลิตด้วยปลาทูน่าแท้มากขึ้น โดยลดการบริโภคปลาทูน่าบรรจุกระป๋องที่ผลิตจากปลาโอลง ดังนั้นการจำกัดการนำเข้าปลาทูน่าคงเป็นไปไม่ได้ การแก้ไขปัญหาราคาปลาโอตกต่ำที่เกิดขึ้นในขณะนี้สมควรนำเสนอคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) พิจารณาให้ความช่วยเหลือ สำหรับในระยะยาวกรมประมงมีนโยบายที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างการประมงปลาโอ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 เส้นไหม : การผ่อนคลายมาตรการนำเข้าเส้นไหม
ตามที่สมาคมไหมไทยได้เรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาเปิดเสรีนำเข้าเส้นไหม ขณะเดียวกัน เกษตรกรก็ขอให้รัฐบาลคงมาตรการควบคุมการนำเข้าไว้นั้น หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องได้ประชุมหารือกันหลายครั้ง และได้ข้อสรุปว่า นโยบายการค้าที่มีแนวโน้มเสรีมากขึ้น และการรวมกลุ่มการค้าต่าง ๆ เช่น AFTA ที่ประเทศไทยได้ทำความตกลงไว้แล้วจำเป็นต้องดำเนินต่อไป โดยภาคการผลิตของไทยต้องปรับตัวและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อการแข่งขัน สำหรับไหมซึ่งตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ได้ลดอัตราภาษีเส้นไหม และผ้าไหม เหลือร้อยละ 5 ทำให้การแข่งขันของผ้าไหมสูงขึ้น มาตรการควบคุมการนำเข้าในปัจจุบัน ซึ่งกำหนดให้ผู้นำเข้าที่นำเข้าจากประเทศสมาชิก WTO ต้องเสียภาษีร้อยละ 30 ภายใต้โควตาที่กำหนด หรือหากนำเข้าจากประเทศนอกสมาชิก WTO ต้องซื้อเส้นไหมในประเทศตามสัดส่วนที่กำหนด และเสียภาษีร้อยละ 10 นั้น ก่อให้เกิดภาระแก่ผู้ทอผ้าไหม ทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้ และจะกระทบต่อผู้ผลิตเส้นไหมและผู้ผลิตรังไหม คือเกษตรกรในที่สุด ดังนั้น ควรผ่อนคลายมาตรการควบคุมการนำเข้า และปรับปรุงประสิทธิภาพของภาคการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2542 ได้มีการประชุมหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เรื่อง มาตรการนำเข้าเส้นไหม โดยมี ฯพณฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายไพทูรย์ แก้วทอง) เป็นประธาน ได้ข้อสรุปดังนี้
1. ควรปรับเปลี่ยนมาตรการนำเข้าเส้นไหม เพื่อนำไปสู่การเปิดเสรี โดยให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรน้อยที่สุด
2. ให้ตั้งคณะทำงาน เพื่อหาข้อสรุปการปรับเปลี่ยนมาตรการดังกล่าว ทั้งในระบบสัดส่วน และตามข้อผูกพันองค์การการค้าโลก ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนพฤศจิกายน 2542
3. สำหรับการนำเข้าเส้นไหมมาผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งปัจจุบันใช้ระบบสัดส่วนนำเข้า 30 ส่วน ต้องซื้อเส้นไหมในประเทศ 1 ส่วน นั้น ให้พิจารณาช่องทางที่ BOI ได้เปิดให้แก่ธุรกิจที่นำเข้าวัตถุดิบมาผลิตเพื่อการส่งออก ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าเป็นกรณีพิเศษเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียม จากผู้นำเข้าเพื่อนำมาช่วยเหลือเกษตรกร
2.2 ปาล์มน้ำมัน : โครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบ ปี 2542
ตามที่คณะกรรมการ คชก. ได้มีมติให้ อคส. ดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบ ปี 2542 วงเงินดำเนินการ 1,000 ล้านบาท ปริมาณแทรกแซง 55,000 ตัน ระยะเวลาดำเนินการเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม นั้น ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2542 อคส. รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบแล้ว 48,787 ตัน มูลค่าน้ำมันปาล์มดิบ 850.193 ล้านบาท อนึ่งคณะอนุกรรมการพิจารณาส่งออกน้ำมันปาล์มดิบได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2542 เพื่อพิจารณาการระบายน้ำมันปาล์มดิบ ที่ อคส. ดำเนินการรับซื้อไว้ ทั้งนี้เพราะ ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2542 สต็อกน้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศได้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 103,058 ตัน ที่ประชุมได้มีการพิจารณาข้อดี-ข้อเสีย ของการระบายน้ำมันปาล์มดิบปริมาณดังกล่าวออกสู่ตลาดต่างประเทศ และเห็นว่าควรชะลอการส่งออกน้ำมันปาล์มออกสู่ตลาดต่างประเทศออกไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจาก
1. การส่งออกขณะนี้ รัฐจะขาดทุนกิโลกรัมละ 6.63 บาท ถึงแม้การส่งออกจะมีผลทำให้อุปทานส่วนเกินลดลง ราคาผลปาล์มขยับตัวเพิ่มขึ้น แต่อาจเป็นการชั่วคราวเท่านั้น
2. ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2542 - มีนาคม 2543 เป็นช่วงที่ผลปาล์มออกน้อย และในสภาพปกติ ช่วงดังกล่าวมักเกิดปัญหาขาดแคลนภายใน ดังนั้น อคส. อาจนำน้ำมัน-ปาล์มที่เก็บไว้ระบายออกสู่ตลาด ซึ่งอาจขาดทุนน้อยกว่าที่จะส่งออก
อนึ่ง เพื่อแก้ปัญหาราคาผลปาล์มตกต่ำขณะนี้ กรมการค้าภายในจะเสนอของบประมาณเพื่อดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์ม ปี 2542 อีกจำนวน 200 ล้านบาท ปริมาณรับซื้อ 20,000 ตันน้ำมันดิบ ราคา 15.00 บาท/กก. หรือคิดเป็นราคาผลปาล์มที่ 2.20 บาท/กก. (อัตราน้ำมัน 16%) จากคณะกรรมการคชก.
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 11 - 17 ต.ค. 2542--
รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตร
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
ปลาโอ : ชาวประมงเรียกร้องให้แก้ปัญหาราคาปลาโอตกต่ำ
ข้อเท็จจริง
ปลาโอหรือปลาทูน่าขนาดเล็กของไทย มี 2 ชนิด คือ ปลาโอดำ และปลาโอลายในอดีตปลาโอใช้เพื่อการบริโภคภายในประเทศเท่านั้น ต่อมาเมื่ออุตสาหกรรมปลาทูน่าบรรจุกระป๋องของไทยขยายตัวมากขึ้น ความต้องการปลาโอเป็นวัตถุดิบในการผลิตปลาทูน่า-กระป๋องก็เพิ่มขึ้นด้วย การพัฒนาเครื่องมือในการจับปลาโอจึงได้เริ่มอย่างจริงจังตั้งแต่ ปี 2524 ทำให้สามารถจับปลาโอดำและปลาโอลายได้เพิ่มมากขึ้น คือจากที่จับได้เฉลี่ยปีละ 15,789 ตันในปี 2521-2524 เพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยปีละ 78,524 ตันในปี 2525 - 2529 และตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา ปริมาณการจับอยู่ในระดับกว่า 100,000 ตันต่อปี โดยจับได้สูงสุด 169,000 ตันในปี 2535
ปัจจุบันความต้องการปลาโอเป็นวัตถุดิบในการผลิตปลาทูน่าบรรจุกระป๋องมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากผู้บริโภคในประเทศผู้นำเข้าปลาทูน่ากระป๋องที่สำคัญ ลดการบริโภคปลาทูน่ากระป๋องที่ผลิตจากปลาโอลง โดยหันไปบริโภคปลาทูน่ากระป๋องที่ผลิตจากปลาทูน่าแท้มากขึ้น นอกจากนี้การที่กองเรือทูน่าของญี่ปุ่นสามารถจัดปลาทูน่าท้องแถบ และทูน่าครีบเหลืองได้เพิ่มขึ้นและมีราคาลดลง ทำให้ผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องนำเข้าปลาทูน่าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 80 ของปริมาณการซื้อทั้งหมด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาปลาโอตกต่ำ ประกอบกับช่วงนี้ต้นทุนโดยเฉพาะค่าน้ำมันสูงขึ้น ทำให้การออกจับปลาโอไม่ค่อยจะคุ้มกับค่าใช้จ่าย
ปัญหา
ขณะนี้ชาวประมงอวนล้อมในภาคใต้ที่จังหวัดสงขลา ได้ชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องราคาปลาโอตกต่ำ โดยราคาปลาโอดำจากที่เคยขายได้กิโลกรัมละ 35-40 บาท ปัจจุบันห้องเย็นรับซื้อเพียงกิโลกรัมละ 20 บาท ส่วนปลาโอลายจากที่เคยขายได้กิโลกรัมละ 20-28 บาท ปัจจุบันกิโลกรัมละ 9-10 บาท
สิ่งที่ชาวประมงเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ คือ
1. ให้รัฐควบคุมปริมาณการนำเข้าปลาทูน่าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
2. ขอให้รัฐบาลชดเชยราคาปลาโอ โดยให้ปลาโอดำอยู่ที่กิโลกรัมละ 25-28 บาท ปลาโอลายกิโลกรัมละ 15-18 บาท
ปัญหาดังกล่าว จังหวัดสงขลาแจ้งว่าได้มีการประชุมข้อเรียกร้องของชาวประมงเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปว่า
1. ฝ่ายโรงงานยินยอมรับซื้อปลาโอดำ กิโลกรัมละ 24 บาท ปลาโอลายกิโลกรัมละ 12 บาท ณ ราคาโรงงาน
2. ฝ่ายแพปลาขอค่าดำเนินการทั้งปลาโอดำและปลาโอลายกิโลกรัมละ 1 บาท
3. เรือประมงต้องการให้ทางราชการประกันราคาปลาโอดำกิโลกรัมละ 25 บาท ปลาโอลายกิโลกรัมละ 14 บาท
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ข้อเรียกร้องดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณา
ข้อคิดเห็น
กรณีที่ชาวประมงเรียกร้องให้มีการลดหรือจำกัดปริมาณการนำเข้าปลาทูน่าจากต่างประเทศนั้น ขัดแย้งกับสภาพความจริงของอุตสาหกรรมการผลิตและการส่งออกปลาทูน่าบรรจุกระป๋องของไทย เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกปลาทูน่าบรรจุกระป๋องอันดับหนึ่งของโลก โดยมีมูลค่าการส่งออกในปี 2541 ประมาณ 25,000 ล้านบาท และวัตถุดิบคือปลาทูน่าก็นำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด รวมทั้งปัจจุบันผู้บริโภคปลาทูน่าบรรจุกระป๋องในประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่นิยมบริโภคปลาทูน่าบรรจุกระป๋องที่ผลิตด้วยปลาทูน่าแท้มากขึ้น โดยลดการบริโภคปลาทูน่าบรรจุกระป๋องที่ผลิตจากปลาโอลง ดังนั้นการจำกัดการนำเข้าปลาทูน่าคงเป็นไปไม่ได้ การแก้ไขปัญหาราคาปลาโอตกต่ำที่เกิดขึ้นในขณะนี้สมควรนำเสนอคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) พิจารณาให้ความช่วยเหลือ สำหรับในระยะยาวกรมประมงมีนโยบายที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างการประมงปลาโอ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 เส้นไหม : การผ่อนคลายมาตรการนำเข้าเส้นไหม
ตามที่สมาคมไหมไทยได้เรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาเปิดเสรีนำเข้าเส้นไหม ขณะเดียวกัน เกษตรกรก็ขอให้รัฐบาลคงมาตรการควบคุมการนำเข้าไว้นั้น หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องได้ประชุมหารือกันหลายครั้ง และได้ข้อสรุปว่า นโยบายการค้าที่มีแนวโน้มเสรีมากขึ้น และการรวมกลุ่มการค้าต่าง ๆ เช่น AFTA ที่ประเทศไทยได้ทำความตกลงไว้แล้วจำเป็นต้องดำเนินต่อไป โดยภาคการผลิตของไทยต้องปรับตัวและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อการแข่งขัน สำหรับไหมซึ่งตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ได้ลดอัตราภาษีเส้นไหม และผ้าไหม เหลือร้อยละ 5 ทำให้การแข่งขันของผ้าไหมสูงขึ้น มาตรการควบคุมการนำเข้าในปัจจุบัน ซึ่งกำหนดให้ผู้นำเข้าที่นำเข้าจากประเทศสมาชิก WTO ต้องเสียภาษีร้อยละ 30 ภายใต้โควตาที่กำหนด หรือหากนำเข้าจากประเทศนอกสมาชิก WTO ต้องซื้อเส้นไหมในประเทศตามสัดส่วนที่กำหนด และเสียภาษีร้อยละ 10 นั้น ก่อให้เกิดภาระแก่ผู้ทอผ้าไหม ทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้ และจะกระทบต่อผู้ผลิตเส้นไหมและผู้ผลิตรังไหม คือเกษตรกรในที่สุด ดังนั้น ควรผ่อนคลายมาตรการควบคุมการนำเข้า และปรับปรุงประสิทธิภาพของภาคการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2542 ได้มีการประชุมหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เรื่อง มาตรการนำเข้าเส้นไหม โดยมี ฯพณฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายไพทูรย์ แก้วทอง) เป็นประธาน ได้ข้อสรุปดังนี้
1. ควรปรับเปลี่ยนมาตรการนำเข้าเส้นไหม เพื่อนำไปสู่การเปิดเสรี โดยให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรน้อยที่สุด
2. ให้ตั้งคณะทำงาน เพื่อหาข้อสรุปการปรับเปลี่ยนมาตรการดังกล่าว ทั้งในระบบสัดส่วน และตามข้อผูกพันองค์การการค้าโลก ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนพฤศจิกายน 2542
3. สำหรับการนำเข้าเส้นไหมมาผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งปัจจุบันใช้ระบบสัดส่วนนำเข้า 30 ส่วน ต้องซื้อเส้นไหมในประเทศ 1 ส่วน นั้น ให้พิจารณาช่องทางที่ BOI ได้เปิดให้แก่ธุรกิจที่นำเข้าวัตถุดิบมาผลิตเพื่อการส่งออก ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าเป็นกรณีพิเศษเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียม จากผู้นำเข้าเพื่อนำมาช่วยเหลือเกษตรกร
2.2 ปาล์มน้ำมัน : โครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบ ปี 2542
ตามที่คณะกรรมการ คชก. ได้มีมติให้ อคส. ดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบ ปี 2542 วงเงินดำเนินการ 1,000 ล้านบาท ปริมาณแทรกแซง 55,000 ตัน ระยะเวลาดำเนินการเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม นั้น ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2542 อคส. รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบแล้ว 48,787 ตัน มูลค่าน้ำมันปาล์มดิบ 850.193 ล้านบาท อนึ่งคณะอนุกรรมการพิจารณาส่งออกน้ำมันปาล์มดิบได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2542 เพื่อพิจารณาการระบายน้ำมันปาล์มดิบ ที่ อคส. ดำเนินการรับซื้อไว้ ทั้งนี้เพราะ ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2542 สต็อกน้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศได้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 103,058 ตัน ที่ประชุมได้มีการพิจารณาข้อดี-ข้อเสีย ของการระบายน้ำมันปาล์มดิบปริมาณดังกล่าวออกสู่ตลาดต่างประเทศ และเห็นว่าควรชะลอการส่งออกน้ำมันปาล์มออกสู่ตลาดต่างประเทศออกไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจาก
1. การส่งออกขณะนี้ รัฐจะขาดทุนกิโลกรัมละ 6.63 บาท ถึงแม้การส่งออกจะมีผลทำให้อุปทานส่วนเกินลดลง ราคาผลปาล์มขยับตัวเพิ่มขึ้น แต่อาจเป็นการชั่วคราวเท่านั้น
2. ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2542 - มีนาคม 2543 เป็นช่วงที่ผลปาล์มออกน้อย และในสภาพปกติ ช่วงดังกล่าวมักเกิดปัญหาขาดแคลนภายใน ดังนั้น อคส. อาจนำน้ำมัน-ปาล์มที่เก็บไว้ระบายออกสู่ตลาด ซึ่งอาจขาดทุนน้อยกว่าที่จะส่งออก
อนึ่ง เพื่อแก้ปัญหาราคาผลปาล์มตกต่ำขณะนี้ กรมการค้าภายในจะเสนอของบประมาณเพื่อดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์ม ปี 2542 อีกจำนวน 200 ล้านบาท ปริมาณรับซื้อ 20,000 ตันน้ำมันดิบ ราคา 15.00 บาท/กก. หรือคิดเป็นราคาผลปาล์มที่ 2.20 บาท/กก. (อัตราน้ำมัน 16%) จากคณะกรรมการคชก.
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 11 - 17 ต.ค. 2542--