ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานความคืบหน้าการพัฒนาระบบการโอนเงิน โดยมุ่งให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
นางเสาวณี สุวรรณชีพ ผู้อำนวยการอาวุโส สายระบบการชำระเงิน ธปท.เปิดเผยว่า ธปท.ได้พัฒนาระบบบาทเนตขึ้นเพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานของการโอนเงินระหว่างสถาบันการเงินซึ่งเดิมเคยใช้แต่เพียงเช็คเท่านั้น ระบบบาทเนตได้เริ่มให้บริการโอนเงินที่มีลักษณะเป็น Real Time Gross Settlement (RTGS) ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค. 2538 โดยผู้ใช้บริการบาทเนตต้องมีบัญชีเงินฝากที่ ธปท. กล่าวคือ ผู้ใช้บริการสามารถส่งคำสั่งโอนเงินผ่าน BAHTNET workstation subsystem ที่ติดตั้งอยู่ ณ สำนักงานของผู้ใช้บริการเพื่อโอนเงินจากบัญชีของตนเองไปเข้าบัญชีสถาบันผู้รับในทันที และเมื่อการโอนเงินเสร็จสิ้นแล้ว ถือว่าไม่สามารถเพิกถอนได้ ( Irrevocable Transfer Order ) จึงทำให้การโอนเงินผ่านระบบบาทเนตไม่มีความเสี่ยงที่เป็น systemic risk ทั้งนี้ เป็นไปตามมาตรฐานสากลของโลกการเงินที่มุ่งเน้นพัฒนาระบบการโอนเงินระหว่างสถาบันการเงินที่มีความเสี่ยงต่ำ
ธปท. มุ่งเน้นที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบบาทเนตให้มีความเป็นสากลมากขึ้น โดยพัฒนาเพื่อเป็นฐานรองรับนโยบายการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ของภาคทางการ และเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนให้มีประสิทธิภาพเป็นแหล่งระดมเงินทุนต่อไปในอนาคต จึงจะปรับระบบบาทเนตใหม่เป็นบาทเนต/2 ซึ่งเพิ่มบริการการโอนและการชำระราคาหลักทรัพย์รัฐบาลในลักษณะ Delivery Versus Payment (DVP) และสามารถเชื่อมโยงกับระบบคอมพิวเตอร์ของสมาชิกได้โดยตรง ทำให้โอนเงินในลักษณะ Straight Through Processing (STP) ได้ โดยใช้ SWIFT เป็น message carrier การพัฒนาระบบบาทเนต/2 นี้ ธปท. ต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้นราว 500 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถใช้งานได้ตั้งแต่ปลายปี 2544 เป็นต้นไป
ธปท.ได้ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงระบบบาทเนตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ ระบบบาทเนต/2 ดำเนินการได้โดยมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยได้ดำเนินการตามลำดับ ดังนี้
1. การกำหนดให้ระบบบาทเนตมีการจัดลำดับคำสั่งการโอนเงิน (Queuing Mechanism) และ Gridlock Resolution ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยจัดการกับคำสั่งการโอนเงินในกรณีที่ผู้ส่งคำสั่งมีเงินในบัญชีไม่เพียงพอในขณะนั้น โดยให้คำสั่งนั้นค้างอยู่ในคิวและเมื่อมีเงินในบัญชีเพียงพอ ระบบจะดำเนินการให้ สำหรับกลุ่มคำสั่งที่ค้างอยู่ในคิวหลายสถาบัน ระบบจะคำนวณฐานะสุทธิของแต่ละสถาบัน หากยอดเงินคงเหลือของแต่ละสถาบันเป็นบวก ระบบจะดำเนินการโอนเงินดังกล่าวทั้งหมดในเวลาเดียวกัน ทำให้ระบบใช้สภาพคล่องสำหรับการโอนเงินน้อยลง โดยได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2540 เป็นต้นมา
2. ปรับปรุงการให้วงเงินสภาพคล่องระหว่างวันเพื่อการโอนเงิน (Intraday Liquidity Facility — ILF) ในระบบบาทเนต โดยไม่คิดค่าธรรมเนียม และไม่ได้กำหนดวงเงิน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับจำนวนนธบัตรที่สถาบันการเงินนั้นวางเป็นหลักประกันตามความจำเป็นและเหมาะสมสำหรับการโอนเงิน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2543
3. การนำรายการการชำระเงินระหว่างธนาคารที่เกิดจากธุรกรรม 4 ประเภท คือ การกู้ยืมเงินระหว่างธนาคาร การซื้อขายเงินตราต่างประเทศ การโอนเงินเพื่อบัญชีเงินฝากของผู้มีถิ่นฐานในต่างประเทศ และ การซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล โอนชำระเงินผ่านระบบบาทเนตแทนการใช้เช็ค ทั้งนี้ รายการการชำระเงินธุรกรรมทั้ง 4 ประเภทที่กล่าวมีมูลค่าเฉลี่ยประมาณวันละ 300,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 80 ของการชำระเงินด้วยเช็ค โดยได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2543 เป็นต้นมา การดำเนินการดังกล่าวจัดได้ว่าเป็นก้าวที่สำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการชำระเงินของประเทศลงได้
4. เพื่อเป็นการลดความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้น และลดภาระต้นทุนการดำเนินการของธนาคารสมาชิกระบบบาทเนต และช่วยให้การโอนเงินเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธปท. พิจารณาอนุญาตให้ธนาคารสมาชิกใช้ยอดได้ดุลการหักบัญชีเช็คชำระเงิน ILF และธุรกรรมในระบบบาทเนตได้ โดยธนาคารสมาชิกต้องมีวงเงิน ILF จัดสรรไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของมูลค่าการโอนเงินในระบบบาทเนตในปักษ์ที่ผ่านมาและจะใช้พันธบัตรที่ธนาคารสมาชิกฝากไว้เพื่อเงิน ILF เป็นหลักประกันการใช้ยอดการได้ดุลฯ ที่กล่าว ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ธปท. จะกันเงินที่ธนาคารสมาชิกได้ดุลการหักบัญชีไว้จนกว่าจะผ่านการหักบัญชีในรอบเช็คคืนในวันรุ่งขึ้น คาดว่าจะเริ่มให้ธนาคารสมาชิกใช้ยอดได้ดุลการหักบัญชีเช็คได้ในต้นปี 2544
5. เพื่อให้การโอนเงินในระบบบาทเนตสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น ไม่กระจุกตัวในช่วงเย็นซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาในการบริหารสภาพคล่องแก่ธนาคารสมาชิก แต่ให้มีการกระจายตัวเพื่อให้มีการใช้สภาพคล่องอย่างเหมาะสม ธปท.จะกำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้ใช้บริการบาทเนตต้องส่งรายการการโอนเงินที่สำเร็จเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของมูลค่าการโอนเงินในระบบบาทเนตเฉลี่ย ในเวลา 12.00 น. และไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ในเวลา 14.00 น. คาดว่าจะเริ่มใช้บังคับในต้นปี 2544 ที่จะถึงนี้
ในวันที่ 27 ธันวาคม 2543 นี้ นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของการพัฒนาระบบบาทเนตอย่างไม่หยุดยั้งของ ธปท.โดยเป็นวันที่ ธปท. ได้ลงนามในสัญญาว่าจ้าง บริษัท ไอบีเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด ให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบบาทเนต/2 เพื่อให้สามารถรองรับการโอนและชำระราคาหลักทรัพย์รัฐบาลแบบ DVP อย่างเต็มรูปแบบ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย/29 ธันวาคม 2543--
-ยก-
นางเสาวณี สุวรรณชีพ ผู้อำนวยการอาวุโส สายระบบการชำระเงิน ธปท.เปิดเผยว่า ธปท.ได้พัฒนาระบบบาทเนตขึ้นเพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานของการโอนเงินระหว่างสถาบันการเงินซึ่งเดิมเคยใช้แต่เพียงเช็คเท่านั้น ระบบบาทเนตได้เริ่มให้บริการโอนเงินที่มีลักษณะเป็น Real Time Gross Settlement (RTGS) ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค. 2538 โดยผู้ใช้บริการบาทเนตต้องมีบัญชีเงินฝากที่ ธปท. กล่าวคือ ผู้ใช้บริการสามารถส่งคำสั่งโอนเงินผ่าน BAHTNET workstation subsystem ที่ติดตั้งอยู่ ณ สำนักงานของผู้ใช้บริการเพื่อโอนเงินจากบัญชีของตนเองไปเข้าบัญชีสถาบันผู้รับในทันที และเมื่อการโอนเงินเสร็จสิ้นแล้ว ถือว่าไม่สามารถเพิกถอนได้ ( Irrevocable Transfer Order ) จึงทำให้การโอนเงินผ่านระบบบาทเนตไม่มีความเสี่ยงที่เป็น systemic risk ทั้งนี้ เป็นไปตามมาตรฐานสากลของโลกการเงินที่มุ่งเน้นพัฒนาระบบการโอนเงินระหว่างสถาบันการเงินที่มีความเสี่ยงต่ำ
ธปท. มุ่งเน้นที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบบาทเนตให้มีความเป็นสากลมากขึ้น โดยพัฒนาเพื่อเป็นฐานรองรับนโยบายการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ของภาคทางการ และเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนให้มีประสิทธิภาพเป็นแหล่งระดมเงินทุนต่อไปในอนาคต จึงจะปรับระบบบาทเนตใหม่เป็นบาทเนต/2 ซึ่งเพิ่มบริการการโอนและการชำระราคาหลักทรัพย์รัฐบาลในลักษณะ Delivery Versus Payment (DVP) และสามารถเชื่อมโยงกับระบบคอมพิวเตอร์ของสมาชิกได้โดยตรง ทำให้โอนเงินในลักษณะ Straight Through Processing (STP) ได้ โดยใช้ SWIFT เป็น message carrier การพัฒนาระบบบาทเนต/2 นี้ ธปท. ต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้นราว 500 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถใช้งานได้ตั้งแต่ปลายปี 2544 เป็นต้นไป
ธปท.ได้ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงระบบบาทเนตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ ระบบบาทเนต/2 ดำเนินการได้โดยมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยได้ดำเนินการตามลำดับ ดังนี้
1. การกำหนดให้ระบบบาทเนตมีการจัดลำดับคำสั่งการโอนเงิน (Queuing Mechanism) และ Gridlock Resolution ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยจัดการกับคำสั่งการโอนเงินในกรณีที่ผู้ส่งคำสั่งมีเงินในบัญชีไม่เพียงพอในขณะนั้น โดยให้คำสั่งนั้นค้างอยู่ในคิวและเมื่อมีเงินในบัญชีเพียงพอ ระบบจะดำเนินการให้ สำหรับกลุ่มคำสั่งที่ค้างอยู่ในคิวหลายสถาบัน ระบบจะคำนวณฐานะสุทธิของแต่ละสถาบัน หากยอดเงินคงเหลือของแต่ละสถาบันเป็นบวก ระบบจะดำเนินการโอนเงินดังกล่าวทั้งหมดในเวลาเดียวกัน ทำให้ระบบใช้สภาพคล่องสำหรับการโอนเงินน้อยลง โดยได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2540 เป็นต้นมา
2. ปรับปรุงการให้วงเงินสภาพคล่องระหว่างวันเพื่อการโอนเงิน (Intraday Liquidity Facility — ILF) ในระบบบาทเนต โดยไม่คิดค่าธรรมเนียม และไม่ได้กำหนดวงเงิน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับจำนวนนธบัตรที่สถาบันการเงินนั้นวางเป็นหลักประกันตามความจำเป็นและเหมาะสมสำหรับการโอนเงิน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2543
3. การนำรายการการชำระเงินระหว่างธนาคารที่เกิดจากธุรกรรม 4 ประเภท คือ การกู้ยืมเงินระหว่างธนาคาร การซื้อขายเงินตราต่างประเทศ การโอนเงินเพื่อบัญชีเงินฝากของผู้มีถิ่นฐานในต่างประเทศ และ การซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล โอนชำระเงินผ่านระบบบาทเนตแทนการใช้เช็ค ทั้งนี้ รายการการชำระเงินธุรกรรมทั้ง 4 ประเภทที่กล่าวมีมูลค่าเฉลี่ยประมาณวันละ 300,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 80 ของการชำระเงินด้วยเช็ค โดยได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2543 เป็นต้นมา การดำเนินการดังกล่าวจัดได้ว่าเป็นก้าวที่สำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการชำระเงินของประเทศลงได้
4. เพื่อเป็นการลดความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้น และลดภาระต้นทุนการดำเนินการของธนาคารสมาชิกระบบบาทเนต และช่วยให้การโอนเงินเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธปท. พิจารณาอนุญาตให้ธนาคารสมาชิกใช้ยอดได้ดุลการหักบัญชีเช็คชำระเงิน ILF และธุรกรรมในระบบบาทเนตได้ โดยธนาคารสมาชิกต้องมีวงเงิน ILF จัดสรรไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของมูลค่าการโอนเงินในระบบบาทเนตในปักษ์ที่ผ่านมาและจะใช้พันธบัตรที่ธนาคารสมาชิกฝากไว้เพื่อเงิน ILF เป็นหลักประกันการใช้ยอดการได้ดุลฯ ที่กล่าว ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ธปท. จะกันเงินที่ธนาคารสมาชิกได้ดุลการหักบัญชีไว้จนกว่าจะผ่านการหักบัญชีในรอบเช็คคืนในวันรุ่งขึ้น คาดว่าจะเริ่มให้ธนาคารสมาชิกใช้ยอดได้ดุลการหักบัญชีเช็คได้ในต้นปี 2544
5. เพื่อให้การโอนเงินในระบบบาทเนตสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น ไม่กระจุกตัวในช่วงเย็นซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาในการบริหารสภาพคล่องแก่ธนาคารสมาชิก แต่ให้มีการกระจายตัวเพื่อให้มีการใช้สภาพคล่องอย่างเหมาะสม ธปท.จะกำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้ใช้บริการบาทเนตต้องส่งรายการการโอนเงินที่สำเร็จเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของมูลค่าการโอนเงินในระบบบาทเนตเฉลี่ย ในเวลา 12.00 น. และไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ในเวลา 14.00 น. คาดว่าจะเริ่มใช้บังคับในต้นปี 2544 ที่จะถึงนี้
ในวันที่ 27 ธันวาคม 2543 นี้ นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของการพัฒนาระบบบาทเนตอย่างไม่หยุดยั้งของ ธปท.โดยเป็นวันที่ ธปท. ได้ลงนามในสัญญาว่าจ้าง บริษัท ไอบีเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด ให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบบาทเนต/2 เพื่อให้สามารถรองรับการโอนและชำระราคาหลักทรัพย์รัฐบาลแบบ DVP อย่างเต็มรูปแบบ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย/29 ธันวาคม 2543--
-ยก-