เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2543 คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปได้มีมติเห็นชอบในร่างระเบียบฉบับสุดท้ายที่ Directorate General Environment จัดทำขึ้น พร้อมทั้งได้ใช้ร่างระเบียบดังกล่าวเป็นข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิ- การฯ เพื่อนำเสนอต่อคณะมนตรีและสภายุโรป หากข้อเสนอแนะดังกล่าวผ่านการพิจารณาและได้รับมติร่วม (Co-decision) ของคณะมนตรีและสภายุโรปโดยไม่มีความเห็นขัดแย้ง ก็อาจออกเป็นระเบียบของ EU ได้ภายใน 1 ปี และเมื่อประกาศเป็นระเบียบแล้ว ประเทศสมาชิก EU แต่ละประเทศจะต้องออกกฎหมายของประเทศตนให้เป็นไปตามระเบียบดังกล่าวภายในเวลา 18 เดือน
ข้อเสนอแนะดังกล่าวได้ถูกแยกออกเป็น 2 ฉบับ คือ Proposal for a Directive on Waste Electrical and Electronic Equipment (DWEEE) ซึ่งกำหนดเกี่ยวกับการจัดการเศษเหลือทิ้งของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และ Proposal for a Directive on the Restriction of the Use of Certain Hazardous Substances in Electrical and Electronic Equipment ซึ่งกำหนดการห้ามใช้สารโลหะหนักที่เป็นอันตราย
ข้อเสนอแนะดังกล่าวครอบคลุมสินค้าประเภทต่างๆ เป็นจำนวนมาก โดยแต่ละฉบับมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้.-
1). ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ DWEEE
1.1) การใช้หลักการ Producer Responsibility โดยผู้ผลิตสินค้าและผู้นำเข้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ ทั้งนี้ให้ครอบคลุมถึงสินค้าที่จำหน่ายทาง E-Commerce ด้วย
1.2) การเก็บรวบรวมเศษเหลือทิ้งของผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ให้ประเทศสมาชิกจัดตั้งจุดรวบรวม (Collecting Points) เพื่อให้ผู้บริโภคนำซากไปทิ้งโดยไม่ต้องเสียค่าบริการ
1.3) การจัดการ (Treatment) เกี่ยวกับเศษซากเหลือทิ้ง ให้เป็นหน้าที่ของผู้ผลิตที่จะจัดตั้งโรงงานเพื่อ การดังกล่าว (Centralised Large Scale Treatment Plants) โดยโรงงานดังกล่าวต้องได้รับการรับรอง ทั้งนี้การจัดตั้งโรงงานอาจกระทำภายนอกเขน EU ก็เป็นได้
1.4) การคืนสภาพ และการนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลให้เป็นความรับผิดชอบของผู้ผลิต โดยจะกำหนดเป้าหมายของเปอร์เซ็นต์ขั้นต่ำในการคืนสภาพของเสีย (Minimum Waste Recovery Percentage) ซึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2006 (พ.ศ. 2549) เป็นอย่างช้า
1.5) ภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจะตกอยู่กับผู้ผลิตทั้งสิ้น แต่ให้ Transition Period เป็นเวลา 5 ปี หลังจากระเบียบมีผลบังคับใช้ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ผลิตมีเวลาในการเตรียมการที่จะรับภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าว ส่วนเศษซากเหลือทิ้งที่ได้อยู่ในความครอบครองของผู้บริโภคแล้วก่อนที่ระเบียบฯ จะเริ่มใช้ (Historical Waste) ผู้ผลิตทุกรายในปัจจุบันจะต้องร่วมกันรับภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าว
2). ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับระเบียบว่าด้วยการใช้สารที่เป็นอันตรายบางประเภท
กำหนดให้ใช้สารอื่นทดแทนโลหะหนักที่เป็นอันตราย ซึ่งได้แก่ สารตะกั่ว แคดเมียม โครเมียม Haloge-nated Substances (เช่น CFC,PCBs และ PVC) และ Brominated Flame Retardants ซึ่งใช้ในการผลิตตั้งแต่ 1 ม.ค. 2551
อย่างไรก็ตาม คาดว่าหากระเบียบดังกล่าวมีผลใช้บังคับอาจมีผลกระทบต่อผู้ส่งออกไทย โดยมีความเป็นไปได้ดังต่อไปนี้.-
1). ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้าไปจำหน่ายใน EU จะต้องปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวด้วย แต่ การส่งซากเหลือทิ้งของสินค้านำเข้าดังกล่าวกลับคืนไปยังประเทศผู้ส่งออกจะทำให้เกิดปัญหาทางด้านค่าใช้จ่าย ด้วยเหตุนี้ในทางปฏิบัติผู้นำเข้าหรือผู้จัดจำหน่าย (Distributor) คงจะใช้ Treatment Plant ในเขต EU ซึ่งทำให้ภาระค่าใช้จ่ายของผู้นำเข้าหรือผู้จัดจำหน่ายสูงขึ้น ดังนั้น ผู้นำเข้าหรือผู้จัดจำหน่ายคงจะผลักภาระส่วนหนึ่งให้ผู้ส่งออกไทยด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
2). การจัดตั้ง Treatment Plant คงจะเป็นการร่วมกันดำเนินการโดยบริษัทผู้ผลิตต่างๆของประเทศสมาชิก EU และมุ่งให้บริการสำหรับสินค้าที่ผลิตใน EU เป็นหลัก เพราะฉะนั้นอาจเป็นไปได้ว่าเศษเหลือทิ้งของสินค้านำเข้าที่จะสามารถได้รับการจัดการใน Treatment Plant ของ EU ได้ อาจจะต้องเป็นสินค้าที่มีรูปแบบหรือมาตรฐานหรือใช้วัสดุส่วนประกอบที่สอดคล้องกับสินค้าที่ผลิตใน EU เพื่อให้สามารถถอดแยกชิ้นส่วนด้วยขั้นตอนเดียวกัน
3). ผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกของไทยจะต้องมีการปรับการผลิตสินค้าของตนให้เป็นไปตามที่กำหนดในระเบียบเช่น การออกแบบสินค้าหรือการเลือกใช้วัสดุส่วนประกอบให้สามารถปฏิบัติตาม Rate of Recovery ที่กำหนด มิฉะนั้นผู้นำเข้าอาจหันไปนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นที่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวได้
4). บริษัทผู้ผลิตของไทยซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุนกับบริษัทผู้ผลิตใน EU หรือผลิตตามสั่งจากบริษัทแม่ใน EU อาจจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากบริษัทแม่อาจให้ความช่วยเหลือในด้านเงินทุนและเทคโนโลยีเพื่อปรับเปลี่ยนการผลิตให้สอดคล้องกับระเบียบ ตราบใดที่บริษัทแม่ยังเห็นว่าการใช้ฐานการผลิตในไทยยังคงมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอยู่ แต่สำหรับผู้ผลิตของไทยรายอื่น ๆ โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลางและเล็ก (SMEs) การปรับเปลี่ยนการผลิตดังกล่าวจะทำให้ภาระในด้านการลงทุนสูงขึ้น
5). การห้ามใช้สารโลหะหนักอันตรายตั้งแต่ปี 2008 อาจเป็นปัญหาสำหรับผู้ผลิตไทยซึ่งไม่สามารถหาสารอื่นมาทดแทนได้ หรือหากสามารถหาได้แต่จำเป็นต้องนำเข้าก็อาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
(ที่มา : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์)
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 13/2543 วันที่ 15 กรกฎาคม 2543--
-อน-
ข้อเสนอแนะดังกล่าวได้ถูกแยกออกเป็น 2 ฉบับ คือ Proposal for a Directive on Waste Electrical and Electronic Equipment (DWEEE) ซึ่งกำหนดเกี่ยวกับการจัดการเศษเหลือทิ้งของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และ Proposal for a Directive on the Restriction of the Use of Certain Hazardous Substances in Electrical and Electronic Equipment ซึ่งกำหนดการห้ามใช้สารโลหะหนักที่เป็นอันตราย
ข้อเสนอแนะดังกล่าวครอบคลุมสินค้าประเภทต่างๆ เป็นจำนวนมาก โดยแต่ละฉบับมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้.-
1). ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ DWEEE
1.1) การใช้หลักการ Producer Responsibility โดยผู้ผลิตสินค้าและผู้นำเข้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ ทั้งนี้ให้ครอบคลุมถึงสินค้าที่จำหน่ายทาง E-Commerce ด้วย
1.2) การเก็บรวบรวมเศษเหลือทิ้งของผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ให้ประเทศสมาชิกจัดตั้งจุดรวบรวม (Collecting Points) เพื่อให้ผู้บริโภคนำซากไปทิ้งโดยไม่ต้องเสียค่าบริการ
1.3) การจัดการ (Treatment) เกี่ยวกับเศษซากเหลือทิ้ง ให้เป็นหน้าที่ของผู้ผลิตที่จะจัดตั้งโรงงานเพื่อ การดังกล่าว (Centralised Large Scale Treatment Plants) โดยโรงงานดังกล่าวต้องได้รับการรับรอง ทั้งนี้การจัดตั้งโรงงานอาจกระทำภายนอกเขน EU ก็เป็นได้
1.4) การคืนสภาพ และการนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลให้เป็นความรับผิดชอบของผู้ผลิต โดยจะกำหนดเป้าหมายของเปอร์เซ็นต์ขั้นต่ำในการคืนสภาพของเสีย (Minimum Waste Recovery Percentage) ซึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2006 (พ.ศ. 2549) เป็นอย่างช้า
1.5) ภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจะตกอยู่กับผู้ผลิตทั้งสิ้น แต่ให้ Transition Period เป็นเวลา 5 ปี หลังจากระเบียบมีผลบังคับใช้ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ผลิตมีเวลาในการเตรียมการที่จะรับภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าว ส่วนเศษซากเหลือทิ้งที่ได้อยู่ในความครอบครองของผู้บริโภคแล้วก่อนที่ระเบียบฯ จะเริ่มใช้ (Historical Waste) ผู้ผลิตทุกรายในปัจจุบันจะต้องร่วมกันรับภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าว
2). ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับระเบียบว่าด้วยการใช้สารที่เป็นอันตรายบางประเภท
กำหนดให้ใช้สารอื่นทดแทนโลหะหนักที่เป็นอันตราย ซึ่งได้แก่ สารตะกั่ว แคดเมียม โครเมียม Haloge-nated Substances (เช่น CFC,PCBs และ PVC) และ Brominated Flame Retardants ซึ่งใช้ในการผลิตตั้งแต่ 1 ม.ค. 2551
อย่างไรก็ตาม คาดว่าหากระเบียบดังกล่าวมีผลใช้บังคับอาจมีผลกระทบต่อผู้ส่งออกไทย โดยมีความเป็นไปได้ดังต่อไปนี้.-
1). ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้าไปจำหน่ายใน EU จะต้องปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวด้วย แต่ การส่งซากเหลือทิ้งของสินค้านำเข้าดังกล่าวกลับคืนไปยังประเทศผู้ส่งออกจะทำให้เกิดปัญหาทางด้านค่าใช้จ่าย ด้วยเหตุนี้ในทางปฏิบัติผู้นำเข้าหรือผู้จัดจำหน่าย (Distributor) คงจะใช้ Treatment Plant ในเขต EU ซึ่งทำให้ภาระค่าใช้จ่ายของผู้นำเข้าหรือผู้จัดจำหน่ายสูงขึ้น ดังนั้น ผู้นำเข้าหรือผู้จัดจำหน่ายคงจะผลักภาระส่วนหนึ่งให้ผู้ส่งออกไทยด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
2). การจัดตั้ง Treatment Plant คงจะเป็นการร่วมกันดำเนินการโดยบริษัทผู้ผลิตต่างๆของประเทศสมาชิก EU และมุ่งให้บริการสำหรับสินค้าที่ผลิตใน EU เป็นหลัก เพราะฉะนั้นอาจเป็นไปได้ว่าเศษเหลือทิ้งของสินค้านำเข้าที่จะสามารถได้รับการจัดการใน Treatment Plant ของ EU ได้ อาจจะต้องเป็นสินค้าที่มีรูปแบบหรือมาตรฐานหรือใช้วัสดุส่วนประกอบที่สอดคล้องกับสินค้าที่ผลิตใน EU เพื่อให้สามารถถอดแยกชิ้นส่วนด้วยขั้นตอนเดียวกัน
3). ผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกของไทยจะต้องมีการปรับการผลิตสินค้าของตนให้เป็นไปตามที่กำหนดในระเบียบเช่น การออกแบบสินค้าหรือการเลือกใช้วัสดุส่วนประกอบให้สามารถปฏิบัติตาม Rate of Recovery ที่กำหนด มิฉะนั้นผู้นำเข้าอาจหันไปนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นที่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวได้
4). บริษัทผู้ผลิตของไทยซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุนกับบริษัทผู้ผลิตใน EU หรือผลิตตามสั่งจากบริษัทแม่ใน EU อาจจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากบริษัทแม่อาจให้ความช่วยเหลือในด้านเงินทุนและเทคโนโลยีเพื่อปรับเปลี่ยนการผลิตให้สอดคล้องกับระเบียบ ตราบใดที่บริษัทแม่ยังเห็นว่าการใช้ฐานการผลิตในไทยยังคงมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอยู่ แต่สำหรับผู้ผลิตของไทยรายอื่น ๆ โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลางและเล็ก (SMEs) การปรับเปลี่ยนการผลิตดังกล่าวจะทำให้ภาระในด้านการลงทุนสูงขึ้น
5). การห้ามใช้สารโลหะหนักอันตรายตั้งแต่ปี 2008 อาจเป็นปัญหาสำหรับผู้ผลิตไทยซึ่งไม่สามารถหาสารอื่นมาทดแทนได้ หรือหากสามารถหาได้แต่จำเป็นต้องนำเข้าก็อาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
(ที่มา : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์)
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 13/2543 วันที่ 15 กรกฎาคม 2543--
-อน-