1. ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน วันที่ 24 พฤษภาคม 2544
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศข่าว ธปท. ฉบับที่ 75/2544 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2544 แจ้งผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ โดยประเมินว่า การเจริญเติบโตของภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในปัจจุบันยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับที่เคยประมาณไว้ในเดือนเมษายน โดยยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการขยายตัวของอุปสงค์ภายนอก
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าต่างๆ น่าจะปรับตัวดีขึ้นในระยะต่อไป จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศ อาทิ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกเป็นครั้งที่ 5 นับแต่ต้นปี 2544 ของธนาคารกลางสหรัฐฯ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง Refinancing rate ของกลุ่มธนาคารกลางยุโรป และมาตรการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ญี่ปุ่น
ด้านภาวะเงินเฟ้อ ถึงแม้อัตราเงินเฟ้อในเดือนเมษายนจะสูงขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตของรัฐบาล ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และ ค่าเงินบาทที่อ่อนตัว แต่แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในระยะ 8 ไตรมาสข้างหน้ายังอยู่ในเป้าหมายที่ร้อยละ 0 — 3.5
คณะกรรมการฯ เห็นว่า ถ้าหากภาครัฐบาลสามารถใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้ตามที่รัฐบาลคาดไว้ ภายในระยะเวลาที่เหลือของปี 2544 จะทำให้มีการใช้เงินทุนในประเทศมากขึ้น และจะทำให้มีการใช้กำลังการผลิตภายในประเทศดีขึ้น รวมทั้งการจัดตั้งบรรษัทบริหาร สินทรัพย์ไทยที่คาดว่าจะเริ่มโอนหนี้ได้ในอีก 2 — 3 เดือนข้างหน้า น่าจะทำให้ระบบสถาบันการเงินสามารถทำงานได้ดีขึ้น อันจะนำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะใกล้
ส่วนในเรื่องการไหลออกของทุนนั้น ทำให้หนี้ต่างประเทศลดลงจาก 112 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ช่วงกลางปี 2540 มาเป็น 76 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ปัจจุบัน ซึ่งมีผลให้ภาระการชำระหนี้ในแต่ละปีลดลงเหลือ 2 ใน 3 จากของเดิม ทำให้การดูแลค่าเงินบาทสามารถกระทำได้ดีขึ้น
เหตุนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินจึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืน ระยะ 14 วัน ไว้ในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อปีก่อน แต่จะติดตามการเปลี่ยนแปลงในภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดต่อไป
2. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงสรุปสถานการณ์เศรษฐกิจไตรมาสแรกปี 2544 วันที่ 18 มิถุนายน 2544
เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกชะลอตัวจากไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 มาเป็นร้อยละ 1.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่ง ต่ำสุดในรอบ 7 ไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นผลจากการส่งออกและการลงทุนภาครัฐที่ลดลง การชะลอตัวของการใช้จ่ายของครัวเรือน ส่วนปัจจัยที่ยัง ขยายตัว ได้แก่ รายจ่ายประจำของรัฐบาลและ การลงทุนภาคเอกชน โดยแม้การลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวค่อนข้างดี แต่เริ่มปรากฏสัญญาณของการชะลอตัวโดยเฉพาะการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ สำหรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2544 เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจากครึ่งหลังปี 2543 จากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่มี แนวโน้มขยายตัวได้สูงกว่าครึ่งแรกของปี และมี แนวโน้มของการลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในครึ่งปีหลัง ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังอ่อนแอ ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกของไทย ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิต มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ และการลงทุน ภาคเอกชนไม่สามารถขยายตัวได้ดีเหมือนในปี 2543 อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคยังไม่ปรับตัว ดีขึ้น จึงคาดว่าช่วงครึ่งหลังของปีเศรษฐกิจจะยังอยู่ในช่วงของการชะลอตัวต่อเนื่องจากต้นปี และแรงกดดันด้านราคาจะเกิดจากด้านต้นทุนราคาน้ำมัน การปรับราคาค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม รวมทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนตัว แต่อุปสงค์ที่อ่อนตัวจะทำให้อัตราเงินฟ้อไม่เพิ่มขึ้นจากปี 2543 เท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ การดำเนินมาตรการของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศทั้งในส่วนของการใช้จ่ายของรัฐบาล และการดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นการหารายได้เงินตรา ต่างประเทศ เพื่อช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายภาคเอกชน โดยตัวเลขประมาณการภาวะเศรษฐกิจปี 2544 เป็น ดังนี้
อัตราการเปลี่ยนแปลง ตัวเลขเบื้องต้น ประมาณการ
(ร้อยละ) 2542 2543 2544
GDP (ณ ราคาคงที่) 4.2 4.4 2.0-3.0
การลงทุนรวม -4 5.4 3.7-7.1
การบริโภครวม 3.5 4.9 3.8
การส่งออก 7.4 19.6 (-2.0)-(-0.5)
การนำเข้า 16.9 31.3 3.2-5.5
ดัชนีราคาผู้บริโภค 0.3 1.6 2.2
3. แถลงข่าวการปรับอัตราดอกเบี้ย R/P 14 วัน ของธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2544
เนื่องจากผู้ว่าการ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ได้ให้ความเห็นอย่างชัดเจนเกี่ยวกับ โครงสร้างอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้น ในปัจจุบันว่ามีลักษณะที่บิดเบือนพอสมควร โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นระหว่างธนาคารอยู่ในระดับต่ำเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ย เงินฝากของสถาบันการเงิน จึงเห็นเป็นเรื่องที่ควรแก้ไข เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพของการบริหาร ต้นทุนของระบบสถาบันการเงิน จึงให้มีประกาศปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย R/P 14 วัน จากระดับปัจจุบันที่ร้อยละ 1.5 เป็นร้อยละ 2.5 โดยจะมีผลในวันที่ 25 พฤษภาคม 2544 นี้ทันที ซึ่งถือเป็นการดำเนินการเฉพาะจุดเพื่อแก้ไขความบิดเบือนของโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้นปัจจุบัน และ คาดว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดทางการเงินอื่นๆ ในขอบเขตจำกัดเท่านั้น ขณะที่ตลาดทางการเงิน อื่นๆ เช่น ตลาดพันธบัตร ได้ปรับตัวรับข่าวเรื่องนี้ไปมากแล้ว ส่วนรูปแบบและกรอบการดำเนินนโยบายการเงินยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งต่อไป ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2544
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศข่าว ธปท. ฉบับที่ 75/2544 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2544 แจ้งผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ โดยประเมินว่า การเจริญเติบโตของภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในปัจจุบันยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับที่เคยประมาณไว้ในเดือนเมษายน โดยยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการขยายตัวของอุปสงค์ภายนอก
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าต่างๆ น่าจะปรับตัวดีขึ้นในระยะต่อไป จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศ อาทิ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกเป็นครั้งที่ 5 นับแต่ต้นปี 2544 ของธนาคารกลางสหรัฐฯ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง Refinancing rate ของกลุ่มธนาคารกลางยุโรป และมาตรการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ญี่ปุ่น
ด้านภาวะเงินเฟ้อ ถึงแม้อัตราเงินเฟ้อในเดือนเมษายนจะสูงขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตของรัฐบาล ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และ ค่าเงินบาทที่อ่อนตัว แต่แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในระยะ 8 ไตรมาสข้างหน้ายังอยู่ในเป้าหมายที่ร้อยละ 0 — 3.5
คณะกรรมการฯ เห็นว่า ถ้าหากภาครัฐบาลสามารถใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้ตามที่รัฐบาลคาดไว้ ภายในระยะเวลาที่เหลือของปี 2544 จะทำให้มีการใช้เงินทุนในประเทศมากขึ้น และจะทำให้มีการใช้กำลังการผลิตภายในประเทศดีขึ้น รวมทั้งการจัดตั้งบรรษัทบริหาร สินทรัพย์ไทยที่คาดว่าจะเริ่มโอนหนี้ได้ในอีก 2 — 3 เดือนข้างหน้า น่าจะทำให้ระบบสถาบันการเงินสามารถทำงานได้ดีขึ้น อันจะนำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะใกล้
ส่วนในเรื่องการไหลออกของทุนนั้น ทำให้หนี้ต่างประเทศลดลงจาก 112 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ช่วงกลางปี 2540 มาเป็น 76 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ปัจจุบัน ซึ่งมีผลให้ภาระการชำระหนี้ในแต่ละปีลดลงเหลือ 2 ใน 3 จากของเดิม ทำให้การดูแลค่าเงินบาทสามารถกระทำได้ดีขึ้น
เหตุนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินจึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืน ระยะ 14 วัน ไว้ในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อปีก่อน แต่จะติดตามการเปลี่ยนแปลงในภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดต่อไป
2. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงสรุปสถานการณ์เศรษฐกิจไตรมาสแรกปี 2544 วันที่ 18 มิถุนายน 2544
เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกชะลอตัวจากไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 มาเป็นร้อยละ 1.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่ง ต่ำสุดในรอบ 7 ไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นผลจากการส่งออกและการลงทุนภาครัฐที่ลดลง การชะลอตัวของการใช้จ่ายของครัวเรือน ส่วนปัจจัยที่ยัง ขยายตัว ได้แก่ รายจ่ายประจำของรัฐบาลและ การลงทุนภาคเอกชน โดยแม้การลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวค่อนข้างดี แต่เริ่มปรากฏสัญญาณของการชะลอตัวโดยเฉพาะการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ สำหรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2544 เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจากครึ่งหลังปี 2543 จากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่มี แนวโน้มขยายตัวได้สูงกว่าครึ่งแรกของปี และมี แนวโน้มของการลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในครึ่งปีหลัง ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังอ่อนแอ ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกของไทย ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิต มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ และการลงทุน ภาคเอกชนไม่สามารถขยายตัวได้ดีเหมือนในปี 2543 อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคยังไม่ปรับตัว ดีขึ้น จึงคาดว่าช่วงครึ่งหลังของปีเศรษฐกิจจะยังอยู่ในช่วงของการชะลอตัวต่อเนื่องจากต้นปี และแรงกดดันด้านราคาจะเกิดจากด้านต้นทุนราคาน้ำมัน การปรับราคาค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม รวมทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนตัว แต่อุปสงค์ที่อ่อนตัวจะทำให้อัตราเงินฟ้อไม่เพิ่มขึ้นจากปี 2543 เท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ การดำเนินมาตรการของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศทั้งในส่วนของการใช้จ่ายของรัฐบาล และการดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นการหารายได้เงินตรา ต่างประเทศ เพื่อช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายภาคเอกชน โดยตัวเลขประมาณการภาวะเศรษฐกิจปี 2544 เป็น ดังนี้
อัตราการเปลี่ยนแปลง ตัวเลขเบื้องต้น ประมาณการ
(ร้อยละ) 2542 2543 2544
GDP (ณ ราคาคงที่) 4.2 4.4 2.0-3.0
การลงทุนรวม -4 5.4 3.7-7.1
การบริโภครวม 3.5 4.9 3.8
การส่งออก 7.4 19.6 (-2.0)-(-0.5)
การนำเข้า 16.9 31.3 3.2-5.5
ดัชนีราคาผู้บริโภค 0.3 1.6 2.2
3. แถลงข่าวการปรับอัตราดอกเบี้ย R/P 14 วัน ของธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2544
เนื่องจากผู้ว่าการ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ได้ให้ความเห็นอย่างชัดเจนเกี่ยวกับ โครงสร้างอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้น ในปัจจุบันว่ามีลักษณะที่บิดเบือนพอสมควร โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นระหว่างธนาคารอยู่ในระดับต่ำเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ย เงินฝากของสถาบันการเงิน จึงเห็นเป็นเรื่องที่ควรแก้ไข เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพของการบริหาร ต้นทุนของระบบสถาบันการเงิน จึงให้มีประกาศปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย R/P 14 วัน จากระดับปัจจุบันที่ร้อยละ 1.5 เป็นร้อยละ 2.5 โดยจะมีผลในวันที่ 25 พฤษภาคม 2544 นี้ทันที ซึ่งถือเป็นการดำเนินการเฉพาะจุดเพื่อแก้ไขความบิดเบือนของโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้นปัจจุบัน และ คาดว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดทางการเงินอื่นๆ ในขอบเขตจำกัดเท่านั้น ขณะที่ตลาดทางการเงิน อื่นๆ เช่น ตลาดพันธบัตร ได้ปรับตัวรับข่าวเรื่องนี้ไปมากแล้ว ส่วนรูปแบบและกรอบการดำเนินนโยบายการเงินยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งต่อไป ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2544
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-