แท็ก
สหภาพยุโรป
ในช่วงที่ผ่านมาสหภาพยุโรป (European Union: EU) ได้ทำการปฏิรูปนโยบายเกษตรร่วม (Common Agricultural Policy Reform: CAP Reform) รวม 3 ครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการยุโรปเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2546 โดยบางส่วนของการปฏิรูปในครั้งนี้เริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2547 ขณะที่บางส่วนจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2548 หรือหลังจากนั้น ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยลดภาระของรัฐบาลประเทศสมาชิก EU ที่มีรายจ่ายในการอุดหนุนภาคเกษตรกรรมเป็นเงินจำนวนมากในแต่ละปี ให้สามารถนำรายจ่ายที่ลดลงไปใช้พัฒนาเศรษฐกิจโดยเฉพาะในภาคชนบทของประเทศสมาชิก EU ใหม่ 10 ประเทศที่เข้าเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2547 นอกจากนี้ ยังเป็นการลดกระแสคัดค้านนโยบายการอุดหนุนการเกษตรของ EU จากประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) อีกด้วย
สาระสำคัญของ Cap Reform ครั้งล่าสุด
1. การลดราคาแทรกแซง (Intervention Price)
- เดิม EU มีการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรสำคัญหลายชนิด อาทิ ข้าว นมผง และเนย ฯลฯ โดยการประกันราคาในการรับซื้อจากเกษตรกรเพื่อช่วยยกระดับราคาสินค้าให้สูงขึ้น
- ใหม่ EU จะลดราคาแทรกแซงสินค้าเกษตรบางชนิดในตลาด EU ลง อาทิ ข้าวจะลดราคาแทรกแซงลง 50% จาก 298 ยูโร/เมตริกตัน เหลือ 150 ยูโร/เมตริกตัน ภายในปี 2548-2552 นมผงจะลดลง 15% โดยลดลงปีละ 5% ตั้งแต่ปี 2547-2549 และเนยจะลดลง 25% โดยเริ่มลดลงปีละ 7% ตั้งแต่ปี 2548-2550 และลดลง 4% ในปี 2551
2. การจัดสรรเงินอุดหนุนรูปแบบใหม่
- เดิม การจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิต (Coupled Payment) สินค้าแต่ละชนิดที่ EU ต้องการอุดหนุน ส่งผลให้เกษตรกรหันมาผลิตสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นจนทำให้เกิดปัญหาสินค้าล้นตลาด และทำให้ EU ส่งออกสินค้าเกษตรที่ให้การอุดหนุนได้ในราคาถูก ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าในตลาดโลกโดยรวมตกต่ำลงด้วย
- ใหม่ จะเป็นแบบ Single Farm Payments (SFP) กล่าวคือ การจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรจะไม่ขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิต (Decoupled Payment) ของสินค้าที่ให้การอุดหนุนอีกต่อไป โดยแบบใหม่จะคำนวณจากเงินอุดหนุนแบบเดิมที่เกษตรกรเคยได้รับเฉลี่ยในช่วงปี 2543-2545 แยกเป็นรายสินค้าโดยไม่คำนึงถึงระดับการผลิตในปัจจุบันเพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าล้นตลาด ทั้งนี้ มีข้อแม้ว่าผลผลิตของเกษตรกรที่ได้รับการอุดหนุนต้องได้มาตรฐานเรื่องความปลอดภัยของอาหาร สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดเรื่องสวัสดิภาพสัตว์ สิ่งแวดล้อม รวมถึงข้อกำหนดในการดูแลรักษาพื้นที่การเกษตรทั้งหมดให้อยู่ในสภาพดี (Cross-compliance) มิฉะนั้น รัฐบาลจะลดการจ่ายเงินอุดหนุนลงตามสัดส่วนของความเสียหายที่เกิดขึ้น
- วันที่ SFP มีผลบังคับใช้ สำหรับประเทศสมาชิก EU ทั้ง 25 ประเทศจะแตกต่างกันไป กล่าวคือ ประเทศสมาชิก EU เดิม 10 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรีย เบลเยียม เดนมาร์ก เยอรมนี ไอร์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก โปรตุเกส สวีเดน และสหราชอาณาจักร ได้ตกลงเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 ขณะที่ประเทศสมาชิก EU เดิมอีก 5 ประเทศ ได้แก่ ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส กรีซ เนเธอร์แลนด์ และสเปน คาดว่าจะเริ่มใช้ในปี 2549 สำหรับประเทศสมาชิก EU ใหม่ 2 ประเทศ ได้แก่ มอลตาและสโลวีเนียจะเริ่มใช้ในปี 2550 ส่วนประเทศสมาชิก EU ใหม่อีก 8 ประเทศที่เหลือ ได้แก่ ไซปรัส สาธารณรัฐเช็ก เอสโตเนีย ฮังการี ลัตเวีย ลิทัวเนีย โปแลนด์ และสโลวาเกียจะเริ่มใช้อย่างช้าที่สุดในปี 2552
ผลกระทบของ CAP Reform
- ผลต่อประเทศสมาชิก EU การลดราคาแทรกแซงสินค้าเกษตรบางชนิดทำให้เกษตรกร EU หันมาผลิตสินค้าได้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น และต้องพัฒนาศักยภาพในการผลิตสินค้าให้มีต้นทุนที่ต่ำลง ขณะที่การกำหนดเงื่อนไขในการให้เงินอุดหนุนแบบใหม่ (SFP) จะทำให้เกษตรกรต้องเร่งปรับปรุงสินค้าให้มีคุณภาพสอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลกแล้วยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคที่จะเลือกซื้อสินค้าที่ผลิตใน EU ได้อีกทางหนึ่งด้วย
- ผลต่อนานาประเทศ การลดราคาแทรกแซงสินค้าเกษตรบางชนิดของ EU จะช่วยลดการบิดเบือนทางการค้าได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปคาดว่าภายใน 5-10 ปีต่อจากนี้ปริมาณการผลิตสินค้าเกษตรบางชนิดจะลดลง อาทิ ข้าว เนื้อสัตว์ นมและผลิตภัณฑ์ ฯลฯ ส่งผลให้ในระยะยาวสินค้าดังกล่าวใน EU จะมีราคาสูงขึ้นทำให้ราคาที่ส่งออกต้องปรับเพิ่มขึ้น ดังนั้น ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกจึงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นด้วยซึ่งจะเป็นผลดีต่อประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายอื่นๆ รวมทั้งไทย
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พฤษภาคม 2548--
-พห-
สาระสำคัญของ Cap Reform ครั้งล่าสุด
1. การลดราคาแทรกแซง (Intervention Price)
- เดิม EU มีการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรสำคัญหลายชนิด อาทิ ข้าว นมผง และเนย ฯลฯ โดยการประกันราคาในการรับซื้อจากเกษตรกรเพื่อช่วยยกระดับราคาสินค้าให้สูงขึ้น
- ใหม่ EU จะลดราคาแทรกแซงสินค้าเกษตรบางชนิดในตลาด EU ลง อาทิ ข้าวจะลดราคาแทรกแซงลง 50% จาก 298 ยูโร/เมตริกตัน เหลือ 150 ยูโร/เมตริกตัน ภายในปี 2548-2552 นมผงจะลดลง 15% โดยลดลงปีละ 5% ตั้งแต่ปี 2547-2549 และเนยจะลดลง 25% โดยเริ่มลดลงปีละ 7% ตั้งแต่ปี 2548-2550 และลดลง 4% ในปี 2551
2. การจัดสรรเงินอุดหนุนรูปแบบใหม่
- เดิม การจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิต (Coupled Payment) สินค้าแต่ละชนิดที่ EU ต้องการอุดหนุน ส่งผลให้เกษตรกรหันมาผลิตสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นจนทำให้เกิดปัญหาสินค้าล้นตลาด และทำให้ EU ส่งออกสินค้าเกษตรที่ให้การอุดหนุนได้ในราคาถูก ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าในตลาดโลกโดยรวมตกต่ำลงด้วย
- ใหม่ จะเป็นแบบ Single Farm Payments (SFP) กล่าวคือ การจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรจะไม่ขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิต (Decoupled Payment) ของสินค้าที่ให้การอุดหนุนอีกต่อไป โดยแบบใหม่จะคำนวณจากเงินอุดหนุนแบบเดิมที่เกษตรกรเคยได้รับเฉลี่ยในช่วงปี 2543-2545 แยกเป็นรายสินค้าโดยไม่คำนึงถึงระดับการผลิตในปัจจุบันเพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าล้นตลาด ทั้งนี้ มีข้อแม้ว่าผลผลิตของเกษตรกรที่ได้รับการอุดหนุนต้องได้มาตรฐานเรื่องความปลอดภัยของอาหาร สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดเรื่องสวัสดิภาพสัตว์ สิ่งแวดล้อม รวมถึงข้อกำหนดในการดูแลรักษาพื้นที่การเกษตรทั้งหมดให้อยู่ในสภาพดี (Cross-compliance) มิฉะนั้น รัฐบาลจะลดการจ่ายเงินอุดหนุนลงตามสัดส่วนของความเสียหายที่เกิดขึ้น
- วันที่ SFP มีผลบังคับใช้ สำหรับประเทศสมาชิก EU ทั้ง 25 ประเทศจะแตกต่างกันไป กล่าวคือ ประเทศสมาชิก EU เดิม 10 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรีย เบลเยียม เดนมาร์ก เยอรมนี ไอร์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก โปรตุเกส สวีเดน และสหราชอาณาจักร ได้ตกลงเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 ขณะที่ประเทศสมาชิก EU เดิมอีก 5 ประเทศ ได้แก่ ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส กรีซ เนเธอร์แลนด์ และสเปน คาดว่าจะเริ่มใช้ในปี 2549 สำหรับประเทศสมาชิก EU ใหม่ 2 ประเทศ ได้แก่ มอลตาและสโลวีเนียจะเริ่มใช้ในปี 2550 ส่วนประเทศสมาชิก EU ใหม่อีก 8 ประเทศที่เหลือ ได้แก่ ไซปรัส สาธารณรัฐเช็ก เอสโตเนีย ฮังการี ลัตเวีย ลิทัวเนีย โปแลนด์ และสโลวาเกียจะเริ่มใช้อย่างช้าที่สุดในปี 2552
ผลกระทบของ CAP Reform
- ผลต่อประเทศสมาชิก EU การลดราคาแทรกแซงสินค้าเกษตรบางชนิดทำให้เกษตรกร EU หันมาผลิตสินค้าได้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น และต้องพัฒนาศักยภาพในการผลิตสินค้าให้มีต้นทุนที่ต่ำลง ขณะที่การกำหนดเงื่อนไขในการให้เงินอุดหนุนแบบใหม่ (SFP) จะทำให้เกษตรกรต้องเร่งปรับปรุงสินค้าให้มีคุณภาพสอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลกแล้วยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคที่จะเลือกซื้อสินค้าที่ผลิตใน EU ได้อีกทางหนึ่งด้วย
- ผลต่อนานาประเทศ การลดราคาแทรกแซงสินค้าเกษตรบางชนิดของ EU จะช่วยลดการบิดเบือนทางการค้าได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปคาดว่าภายใน 5-10 ปีต่อจากนี้ปริมาณการผลิตสินค้าเกษตรบางชนิดจะลดลง อาทิ ข้าว เนื้อสัตว์ นมและผลิตภัณฑ์ ฯลฯ ส่งผลให้ในระยะยาวสินค้าดังกล่าวใน EU จะมีราคาสูงขึ้นทำให้ราคาที่ส่งออกต้องปรับเพิ่มขึ้น ดังนั้น ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกจึงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นด้วยซึ่งจะเป็นผลดีต่อประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายอื่นๆ รวมทั้งไทย
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พฤษภาคม 2548--
-พห-