1. เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวปี 2542
เศรษฐกิจได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดของภาวะวิกฤตในปี 2541 ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจตกต่ำลงอย่างมากจนดูเหมือนว่าจะไม่มีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วนัก แต่จากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ได้ส่งผลให้เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปและมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจได้เริ่มฟื้นตัวขึ้นแล้ว การฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2542 โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งเป็นลำดับ โดยในไตรมาสที่ 1, 2 และ 3 ขยายตัวร้อยละ 0.9, 3.3 และ 7.7 ตามลำดับ ทำให้คาดว่าตลอดปี 2542 เศรษฐกิจจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 4.1 เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจสำคัญๆ ปรับตัวดีขึ้น ดังนี้ 1) ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปี 2542 ขยายตัวถึงร้อยละ 12.6 และอัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับร้อยละ 60.3
2) การบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวในอัตราร้อยละ 4.0 ขณะที่การลงทุนภาค เอกชนยังค่อนข้างทรงตัวโดยขยายตัวเพียงร้อยละ 0.8
3) การส่งออก ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 7.3 มีมูลค่า 58,489 ล้านเหรียญสหรัฐ และการนำเข้า ขยายตัวร้อยละ 17.6 มีมูลค่า 49,915 ล้านเหรียญสหรัฐ
4) อัตราเงินเฟ้อทรงตัวในระดับต่ำเพียงร้อยละ 0.3
5) ค่าเงินบาทยังคงมีเสถียรภาพอยู่ที่ระดับ 38 บาท/เหรียญสหรัฐ
6) อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ (MLR ร้อยละ 8.25 - 8.50)
7) ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 11.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9 ของ GDP และทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2542 อยู่ที่ระดับ 34.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ
2. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2543
สถานการณ์เศรษฐกิจปี 2543 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่า ปี 2543 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 4.4 โดยภาคการส่งออกจะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญของระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวไปในทางเกื้อหนุนให้ระบบเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืนที่สำคัญ ได้แก่ 1) ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นด้วยแรงสนับสนุนจากการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี และการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น จะกระตุ้นการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นเพื่อสนองความต้องการของตลาด ซึ่ง ณ เดือนมกราคม 2543 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7
2) อัตราการใช้กำลังผลิตภาคอุตสาหกรรม จะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปในปี 2543 จากสภาพเศรษฐกิจและการส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
3) การลงทุนของภาคเอกชน คาดว่าปี 2543 การลงทุนภาคเอกชนจะเพิ่มขึ้น ร้อยละ 9.0 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในเครื่องจักรอุปกรณ์และการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในกิจกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก กอปรกับแผนการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและการปรับโครงสร้างการผลิตซึ่งจะเริ่มมีผลในทางปฏิบัติ จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการลงทุนเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต และเป็นยุทธวิธีที่ภาคธุรกิจเตรียมพร้อมสำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป นอกจากนี้ มาตรการสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชนที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2542 จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน รวมทั้งการประมูลสินทรัพย์ของ ปรส. ที่เสร็จสิ้นไปเป็นส่วนใหญ่จะมีส่วนช่วยให้โครงการที่ยังค้างอยู่สามารถดำเนินการไปได้ และ ณ เดือนมกราคม 2543 การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8
4) การส่งออก กระทรวงพาณิชย์ คาดว่าการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 มีมูลค่าประมาณ 62,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจัยสนับสนุนการส่งออกที่สำคัญ คือ
- ภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลก ปี 2543 จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ 3.5 (ปี 2542 ขยายตัวร้อยละ 3) ปริมาณการค้าโลกจะขยายตัวสูงถึงร้อยละ 6.2 (ปี 2542 ขยายตัวร้อยละ 3.9) นอกจากนี้ เศรษฐกิจของตลาดส่งออกหลักของไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่น สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 2.6) ญี่ปุ่น (ร้อยละ 1.5) สหภาพยุโรป (ร้อยละ 2.7) เอเซีย (ร้อยละ 5.4) ตะวันออกกลาง (ร้อยละ 3.1) แอฟริกา (ร้อยละ 5.0) ลาตินอเมริกา (ร้อยละ 3.9)
- ปัจจัยภายในประเทศที่สนับสนุนการส่งออก คือ อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่คาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในระดับร้อยละ 2-3 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ส่วนอัตราดอกเบี้ยคงจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นบ้างเล็กน้อย เพราะสภาพคล่องในระบบและการใช้จ่ายเงินของภาครัฐยังมีอยู่สูง นอกจากนี้ตลาดตราสารหนี้และสินเชื่อจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ การส่งออกในเดือนมกราคม 2543 ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 36.4 มีมูลค่า 5,570 ล้านเหรียญสหรัฐ
5) ดุลบัญชีเดินสะพัด จากภาวะการส่งออกปี 2543 ที่คาดว่าจะขยายตัวในเกณฑ์ดี ขณะที่เศรษฐกิจขยายตัวสูงขึ้น ทำให้การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจะมีผลให้ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดปี 2543 มีแนวโน้มลดลง โดยคาดว่าจะเกินดุลประมาณ 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ
6) ทุนสำรองระหว่างประเทศ ภาวะเศรษฐกิจและการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้นมาโดยลำดับ ทำให้ฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศปรับตัวดีขึ้น ณ สิ้นเดือนมกราคม 2543 อยู่ที่ระดับ 32.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าฐานะการเงินของประเทศมีความแข็งแกร่ง
7) การคลัง การดำเนินนโยบายการคลังขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลจำนวน 110,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2543 และการใช้จ่ายตามมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง
8) ธุรกิจท่องเที่ยว มีการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนตามโครงการรณรงค์ส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทยในปีอะเมซิ่งไทยแลนด์ ปี 2542 สร้างรายได้เข้าประเทศประมาณ 280,000 ล้านบาท สำหรับปี 2543 แม้ว่าจะสิ้นสุดโครงการอะเมซิ่งไทยแลนด์ไปแล้ว แต่ความร่วมมือภาครัฐและเอกชนในการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว การส่งเสริมด้านการตลาด การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเซียฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้คาดว่าปี 2543 จะมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศประมาณ 9 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 320,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2542 ร้อยละ 14
3. ปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ที่สำคัญคือ
1) ปัญหาระบบสถาบันการเงิน
- ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่องจากระดับร้อยละ 47 ในช่วงต้นปี 2542 ลดลงเหลือประมาณร้อยละ 38.68 ในเดือนมกราคม 2543 แต่ในทางปฏิบัติยังมีปัญหาอยู่บ้าง ทำให้การประนอมหนี้เป็นไปอย่างเชื่องช้า เนื่องจากลูกหนี้แต่ละรายส่วนใหญ่มีเจ้าหนี้จำนวนมาก การเจรจาระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้จึงมีปัญหาในรายละเอียดที่ตกลงกันไม่ได้ นอกจากนั้นยังมีปัญหากลไกด้านกฎหมาย ทำให้ลูกหนี้บางรายเบี้ยวโดยจงใจ (Strategic NPL) เพราะเชื่อว่าตนเองมีสินทรัพย์มากกว่าหนี้สิน ไม่มีทางที่เจ้าหนี้จะฟ้องล้มละลายได้
- ปัญหาการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ที่ยังมีทุนจดทะเบียนไม่เพียงพอสำหรับการกันสำรองหนี้จัดชั้นไม่ครบ 100% จะต้องเร่งเพิ่มทุนโดยเร็ว เพื่อสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นในตลาดทุน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าระบบธนาคารพาณิชย์ยังจะต้องการเงินเพิ่มทั้งระบบประมาณ 4-9 หมื่นล้านบาท
2) ปัญหาการว่างงาน ผลจากวิกฤตเศรษฐกิจทำให้มีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นจาก 0.63 ล้านคนในปี 2540 เป็น 1.35 ล้านคนในปี 2542 สำหรับปี 2543 ภาวะการว่างงานยังเป็นปัญหาที่น่าห่วงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานนิสิตนักศึกษาจบใหม่ประมาณ 5 แสนคน และคนว่างงานจากกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ที่บริษัทจำนวนไม่น้อยต้องเลิกกิจการ
3) ภาระหนี้ต่างประเทศของภาครัฐสูงขึ้น จากวิกฤตที่เกิดขึ้นทำให้รัฐบาลต้องก่อหนี้จากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก จากจำนวน 17.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนมิถุนายน 2540 เพิ่มขึ้นเป็น 36.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนธันวาคม 2542 ซึ่งในปี 2543 รัฐบาลเริ่มมีภาระจะต้องชำระหนี้อีกเป็นจำนวนมาก
4) ราคาน้ำมัน ทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกจะยังทรงตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่องจากนโยบายควบคุมปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปค จะมีผลบั่นทอนเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและธุรกิจรายสาขา เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้า บริการและการขนส่งปรับตัวสูงขึ้นจะ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวได้
4. การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของภาครัฐ
เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืน รัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างต่อเนื่องที่สำคัญ คือ
1) การแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน
รัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน โดยได้มีการแทรกแซงกิจการของสถาบันการเงินที่มีปัญหา การออกมาตรการสนับสนุนให้มีการควบรวมสถาบันการเงินเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง การให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนภายใต้มาตรการ 14 สิงหาคม 2541 การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ โดยการสนับสนุนกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ และการประนอมหนี้ การสนับสนุนสถาบันการเงินเอกชนจัดตั้งบริษัทบริหารทรัพย์สินเอกชน (AMC) มาตรการเหล่านี้ส่งผลให้ระบบสถาบันการเงินของไทยเริ่มมีความเข้มแข็งขึ้นและปริมาณ NPL ลดลงตามลำดับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2542 เป็นต้นมา
2) การปรับโครงสร้างในทุกภาคการผลิต
โดยการจัดหาเงินกู้จากต่างประเทศเพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตรและอุตสาหกรรมของประเทศ เพื่อการปรับปรุงผลิตภาพและปรับกระบวนการผลิตให้มีต้นทุนที่แข่งขันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
ภาคบริการ พัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง สนับสนุนบริการด้านการศึกษานานาชาติ สนับสนุนการบริการส่งเสริมสุขภาพและรักษาพยาบาล
การกระตุ้นการลงทุน สนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้าร่วมในโครงการลงทุนของภาครัฐ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นของเอกชน เน้นความสำคัญในโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน กำกับดูแลดำเนินการภายใต้มาตรการสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชน (10 สิงหาคม 2542) ให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ
การแก้ไขปัญหาการว่างงาน ได้เร่งดำเนินโครงการต่างๆ ตามแผนปรับโครงสร้างทางการเกษตรและอุตสาหกรรม เพื่อให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นและมีการพัฒนาฝีมือแรงงานสูงขึ้น
3) นโยบายการคลัง
ปรับปรุงโครงสร้างภาษีทั้งระบบให้มีความเหมาะสม และเอื้ออำนวยต่อภาคการผลิตที่แท้จริงของประเทศ การปรับนโยบายภาษีศุลกากรรองรับการเปิดเสรีทางการค้า การปรับปรุงการจัดทำและบริหารงบประมาณ
4) นโยบายด้านการส่งออก
- เร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาอุปสรรคของการส่งออกที่ยังคั่งค้างอยู่ให้สำเร็จและมีผลโดยเร็ว โดยเฉพาะปัญหาที่ส่งผลกระทบโดยรวม ได้แก่
(1) การปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าวัตถุดิบ โดยเฉพาะเหล็กและปิโตรเคมี ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่สำคัญของสินค้าส่งออกหลายรายการ
(2) แก้ไขปัญหาสภาพคล่องและกระจายสภาพคล่องอย่างทั่วถึงและพอเพียงให้กับผู้ผลิตและผู้ส่งออก โดยเฉพาะระดับกลางและระดับเล็ก
(3) ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ยังสูงอยู่ เช่น ค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้า เป็นต้น
- การดูแลด้านการตลาด โดยให้ความสำคัญทั้งในด้านการรักษาส่วนแบ่งตลาดในตลาดเดิมและเพิ่มสัดส่วนการส่งออกในตลาดใหม่ รวมทั้งเร่งรัดผลักดันธุรกิจบริการที่มีลู่ทางและมีศักยภาพโดยมุ่งเน้นกิจกรรมที่สำคัญ คือ การสร้างภาพลักษณ์ของประเทศและสินค้าไทย การสร้างตราสัญลักษณ์สินค้าไทย (Brand Name) การสร้างเครือข่ายกระจายสินค้า (Distribution Network) ส่งเสริมการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน (Border Trade) เป็นต้น
- พัฒนาและส่งเสริมการส่งออกสินค้าอาหารและสินค้าเกษตร ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการกระจายตลาด
- เน้นนโยบายทีมไทยแลนด์ เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ โดยให้สายงานที่ดูแลด้านการเมืองและสามารถประสานกับผู้บริหารระดับสูงของต่างประเทศเข้ามาช่วยสายงานด้านการพาณิชย์และสายงานด้านอื่น เพื่อเสริมบทบาทของไทยในต่างประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น
- สนับสนุนและส่งเสริมการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) โดยผ่านระบบ Internet เพื่อให้มีการค้าที่สะดวกรวดเร็วและกว้างขวางขึ้น
การดำเนินการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจข้างต้น จะเป็นตัวจักรสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
--กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ อาคาร ค ถ.ราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 โทรศัพท์ (662)2826171-9 แฟกซ์ (662)280-0775--
-สส-
เศรษฐกิจได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดของภาวะวิกฤตในปี 2541 ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจตกต่ำลงอย่างมากจนดูเหมือนว่าจะไม่มีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วนัก แต่จากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ได้ส่งผลให้เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปและมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจได้เริ่มฟื้นตัวขึ้นแล้ว การฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2542 โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งเป็นลำดับ โดยในไตรมาสที่ 1, 2 และ 3 ขยายตัวร้อยละ 0.9, 3.3 และ 7.7 ตามลำดับ ทำให้คาดว่าตลอดปี 2542 เศรษฐกิจจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 4.1 เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจสำคัญๆ ปรับตัวดีขึ้น ดังนี้ 1) ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปี 2542 ขยายตัวถึงร้อยละ 12.6 และอัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับร้อยละ 60.3
2) การบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวในอัตราร้อยละ 4.0 ขณะที่การลงทุนภาค เอกชนยังค่อนข้างทรงตัวโดยขยายตัวเพียงร้อยละ 0.8
3) การส่งออก ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 7.3 มีมูลค่า 58,489 ล้านเหรียญสหรัฐ และการนำเข้า ขยายตัวร้อยละ 17.6 มีมูลค่า 49,915 ล้านเหรียญสหรัฐ
4) อัตราเงินเฟ้อทรงตัวในระดับต่ำเพียงร้อยละ 0.3
5) ค่าเงินบาทยังคงมีเสถียรภาพอยู่ที่ระดับ 38 บาท/เหรียญสหรัฐ
6) อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ (MLR ร้อยละ 8.25 - 8.50)
7) ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 11.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9 ของ GDP และทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2542 อยู่ที่ระดับ 34.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ
2. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2543
สถานการณ์เศรษฐกิจปี 2543 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่า ปี 2543 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 4.4 โดยภาคการส่งออกจะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญของระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวไปในทางเกื้อหนุนให้ระบบเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืนที่สำคัญ ได้แก่ 1) ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นด้วยแรงสนับสนุนจากการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี และการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น จะกระตุ้นการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นเพื่อสนองความต้องการของตลาด ซึ่ง ณ เดือนมกราคม 2543 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7
2) อัตราการใช้กำลังผลิตภาคอุตสาหกรรม จะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปในปี 2543 จากสภาพเศรษฐกิจและการส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
3) การลงทุนของภาคเอกชน คาดว่าปี 2543 การลงทุนภาคเอกชนจะเพิ่มขึ้น ร้อยละ 9.0 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในเครื่องจักรอุปกรณ์และการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในกิจกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก กอปรกับแผนการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและการปรับโครงสร้างการผลิตซึ่งจะเริ่มมีผลในทางปฏิบัติ จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการลงทุนเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต และเป็นยุทธวิธีที่ภาคธุรกิจเตรียมพร้อมสำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป นอกจากนี้ มาตรการสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชนที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2542 จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน รวมทั้งการประมูลสินทรัพย์ของ ปรส. ที่เสร็จสิ้นไปเป็นส่วนใหญ่จะมีส่วนช่วยให้โครงการที่ยังค้างอยู่สามารถดำเนินการไปได้ และ ณ เดือนมกราคม 2543 การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8
4) การส่งออก กระทรวงพาณิชย์ คาดว่าการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 มีมูลค่าประมาณ 62,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจัยสนับสนุนการส่งออกที่สำคัญ คือ
- ภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลก ปี 2543 จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ 3.5 (ปี 2542 ขยายตัวร้อยละ 3) ปริมาณการค้าโลกจะขยายตัวสูงถึงร้อยละ 6.2 (ปี 2542 ขยายตัวร้อยละ 3.9) นอกจากนี้ เศรษฐกิจของตลาดส่งออกหลักของไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่น สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 2.6) ญี่ปุ่น (ร้อยละ 1.5) สหภาพยุโรป (ร้อยละ 2.7) เอเซีย (ร้อยละ 5.4) ตะวันออกกลาง (ร้อยละ 3.1) แอฟริกา (ร้อยละ 5.0) ลาตินอเมริกา (ร้อยละ 3.9)
- ปัจจัยภายในประเทศที่สนับสนุนการส่งออก คือ อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่คาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในระดับร้อยละ 2-3 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ส่วนอัตราดอกเบี้ยคงจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นบ้างเล็กน้อย เพราะสภาพคล่องในระบบและการใช้จ่ายเงินของภาครัฐยังมีอยู่สูง นอกจากนี้ตลาดตราสารหนี้และสินเชื่อจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ การส่งออกในเดือนมกราคม 2543 ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 36.4 มีมูลค่า 5,570 ล้านเหรียญสหรัฐ
5) ดุลบัญชีเดินสะพัด จากภาวะการส่งออกปี 2543 ที่คาดว่าจะขยายตัวในเกณฑ์ดี ขณะที่เศรษฐกิจขยายตัวสูงขึ้น ทำให้การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจะมีผลให้ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดปี 2543 มีแนวโน้มลดลง โดยคาดว่าจะเกินดุลประมาณ 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ
6) ทุนสำรองระหว่างประเทศ ภาวะเศรษฐกิจและการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้นมาโดยลำดับ ทำให้ฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศปรับตัวดีขึ้น ณ สิ้นเดือนมกราคม 2543 อยู่ที่ระดับ 32.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าฐานะการเงินของประเทศมีความแข็งแกร่ง
7) การคลัง การดำเนินนโยบายการคลังขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลจำนวน 110,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2543 และการใช้จ่ายตามมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง
8) ธุรกิจท่องเที่ยว มีการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนตามโครงการรณรงค์ส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทยในปีอะเมซิ่งไทยแลนด์ ปี 2542 สร้างรายได้เข้าประเทศประมาณ 280,000 ล้านบาท สำหรับปี 2543 แม้ว่าจะสิ้นสุดโครงการอะเมซิ่งไทยแลนด์ไปแล้ว แต่ความร่วมมือภาครัฐและเอกชนในการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว การส่งเสริมด้านการตลาด การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเซียฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้คาดว่าปี 2543 จะมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศประมาณ 9 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 320,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2542 ร้อยละ 14
3. ปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ที่สำคัญคือ
1) ปัญหาระบบสถาบันการเงิน
- ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่องจากระดับร้อยละ 47 ในช่วงต้นปี 2542 ลดลงเหลือประมาณร้อยละ 38.68 ในเดือนมกราคม 2543 แต่ในทางปฏิบัติยังมีปัญหาอยู่บ้าง ทำให้การประนอมหนี้เป็นไปอย่างเชื่องช้า เนื่องจากลูกหนี้แต่ละรายส่วนใหญ่มีเจ้าหนี้จำนวนมาก การเจรจาระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้จึงมีปัญหาในรายละเอียดที่ตกลงกันไม่ได้ นอกจากนั้นยังมีปัญหากลไกด้านกฎหมาย ทำให้ลูกหนี้บางรายเบี้ยวโดยจงใจ (Strategic NPL) เพราะเชื่อว่าตนเองมีสินทรัพย์มากกว่าหนี้สิน ไม่มีทางที่เจ้าหนี้จะฟ้องล้มละลายได้
- ปัญหาการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ที่ยังมีทุนจดทะเบียนไม่เพียงพอสำหรับการกันสำรองหนี้จัดชั้นไม่ครบ 100% จะต้องเร่งเพิ่มทุนโดยเร็ว เพื่อสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นในตลาดทุน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าระบบธนาคารพาณิชย์ยังจะต้องการเงินเพิ่มทั้งระบบประมาณ 4-9 หมื่นล้านบาท
2) ปัญหาการว่างงาน ผลจากวิกฤตเศรษฐกิจทำให้มีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นจาก 0.63 ล้านคนในปี 2540 เป็น 1.35 ล้านคนในปี 2542 สำหรับปี 2543 ภาวะการว่างงานยังเป็นปัญหาที่น่าห่วงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานนิสิตนักศึกษาจบใหม่ประมาณ 5 แสนคน และคนว่างงานจากกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ที่บริษัทจำนวนไม่น้อยต้องเลิกกิจการ
3) ภาระหนี้ต่างประเทศของภาครัฐสูงขึ้น จากวิกฤตที่เกิดขึ้นทำให้รัฐบาลต้องก่อหนี้จากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก จากจำนวน 17.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนมิถุนายน 2540 เพิ่มขึ้นเป็น 36.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนธันวาคม 2542 ซึ่งในปี 2543 รัฐบาลเริ่มมีภาระจะต้องชำระหนี้อีกเป็นจำนวนมาก
4) ราคาน้ำมัน ทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกจะยังทรงตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่องจากนโยบายควบคุมปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปค จะมีผลบั่นทอนเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและธุรกิจรายสาขา เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้า บริการและการขนส่งปรับตัวสูงขึ้นจะ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวได้
4. การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของภาครัฐ
เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืน รัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างต่อเนื่องที่สำคัญ คือ
1) การแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน
รัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน โดยได้มีการแทรกแซงกิจการของสถาบันการเงินที่มีปัญหา การออกมาตรการสนับสนุนให้มีการควบรวมสถาบันการเงินเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง การให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนภายใต้มาตรการ 14 สิงหาคม 2541 การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ โดยการสนับสนุนกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ และการประนอมหนี้ การสนับสนุนสถาบันการเงินเอกชนจัดตั้งบริษัทบริหารทรัพย์สินเอกชน (AMC) มาตรการเหล่านี้ส่งผลให้ระบบสถาบันการเงินของไทยเริ่มมีความเข้มแข็งขึ้นและปริมาณ NPL ลดลงตามลำดับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2542 เป็นต้นมา
2) การปรับโครงสร้างในทุกภาคการผลิต
โดยการจัดหาเงินกู้จากต่างประเทศเพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตรและอุตสาหกรรมของประเทศ เพื่อการปรับปรุงผลิตภาพและปรับกระบวนการผลิตให้มีต้นทุนที่แข่งขันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
ภาคบริการ พัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง สนับสนุนบริการด้านการศึกษานานาชาติ สนับสนุนการบริการส่งเสริมสุขภาพและรักษาพยาบาล
การกระตุ้นการลงทุน สนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้าร่วมในโครงการลงทุนของภาครัฐ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นของเอกชน เน้นความสำคัญในโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน กำกับดูแลดำเนินการภายใต้มาตรการสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชน (10 สิงหาคม 2542) ให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ
การแก้ไขปัญหาการว่างงาน ได้เร่งดำเนินโครงการต่างๆ ตามแผนปรับโครงสร้างทางการเกษตรและอุตสาหกรรม เพื่อให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นและมีการพัฒนาฝีมือแรงงานสูงขึ้น
3) นโยบายการคลัง
ปรับปรุงโครงสร้างภาษีทั้งระบบให้มีความเหมาะสม และเอื้ออำนวยต่อภาคการผลิตที่แท้จริงของประเทศ การปรับนโยบายภาษีศุลกากรรองรับการเปิดเสรีทางการค้า การปรับปรุงการจัดทำและบริหารงบประมาณ
4) นโยบายด้านการส่งออก
- เร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาอุปสรรคของการส่งออกที่ยังคั่งค้างอยู่ให้สำเร็จและมีผลโดยเร็ว โดยเฉพาะปัญหาที่ส่งผลกระทบโดยรวม ได้แก่
(1) การปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าวัตถุดิบ โดยเฉพาะเหล็กและปิโตรเคมี ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่สำคัญของสินค้าส่งออกหลายรายการ
(2) แก้ไขปัญหาสภาพคล่องและกระจายสภาพคล่องอย่างทั่วถึงและพอเพียงให้กับผู้ผลิตและผู้ส่งออก โดยเฉพาะระดับกลางและระดับเล็ก
(3) ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ยังสูงอยู่ เช่น ค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้า เป็นต้น
- การดูแลด้านการตลาด โดยให้ความสำคัญทั้งในด้านการรักษาส่วนแบ่งตลาดในตลาดเดิมและเพิ่มสัดส่วนการส่งออกในตลาดใหม่ รวมทั้งเร่งรัดผลักดันธุรกิจบริการที่มีลู่ทางและมีศักยภาพโดยมุ่งเน้นกิจกรรมที่สำคัญ คือ การสร้างภาพลักษณ์ของประเทศและสินค้าไทย การสร้างตราสัญลักษณ์สินค้าไทย (Brand Name) การสร้างเครือข่ายกระจายสินค้า (Distribution Network) ส่งเสริมการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน (Border Trade) เป็นต้น
- พัฒนาและส่งเสริมการส่งออกสินค้าอาหารและสินค้าเกษตร ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการกระจายตลาด
- เน้นนโยบายทีมไทยแลนด์ เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ โดยให้สายงานที่ดูแลด้านการเมืองและสามารถประสานกับผู้บริหารระดับสูงของต่างประเทศเข้ามาช่วยสายงานด้านการพาณิชย์และสายงานด้านอื่น เพื่อเสริมบทบาทของไทยในต่างประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น
- สนับสนุนและส่งเสริมการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) โดยผ่านระบบ Internet เพื่อให้มีการค้าที่สะดวกรวดเร็วและกว้างขวางขึ้น
การดำเนินการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจข้างต้น จะเป็นตัวจักรสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
--กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ อาคาร ค ถ.ราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 โทรศัพท์ (662)2826171-9 แฟกซ์ (662)280-0775--
-สส-