ข้อมูลเบื้องต้นเดือนสิงหาคม เศรษฐกิจโดยรวมทรงตัว ทั้งภาคการผลิต การใช้จ่ายในประเทศ การลงทุนภาคเอกชน การส่งออก และการนำเข้า ขณะที่ดุลการชำระเงินเกินดุลเพิ่มขึ้น ดุลเงินสดรัฐบาลขาดดุลเพิ่มขึ้นแม้จะมีการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลงวดครึ่งปี ธนาคารพาณิชย์ ส่วนใหญ่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงทั้งเงินกู้และเงินฝาก ค่าเงินบาทอ่อนตัวต่อเนื่อง ส่วนเงินเฟ้อ สูงขึ้นตามต้นทุนราคาน้ำมัน ทั้งนี้ มีรายละเอียด ดังนี้
1. การผลิตภาคอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 2.3 จากระยะเดียวกันปีก่อน (หากไม่รวมผลผลิตสุรา เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2) สินค้าที่ยังขยายตัวในเกณฑ์ดี ได้แก่ หมวดที่ผลิตเพื่อส่งออกเป็นสำคัญ อาทิ หมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าขยายตัวสูง ตามการส่งออกแผงวงจรไฟฟ้าและการจำหน่ายเครื่องรับโทรทัศน์รุ่นใหม่ หมวดอัญมณีและเครื่องประดับ ขยายตัวตามการส่งออกได้ดีในตลาดหลักคือ สหรัฐอเมริกา เยอรมันนี และสหราชอาณาจักร ขณะที่ หมวดยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่งซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันชะลอการผลิตลง เพื่อระบายสต๊อก หมวดการผลิตที่ลดลง ได้แก่ หมวดเครื่องดื่ม ซึ่งลดลงตามผลผลิตของโรงงานสุราที่ได้รับสัมปทานแต่ยังไม่เริ่มทำการผลิต หมวดวัสดุก่อสร้าง ลดลงตามการส่งออกและความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศที่ยังคงซบเซาต่อเนื่องในฤดูฝน หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมลดลงตามการใช้น้ำมัน และปัญหาวัตถุดิบป้อนโรงกลั่นบางจาก สำหรับผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในช่วง 8 เดือนแรกปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน (หากไม่รวมผลผลิตสุรา เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6)
2. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ยังคงเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน โดยพิจารณาจากเครื่องชี้สำคัญ ได้แก่ ยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ (ร้อยละ 23.9) ปริมาณการนำเข้า สินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 12.9) และยอดจำหน่ายรถยนต์นั่ง (ร้อยละ 1.2) การลงทุนภาคเอกชน ด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ค่อนข้างทรงตัว ตามการใช้จ่ายในประเทศ ขณะที่การก่อสร้างยังหดตัว
3. ดุลเงินสดรัฐบาล ขาดดุล 10 พันล้านบาท เป็นการขาดดุลในงบประมาณ 1.6 พันล้านบาท และขาดดุลนอกงบประมาณ 8.4 พันล้านบาท รายได้จัดเก็บได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับงวดครึ่งปีประจำปี 2543 ขณะที่ปีที่ผ่านมามีการผ่อนผันให้เลื่อนการชำระออกไปได้ถึงเดือนกุมภาพันธ์ กอปรกับภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีจากการนำเข้าขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 7.5 และ 5.8 ตามลำดับ ด้านรายจ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน นอกจากนี้ มีรายจ่ายจากเงินนอกงบประมาณที่สำคัญคือ รายจ่ายส่วนแบ่งภาษี ให้แก่กรุงเทพมหานคร จำนวน 3 พันล้านบาท รายจ่ายตามโครงการมิยาซาวาจำนวน 0.8 พันล้านบาท ทั้งปีงบประมาณคาดว่ารายได้จะจัดเก็บได้ 750 พันล้านบาทตามเป้าหมาย ขณะที่คาดว่ารายจ่าย อาจต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 10 พันล้านบาท ส่งผลให้การขาดดุลเงินสดต่ำกว่าเป้าหมายจำนวน 10 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 ของ GDP
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้เป็นผล จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาสินค้าหมวดอื่น ๆ ที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มร้อยละ 3.6 ขณะที่ราคาสินค้า หมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 0.3 ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (ดัชนีราคาผู้บริโภคที่ ไม่รวมอาหารสดและพลังงาน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน สำหรับในช่วง 8 เดือนแรก ของปีดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคา สินค้าหมวดอื่น ๆที่มิใช่อาหารร้อยละ 3.1 เนื่องจากต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 1.5 ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน
5. ภาคต่างประเทศ มูลค่าการส่งออกและการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากช่วง เดียวกันปีก่อนร้อยละ 24.9 และ 41.2 ตามลำดับ ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 262 ล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อรวมกับดุลบริการและบริจาค ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงเป็น 556 ล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนดุลการชำระเงินเกินดุล 350 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เพิ่มขึ้นจาก 8 ล้านดอลลาร์ สรอ.ในเดือนก่อน) และเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม อยู่ที่ระดับ 32.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
6. ภาวะการเงิน สภาพคล่องระบบการเงินปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยตลาดเงิน ลดลงเล็กน้อย อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนและ อัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม MLR ของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่ง ณ สิ้นเดือนสิงหาคม อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.25 และ 8.125 ต่อปีตามลำดับ ต่อมาในเดือนกันยายน 2543 ธนาคารพาณิชย์ ส่วนใหญ่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.25 ต่อปี ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน และอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม MLR ของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่งอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.00 และ 7.75 ต่อปีตามลำดับ สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ใช่กิจการวิเทศธนกิจ (Non-BIBF) ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย สำหรับ เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่นกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ถือตั๋วสัญญาใช้เงินใน โครงการแลกเปลี่ยนตั๋วของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ที่มีตั๋วเงินครบกำหนด นำเงินที่ได้รับส่วนหนึ่งมาฝากไว้ที่ระบบธนาคารพาณิชย์ ปริมาณเงิน M2A มียอดคงค้างเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากระบบธนาคารพาณิชย์เป็นสำคัญ
7. อัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทเฉลี่ยอ่อนลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ ณ ระดับ 40.87 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ตามการอ่อนตัวของค่าเงินในภูมิภาค และการชำระหนี้ต่างประเทศของภาคเอกชน
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. การผลิตภาคอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 2.3 จากระยะเดียวกันปีก่อน (หากไม่รวมผลผลิตสุรา เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2) สินค้าที่ยังขยายตัวในเกณฑ์ดี ได้แก่ หมวดที่ผลิตเพื่อส่งออกเป็นสำคัญ อาทิ หมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าขยายตัวสูง ตามการส่งออกแผงวงจรไฟฟ้าและการจำหน่ายเครื่องรับโทรทัศน์รุ่นใหม่ หมวดอัญมณีและเครื่องประดับ ขยายตัวตามการส่งออกได้ดีในตลาดหลักคือ สหรัฐอเมริกา เยอรมันนี และสหราชอาณาจักร ขณะที่ หมวดยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่งซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันชะลอการผลิตลง เพื่อระบายสต๊อก หมวดการผลิตที่ลดลง ได้แก่ หมวดเครื่องดื่ม ซึ่งลดลงตามผลผลิตของโรงงานสุราที่ได้รับสัมปทานแต่ยังไม่เริ่มทำการผลิต หมวดวัสดุก่อสร้าง ลดลงตามการส่งออกและความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศที่ยังคงซบเซาต่อเนื่องในฤดูฝน หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมลดลงตามการใช้น้ำมัน และปัญหาวัตถุดิบป้อนโรงกลั่นบางจาก สำหรับผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในช่วง 8 เดือนแรกปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน (หากไม่รวมผลผลิตสุรา เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6)
2. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ยังคงเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน โดยพิจารณาจากเครื่องชี้สำคัญ ได้แก่ ยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ (ร้อยละ 23.9) ปริมาณการนำเข้า สินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 12.9) และยอดจำหน่ายรถยนต์นั่ง (ร้อยละ 1.2) การลงทุนภาคเอกชน ด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ค่อนข้างทรงตัว ตามการใช้จ่ายในประเทศ ขณะที่การก่อสร้างยังหดตัว
3. ดุลเงินสดรัฐบาล ขาดดุล 10 พันล้านบาท เป็นการขาดดุลในงบประมาณ 1.6 พันล้านบาท และขาดดุลนอกงบประมาณ 8.4 พันล้านบาท รายได้จัดเก็บได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับงวดครึ่งปีประจำปี 2543 ขณะที่ปีที่ผ่านมามีการผ่อนผันให้เลื่อนการชำระออกไปได้ถึงเดือนกุมภาพันธ์ กอปรกับภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีจากการนำเข้าขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 7.5 และ 5.8 ตามลำดับ ด้านรายจ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน นอกจากนี้ มีรายจ่ายจากเงินนอกงบประมาณที่สำคัญคือ รายจ่ายส่วนแบ่งภาษี ให้แก่กรุงเทพมหานคร จำนวน 3 พันล้านบาท รายจ่ายตามโครงการมิยาซาวาจำนวน 0.8 พันล้านบาท ทั้งปีงบประมาณคาดว่ารายได้จะจัดเก็บได้ 750 พันล้านบาทตามเป้าหมาย ขณะที่คาดว่ารายจ่าย อาจต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 10 พันล้านบาท ส่งผลให้การขาดดุลเงินสดต่ำกว่าเป้าหมายจำนวน 10 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 ของ GDP
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้เป็นผล จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาสินค้าหมวดอื่น ๆ ที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มร้อยละ 3.6 ขณะที่ราคาสินค้า หมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 0.3 ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (ดัชนีราคาผู้บริโภคที่ ไม่รวมอาหารสดและพลังงาน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน สำหรับในช่วง 8 เดือนแรก ของปีดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคา สินค้าหมวดอื่น ๆที่มิใช่อาหารร้อยละ 3.1 เนื่องจากต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 1.5 ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน
5. ภาคต่างประเทศ มูลค่าการส่งออกและการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากช่วง เดียวกันปีก่อนร้อยละ 24.9 และ 41.2 ตามลำดับ ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 262 ล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อรวมกับดุลบริการและบริจาค ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงเป็น 556 ล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนดุลการชำระเงินเกินดุล 350 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เพิ่มขึ้นจาก 8 ล้านดอลลาร์ สรอ.ในเดือนก่อน) และเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม อยู่ที่ระดับ 32.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
6. ภาวะการเงิน สภาพคล่องระบบการเงินปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยตลาดเงิน ลดลงเล็กน้อย อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนและ อัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม MLR ของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่ง ณ สิ้นเดือนสิงหาคม อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.25 และ 8.125 ต่อปีตามลำดับ ต่อมาในเดือนกันยายน 2543 ธนาคารพาณิชย์ ส่วนใหญ่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.25 ต่อปี ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน และอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม MLR ของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่งอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.00 และ 7.75 ต่อปีตามลำดับ สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ใช่กิจการวิเทศธนกิจ (Non-BIBF) ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย สำหรับ เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่นกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ถือตั๋วสัญญาใช้เงินใน โครงการแลกเปลี่ยนตั๋วของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ที่มีตั๋วเงินครบกำหนด นำเงินที่ได้รับส่วนหนึ่งมาฝากไว้ที่ระบบธนาคารพาณิชย์ ปริมาณเงิน M2A มียอดคงค้างเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากระบบธนาคารพาณิชย์เป็นสำคัญ
7. อัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทเฉลี่ยอ่อนลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ ณ ระดับ 40.87 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ตามการอ่อนตัวของค่าเงินในภูมิภาค และการชำระหนี้ต่างประเทศของภาคเอกชน
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-