- ประมงเป็นสาขาการผลิตที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย ผลผลิตสัตว์น้ำส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 56 ใช้ในการบริโภคสดในประเทศ ที่เหลือใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารทะเลสดแช่แข็ง แปรรูปและอาหารทะเลกระป๋องเพื่อส่งออก สร้างรายได้เงินตราต่างประเทศกว่า 150,000 ล้านบาทต่อปี
- ผลผลิตสัตว์น้ำในปี 2543 ลดลง เป็นผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมาก แม้ว่าราคาสัตว์น้ำจะสูงขึ้น แต่ไม่มากพอที่จะชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้น
- ด้านการส่งออก ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารทะเลอันดับ 1 ของโลก โดยในปี 2543 มูลค่าการส่งออกอาหารทะเลสดแช่แข็งและแปรรูปเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 17 แม้ว่าปริมาณการส่งออกจะลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย สำหรับปี 2544 คาดว่าปริมาณและมูลค่าการส่งออกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 และ 7.1 ตามลำดับ ส่วนปริมาณและมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลกระป๋องจะเพิ่มขึ้นจากปี 2542 ประมาณร้อยละ 1.1 และ 8.8 สำหรับปริมาณและมูลค่าการส่งออกในปี 2544 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 และ 5.3 ตามลำดับ
- การส่งออกกุ้งสดแช่แข็ง ซึ่งเป็นอาหารทะเลแช่แข็งรายการสำคัญที่มูลค่าส่งออกเป็นร้อยละ 69.6 ของมูลค่าส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งรวม มีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐอเมริกา โดยมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็นลำดับจากร้อยละ 28.4 ในปี 2537 เป็น 35.6 ในปัจจุบัน สำหรับตลาดญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 นั้น ไทยมีความสามารถในการแข่งขันลดลง โดยมีส่วนแบ่งตลาดลดลงเป็นลำดับจากร้อยละ 16.3 ในปี 2537 เหลือเพียงร้อยละ 7 ในปัจจุบัน
- ปัญหาที่สำคัญของอุตสาหกรรมอาหารทะเลสดแช่แข็ง แปรรูปและอาหารทะเลกระป๋อง ได้แก่ การขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มสูงขึ้น ประเทศผู้นำเข้ามีการเข้มงวดในด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยมากขึ้น รวมทั้งขาดการพัฒนาสินค้าไปสู่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มรูปแบบอื่น โดยเฉพาะอาหารทะเลกระป๋อง
- ภาครัฐและเอกชนควรหาแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารทะเล เช่น พัฒนาการนำส่วนที่เหลือจากการผลิตไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดต้นทุนการผลิตรัฐควรเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านในการทำประมงร่วมกัน ฟื้นฟูทรัพยากรทะเลไทย และร่วมมือกันพัฒนารูปแบบของผลิตภัณฑ์ให้มีความแตกต่างและมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
ข้อมูลได้จากการสัมภาษณ์และเยี่ยมชมโรงงาน ซึ่งประกอบด้วย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย บริษัท ยูเนี่ยนโฟรเซน โปรดักส์ จำกัด บริษัท พัทยาฟู้ดอินดัสตรี จำกัด และบริษัท สุรพลฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) และบางส่วนได้จากการประชุมวิชาการกุ้งทะเลแห่งชาติ ครั้งที่ 2 ณ จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 23 — 25 พฤศจิกายน 2543
- ประมงเป็นสาขาการผลิตที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย
สาขาการประมงก่อให้เกิดรายได้ การจ้างงานจำนวนมากและก่อให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เชื่อมโยงผู้ผลิตและผู้บริโภคทั้งการเชื่อมโยงไปข้างหลังและข้างหน้า (Backward & Forward Linkage) ผลผลิตประมงที่ได้ใช้ในการบริโภคและส่งออก โดยไทยเป็นผู้นำในการส่งออกอาหารทะเลเป็นอันดับ 1 ของโลก ในรูปของอาหารทะเลสดแช่แข็ง แปรรูปและอาหารทะเลกระป๋อง
- ผลผลิตสัตว์น้ำในปี 2543 ลดลง ขณะที่ราคาสัตว์น้ำสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
ผลผลิตสัตว์น้ำของไทยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2543 ลดลงร้อยละ 5.8 เนื่องจากประสบปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีก่อน ทำให้ชาวประมงบางส่วนหยุดทำการประมง ขณะที่ผลผลิตสัตว์น้ำจากการเพาะเลี้ยง โดยเฉพาะกุ้งกุลาดำ กลับอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจากสินค้าเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ ส่งผลให้ดัชนีราคาขายส่งสัตว์น้ำรวมที่ตลาดกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 7.3 ตามราคากุ้งที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7
- ในปี 2543 ปริมาณการส่งออกอาหารทะเลสดแช่แข็งและแปรรูปลดลงจากปีก่อน ขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนอาหารทะเลกระป๋องทั้งปริมาณและมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย
ในปี 2543 คาดว่าปริมาณการส่งออกอาหารทะเลสดแช่แข็งจะลดลงจากปีก่อนร้อยละ 4.4 นั้น เนื่องจากปริมาณการส่งออกปลาและปลาหมึกสดแช่แข็งลดลงจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ ขณะที่การส่งออกกุ้งสดแช่แข็งอยู่ในเกณฑ์ดี และราคาอยู่ในเกณฑ์สูงตลอดทั้งปี ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 17 คิดเป็นมูลค่า 86,800 ล้านบาท สำหรับแนวโน้มในปี 2544 คาดว่าปริมาณและมูลค่าการส่งออกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 และ 7.1 ตามลำดับ ตามการส่งออกกุ้งสดแช่แข็งที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง
ส่วนปริมาณการส่งออกอาหารทะเลกระป๋องในปี 2543 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียงร้อยละ 1.1 ตามปริมาณการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องที่ชะลอตัวลง เนื่องจากผู้นำเข้ามีสต็อกอยู่ในระดับสูง แต่มูลค่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 78,800 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 8.8 ตามราคากุ้งกระป๋องที่อยู่ในระดับสูง สำหรับแนวโน้มในปี 2544 คาดว่าปริมาณและมูลค่าการส่งออกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 และ 5.3 ตามลำดับ โดยตลาดหลักยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป
- ความสามารถในการแข่งขันของไทยในการส่งออกกุ้งสดแช่แข็งไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น แต่ลดลงในตลาดญี่ปุ่น
กุ้งสดแช่แข็ง ซึ่งเป็นอาหารทะเลแช่แข็งรายการสำคัญที่มูลค่าการส่งออกเป็นร้อยละ 69.6 ของมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งรวม มีตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา โดยไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จากร้อยละ 28.4 ในปี 2537 เป็น 35.6 ในปัจจุบัน เนื่องจากสินค้าไทยยังเป็นที่ต้องการในตลาด รองลงมา คือ ตลาดญี่ปุ่น เป็นที่น่าสังเกตว่าส่วนแบ่งตลาดของไทยลดลงเป็นลำดับจากร้อยละ 16.3 ในปี 2537 เหลือเพียงร้อยละ 7 ในปัจจุบัน โดยสาเหตุสำคัญ เนื่องจากญี่ปุ่นหันไปนำเข้าสินค้าจากอินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนามและจีนมากขึ้น เพราะราคาถูกกว่าไทย
- ปัญหาที่สำคัญของอุตสาหกรรมอาหารทะเลสดแช่แข็ง แปรรูปและอาหารทะเลกระป๋อง
ปัญหาที่สำคัญ ได้แก่ การขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต ทำให้ต้องพึ่งพิงการนำเข้าสูง ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากค่าแรงงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การถูกตัดสิทธิ GSP ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ผู้ประกอบการต้องเรียนรู้การบริหารต้นทุนและกำไรที่อยู่ในรูปเงินสกุลต่างประเทศให้รอบคอบและมีประสิทธิภาพ ประเทศผู้นำเข้ามีการเข้มงวดในด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยมากขึ้น เช่น GMOs รวมทั้งขาดการพัฒนาสินค้าไปสู่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มรูปแบบอื่น โดยเฉพาะอาหารทะเลกระป๋อง
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-สส-
- ผลผลิตสัตว์น้ำในปี 2543 ลดลง เป็นผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมาก แม้ว่าราคาสัตว์น้ำจะสูงขึ้น แต่ไม่มากพอที่จะชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้น
- ด้านการส่งออก ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารทะเลอันดับ 1 ของโลก โดยในปี 2543 มูลค่าการส่งออกอาหารทะเลสดแช่แข็งและแปรรูปเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 17 แม้ว่าปริมาณการส่งออกจะลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย สำหรับปี 2544 คาดว่าปริมาณและมูลค่าการส่งออกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 และ 7.1 ตามลำดับ ส่วนปริมาณและมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลกระป๋องจะเพิ่มขึ้นจากปี 2542 ประมาณร้อยละ 1.1 และ 8.8 สำหรับปริมาณและมูลค่าการส่งออกในปี 2544 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 และ 5.3 ตามลำดับ
- การส่งออกกุ้งสดแช่แข็ง ซึ่งเป็นอาหารทะเลแช่แข็งรายการสำคัญที่มูลค่าส่งออกเป็นร้อยละ 69.6 ของมูลค่าส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งรวม มีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐอเมริกา โดยมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็นลำดับจากร้อยละ 28.4 ในปี 2537 เป็น 35.6 ในปัจจุบัน สำหรับตลาดญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 นั้น ไทยมีความสามารถในการแข่งขันลดลง โดยมีส่วนแบ่งตลาดลดลงเป็นลำดับจากร้อยละ 16.3 ในปี 2537 เหลือเพียงร้อยละ 7 ในปัจจุบัน
- ปัญหาที่สำคัญของอุตสาหกรรมอาหารทะเลสดแช่แข็ง แปรรูปและอาหารทะเลกระป๋อง ได้แก่ การขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มสูงขึ้น ประเทศผู้นำเข้ามีการเข้มงวดในด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยมากขึ้น รวมทั้งขาดการพัฒนาสินค้าไปสู่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มรูปแบบอื่น โดยเฉพาะอาหารทะเลกระป๋อง
- ภาครัฐและเอกชนควรหาแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารทะเล เช่น พัฒนาการนำส่วนที่เหลือจากการผลิตไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดต้นทุนการผลิตรัฐควรเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านในการทำประมงร่วมกัน ฟื้นฟูทรัพยากรทะเลไทย และร่วมมือกันพัฒนารูปแบบของผลิตภัณฑ์ให้มีความแตกต่างและมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
ข้อมูลได้จากการสัมภาษณ์และเยี่ยมชมโรงงาน ซึ่งประกอบด้วย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย บริษัท ยูเนี่ยนโฟรเซน โปรดักส์ จำกัด บริษัท พัทยาฟู้ดอินดัสตรี จำกัด และบริษัท สุรพลฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) และบางส่วนได้จากการประชุมวิชาการกุ้งทะเลแห่งชาติ ครั้งที่ 2 ณ จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 23 — 25 พฤศจิกายน 2543
- ประมงเป็นสาขาการผลิตที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย
สาขาการประมงก่อให้เกิดรายได้ การจ้างงานจำนวนมากและก่อให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เชื่อมโยงผู้ผลิตและผู้บริโภคทั้งการเชื่อมโยงไปข้างหลังและข้างหน้า (Backward & Forward Linkage) ผลผลิตประมงที่ได้ใช้ในการบริโภคและส่งออก โดยไทยเป็นผู้นำในการส่งออกอาหารทะเลเป็นอันดับ 1 ของโลก ในรูปของอาหารทะเลสดแช่แข็ง แปรรูปและอาหารทะเลกระป๋อง
- ผลผลิตสัตว์น้ำในปี 2543 ลดลง ขณะที่ราคาสัตว์น้ำสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
ผลผลิตสัตว์น้ำของไทยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2543 ลดลงร้อยละ 5.8 เนื่องจากประสบปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีก่อน ทำให้ชาวประมงบางส่วนหยุดทำการประมง ขณะที่ผลผลิตสัตว์น้ำจากการเพาะเลี้ยง โดยเฉพาะกุ้งกุลาดำ กลับอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจากสินค้าเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ ส่งผลให้ดัชนีราคาขายส่งสัตว์น้ำรวมที่ตลาดกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 7.3 ตามราคากุ้งที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7
- ในปี 2543 ปริมาณการส่งออกอาหารทะเลสดแช่แข็งและแปรรูปลดลงจากปีก่อน ขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนอาหารทะเลกระป๋องทั้งปริมาณและมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย
ในปี 2543 คาดว่าปริมาณการส่งออกอาหารทะเลสดแช่แข็งจะลดลงจากปีก่อนร้อยละ 4.4 นั้น เนื่องจากปริมาณการส่งออกปลาและปลาหมึกสดแช่แข็งลดลงจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ ขณะที่การส่งออกกุ้งสดแช่แข็งอยู่ในเกณฑ์ดี และราคาอยู่ในเกณฑ์สูงตลอดทั้งปี ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 17 คิดเป็นมูลค่า 86,800 ล้านบาท สำหรับแนวโน้มในปี 2544 คาดว่าปริมาณและมูลค่าการส่งออกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 และ 7.1 ตามลำดับ ตามการส่งออกกุ้งสดแช่แข็งที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง
ส่วนปริมาณการส่งออกอาหารทะเลกระป๋องในปี 2543 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียงร้อยละ 1.1 ตามปริมาณการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องที่ชะลอตัวลง เนื่องจากผู้นำเข้ามีสต็อกอยู่ในระดับสูง แต่มูลค่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 78,800 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 8.8 ตามราคากุ้งกระป๋องที่อยู่ในระดับสูง สำหรับแนวโน้มในปี 2544 คาดว่าปริมาณและมูลค่าการส่งออกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 และ 5.3 ตามลำดับ โดยตลาดหลักยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป
- ความสามารถในการแข่งขันของไทยในการส่งออกกุ้งสดแช่แข็งไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น แต่ลดลงในตลาดญี่ปุ่น
กุ้งสดแช่แข็ง ซึ่งเป็นอาหารทะเลแช่แข็งรายการสำคัญที่มูลค่าการส่งออกเป็นร้อยละ 69.6 ของมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งรวม มีตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา โดยไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จากร้อยละ 28.4 ในปี 2537 เป็น 35.6 ในปัจจุบัน เนื่องจากสินค้าไทยยังเป็นที่ต้องการในตลาด รองลงมา คือ ตลาดญี่ปุ่น เป็นที่น่าสังเกตว่าส่วนแบ่งตลาดของไทยลดลงเป็นลำดับจากร้อยละ 16.3 ในปี 2537 เหลือเพียงร้อยละ 7 ในปัจจุบัน โดยสาเหตุสำคัญ เนื่องจากญี่ปุ่นหันไปนำเข้าสินค้าจากอินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนามและจีนมากขึ้น เพราะราคาถูกกว่าไทย
- ปัญหาที่สำคัญของอุตสาหกรรมอาหารทะเลสดแช่แข็ง แปรรูปและอาหารทะเลกระป๋อง
ปัญหาที่สำคัญ ได้แก่ การขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต ทำให้ต้องพึ่งพิงการนำเข้าสูง ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากค่าแรงงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การถูกตัดสิทธิ GSP ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ผู้ประกอบการต้องเรียนรู้การบริหารต้นทุนและกำไรที่อยู่ในรูปเงินสกุลต่างประเทศให้รอบคอบและมีประสิทธิภาพ ประเทศผู้นำเข้ามีการเข้มงวดในด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยมากขึ้น เช่น GMOs รวมทั้งขาดการพัฒนาสินค้าไปสู่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มรูปแบบอื่น โดยเฉพาะอาหารทะเลกระป๋อง
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-สส-