ในอดีตที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่สนใจเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปในเวียดนามเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ซึ่งล้วนเป็นประเทศที่ไม่มีโควตาหรือข้อตกลงจำกัดการนำเข้าสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป จากเวียดนาม ในขณะที่การส่งออกสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปไปจำหน่ายในสหรัฐฯ มีมูลค่าน้อยมาก เนื่องจากเวียดนามไม่ได้ลงนามในข้อตกลงฟื้นฟูสัมพันธภาพด้านเศรษฐกิจและการค้าในสภาวะปกติ (Normal Trade Relations: NTR) กับสหรัฐฯ ทำให้สินค้าส่งออกทุกชนิดของเวียดนามรวมทั้งสิ่งทอและเสื้อผาสำเร็จรูปต้องเสียภาษีศุลกากรนำเข้าในตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างสูง แต่หลังจากเวียดนามได้ลงนามในข้อตกลง NTR กับสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2543 ทำให้สินค้าสิ่งทอของเวียดนามได้รับการลดหย่อนภาษีนำเข้าลงจากอัตราเฉลี่ย 38.5% เหลืออัตราเฉลี่ย 4.4% และเสื้อผ้าสำเร็จรูปจะได้รับการลดหย่อนภาษีนำเข้าลงจากอัตราเฉลี่ย 58.0% เหลืออัตราเฉลี่ย 14.3% จึงคาดว่าเวียดนามจะสามารถขยายการส่งออกสินค้าสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปไปจำหน่ายในตลาดสหรัฐน ได้เพิ่มขึ้น
อุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปในเวียดนาม จึงกลายเป็นอุตสาหกรรมที่น่าสนใจเข้าไปลงทุนมากขึ้นกว่าเดิม นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีที่ได้รับในการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ แล้ว ปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่เกื้อหนุนการเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปในเวียดนาม ได้แก่
1. ความได้เปรียบในด้านค่าจ้างแรงงาน อัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำของเวียดนามต่ำมากเพียง 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ/เดือน หรือประมาณ 50 บาท/วัน (ปี 2542) ถูกกว่าอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำของไทยกว่า 3 เท่า
2. สิทธิประโยชน์ในการลงทุน รัฐบาลเวียดนามส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปอย่างจริงจัง อาทิ การยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบเป็นเวลา 5 ปี การให้สิทธิแก่ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของกิจการได้เต็ม 100% และไม่มีข้อจำกัดในการโอนเงินออกนอกประเทศ ฯลฯ ปัจจุบันมีนักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมนี้จำนวนทั้งสิ้น 193 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นักลงทุนรายใหญ่มาจากประเทศในเอเชีย อาทิ เกาหลีใต้ มาเลเซีย และไต้หวัน เป็นต้น
3. การคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ รัฐบาลเวียดนาม กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปไว้สูงมาก เพื่อปกป้องผู้ผลิตสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปภายในเวียดนาม เช่น การนำเข้าผ้าผืนต้องเสียภาษีนำเข้า 40% เสื้อผ้าสำเร็จรูป 50% และนอกจากภาษีนำเข้าแล้วยังต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 10% ด้วย
ในปี 2542 เวียดนามมีรายได้จากการส่งออกสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปสูงถึง 1,747.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากเป็นอันดับ 2 รองจากรายได้จากการส่งออกน้ำมันดิบ ธนาคารโลกคาดว่าเมื่อมีการลงนามในข้อตกลง NTR กับสหรัฐฯ แล้ว การส่งออกสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปของเวียดนามไปจำหน่ายยังสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า จากมูลค่าเพียง 36.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2542 เป็น 384 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีแรกที่ข้อตกลง NTR มีผลบังคับใช้
--Exim News ปีที่ 7 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2544--
-อน-
อุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปในเวียดนาม จึงกลายเป็นอุตสาหกรรมที่น่าสนใจเข้าไปลงทุนมากขึ้นกว่าเดิม นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีที่ได้รับในการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ แล้ว ปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่เกื้อหนุนการเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปในเวียดนาม ได้แก่
1. ความได้เปรียบในด้านค่าจ้างแรงงาน อัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำของเวียดนามต่ำมากเพียง 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ/เดือน หรือประมาณ 50 บาท/วัน (ปี 2542) ถูกกว่าอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำของไทยกว่า 3 เท่า
2. สิทธิประโยชน์ในการลงทุน รัฐบาลเวียดนามส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปอย่างจริงจัง อาทิ การยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบเป็นเวลา 5 ปี การให้สิทธิแก่ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของกิจการได้เต็ม 100% และไม่มีข้อจำกัดในการโอนเงินออกนอกประเทศ ฯลฯ ปัจจุบันมีนักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมนี้จำนวนทั้งสิ้น 193 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นักลงทุนรายใหญ่มาจากประเทศในเอเชีย อาทิ เกาหลีใต้ มาเลเซีย และไต้หวัน เป็นต้น
3. การคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ รัฐบาลเวียดนาม กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปไว้สูงมาก เพื่อปกป้องผู้ผลิตสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปภายในเวียดนาม เช่น การนำเข้าผ้าผืนต้องเสียภาษีนำเข้า 40% เสื้อผ้าสำเร็จรูป 50% และนอกจากภาษีนำเข้าแล้วยังต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 10% ด้วย
ในปี 2542 เวียดนามมีรายได้จากการส่งออกสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปสูงถึง 1,747.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากเป็นอันดับ 2 รองจากรายได้จากการส่งออกน้ำมันดิบ ธนาคารโลกคาดว่าเมื่อมีการลงนามในข้อตกลง NTR กับสหรัฐฯ แล้ว การส่งออกสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปของเวียดนามไปจำหน่ายยังสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า จากมูลค่าเพียง 36.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2542 เป็น 384 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีแรกที่ข้อตกลง NTR มีผลบังคับใช้
--Exim News ปีที่ 7 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2544--
-อน-