วันนี้(25 มี.ค.49) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้แจงจุดยืนและแนวทางแก้ไขปัญหาสถานการณ์บ้านเมืองว่า พรรคประชาธิปัตย์มีความชัดเจนในเรื่องของแนวคิดและหลักการทั้งหมดว่าที่พรรคได้ประกาศจุดยืนและประกาศไปบนเวทีปราศรัยเมื่อวานนี้ (24 มี.ค.) เกิดจากการวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมือง และมีความห่วงใยต่อปัญหาที่จะเกิดขึ้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดในขณะนี้คือความแตกแยกในสังคม ต้องยอมรับว่าในแง่ฝ่ายการเมืองเป็นธรรมชาติอยู่แล้วที่จะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ความแตกแยกที่เกิดขึ้นทำให้มีความกังวลว่าทุกฝ่ายจะเคลื่อนไหวโดยยึดมั่นแนวทางสันติอย่างนี้ต่อไปหรือไม่ และหลายคนมีความรู้สึกว่าถ้าปล่อยให้การเผชิญหน้าค้างคา ในที่สุดจะมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง โดยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี พยายามที่จะอ้างอย่างเดียวว่าปัญหาทุกอย่างจะตอบได้ด้วยการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน แต่ในข้อเท็จจริงแล้วการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน กำลังมีปัญหาเรื่องกฎหมายและการยอมรับรัฐบาลที่จะตามมามากมาย ซึ่งตามข้อเท็จจริงมีรายงานออกมาตลอดจากหน่วยงานที่เป็นกลางและของรัฐว่าการเลือกตั้งอาจได้ ส.ส.แบบแบ่งเขตไม่ครบ ส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่ครบเช่นกัน ทำให้มีปัญหาตามมาว่าจะมีปัญหาในเรื่องของการวินิจฉัยว่าจะเดินต่อไปอย่างไร ความชอบธรรมเพื่อให้เกิดการยอมรับที่จะสร้างขึ้นก็เป็นไปไม่ได้อีก 2 ส่วน คือ 1.ตามกติกาประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญไม่ได้มีเฉพาะการเลือกตั้ง และหลักสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้พูดชัดเจนว่าไม่ได้มีแต่เรื่องของการเข้าสู่อำนาจ แต่ต้องตรวจสอบการใช้อำนาจและกลไกต่าง ๆ ที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งขณะนี้ถูกแทรกแซง รวมถึงการปกปิดการได้รับข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเห็นได้จากการครอบงำสื่อมวลชนในช่อง 4-5 ปีที่ผ่านมา และเพิ่งจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น แต่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาบางสถานีที่เป็นสื่อของรัฐก็ยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งตรงนี้จะเป็นจุดของความขัดแย้งที่ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง และการเลือกตั้งก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ นอกจากกรณีดังกล่าวแล้วยังมีเรื่องข้อกล่าวหาที่มีต่อตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องยืนยันว่าตัวเองถูกต้อง แม้ว่าสังคมจะเชื่อว่าผิด แต่ทั้ง 2 ฝ่าย ก็ไม่มีสิทธิตัดสินว่าถูกหรือผิด ปัญหาจึงอยู่ที่กระบวนการที่จะนำมาใช้ตัดสินซึ่งขณะนี้ยังไม่ชัดเจน เพราะกลไกต่าง ๆ เดินไม่ได้ ขณะเดียวกันการตัดสินอะไรต้องเริ่มต้นจากการมีข้อเท็จจริงที่ทุกฝ่ายได้มองเห็นอย่างชัดเจนเสียก่อนคือสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น และเชื่อว่าในใจลึก ๆ ก็มองเห็นและมองออกว่าสถานการณ์เป็นอย่าง ดังนั้น ประเด็นเรื่องนี้คืออะไรคือทางออกของสังคม สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามเสนอ เพราะมองว่าประชาธิปไตยไทยและสังคมไทยเดินมาไกลคือถ้าเป็นเหตุการณ์ลักษณะนี้ในอดีต บางคนจะเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงนอกระบบคือปฏิวัติรัฐประหารโดยการใช้กำลัง แต่วันนี้เป็นเรื่องที่ดีมากที่ไม่มีใครเรียกร้อง ซึ่งสิ่งนี้เป็นตัวบ่งบอกถึงวุฒิภาวะประชาธิปไตยในสังคมไทย และจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่าง ๆ ในวันนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ดูจากปริมาณของคนที่มาชุมนุมเป็นแสนก็ยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่การจะมองว่าเมื่อสถานการณ์สงบเช่นนี้แล้วควรจะปล่อยทิ้งไว้ก็ไม่ใช่เหตุผล จุดที่พรรคประชาธิปัตย์มองว่าทุกฝ่ายพยายามจะรักษารัฐธรรมนูญ แม้จะเห็นว่าใช้รัฐธรรมนูญแล้วมีปัญหา ก็ยังอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงการปฏิรูปที่ยังอยู่กับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีความพยายามอ้างอิงการใช้มาตรา 7 ข้อเสนอของพรรคประชาธิปัตย์จึงอยู่บนหลักสำคัญว่า ต้องช่วยกันเปลี่ยนแปลง หาทางออกให้กับบ้านเมืองโดยสันติ เราต้องการการเปลี่ยนแปลงที่มีคำตอบในเชิงรัฐธรรมนูญ และต้องการคำตอบที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ขณะนี้ปัญหาพื้นฐานต่าง ๆ มี 2 ส่วนที่ต้องดำเนินการ คือ เรื่องการเลือกตั้งว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าเมื่อมีการเลือกตั้งจะเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมจริง ๆ แต่ต้องยอมรับว่าปัญหาที่เกี่ยวกับการทำงานของกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และพรรคที่มีอำนาจรัฐยังเป็นเรื่องที่ต้องสะสางอีกมาก รวมทั้งกลไกการตรวจสอบต่าง ๆ ที่ถูกทำลายไปและยังไม่สามารถกลับมาได้ ซึ่งข้อเสนอของตนเพียงต้องการให้มีรัฐบาลที่มีความเป็นกลาง เป็นจังหวะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่ถูกครหาได้ว่าไปยึดกุมกลไกหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เกิดการชี้แจงข้อกล่าวหาต่าง ๆ และนำเสนอข้อเท็จจริงทั้งหมดแก่สังคม เป็นกระบวนการที่เปิดเผย โปร่งใส เสียสละ ทั้งนี้ กระบวนการดังกล่าวไม่ใช่กระบวนการพิเศษที่จะชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ผิดหรือถูก เพียงแค่เปิดโอกาสให้สังคมได้รับรู้ความจริง ทั้งเชื่อว่าภารกิจทั้ง 2 เรื่อง จะใช้เวลาไม่นาน เมื่อเสร็จสิ้นแล้วสามารถจะดำเนินการตามกลไกปกติต่อไปได้คือการไปเลือกตั้งก็จะเป็นการเลือกตั้งที่ปกติ และมั่นใจว่าบริสุทธิ์ยุติธรรม ซึ่งครอบคลุมถึงการที่เจ้าของสิทธิได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารด้วย ดังนั้น ข้อเสนอนี้จึงไม่ใช่การตัดสิทธิ พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงแต่ปล่อยวางชั่วคราวเพื่อพิสูจน์ตัวเองจากข้อกล่าวหาต่าง ๆ ส่วนขณะนี้ใกล้จะถึงวันเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายนแล้ว จะมีทางแก้ไขอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากดำเนินการตามมาตรา 7 แล้ว รัฐบาลชุดใหม่ต้องปรึกษากับ กกต. ให้เห็นชัดเจนว่าจะเดินหน้าการเลือกตั้งซึ่งเกิดเหตุมาจากยุบสภาต่อแล้วแก้ไขในเรื่องของเงื่อนเวลา เพื่อไปทำภารกิจ 2 ภารกิจดังกล่าว ซึ่งในทางรัฐธรรมนูญอาจจะมีปัญหาอยู่ในเรื่อง 60 วัน ของการยุบสภา แต่ถ้าเทียบเคียงในกรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัย มีภัยพิบัติ ก็สามารถเลื่อนการเลือกตั้งได้ วันนี้น้ำอาจจะไม่ท่วม แผ่นดินไม่ถล่ม แต่เหตุที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ร้ายแรงมาก จึงมีเหตุผลเพียงพอที่จะให้ กกต.และรัฐบาลที่มีความเป็นกลางสามารถจะดำเนินได้ ในเรื่องของการตรวจสอบจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเอาข้อเท็จจริงออกมาเปิดเผยได้ทั้งหมดนั้น การตัดสินอะไรต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนกับบุคคลอื่น อยู่ดี ๆ จะเอาอำนาจอื่นมาตัดสินไม่ได้ แต่ต้องเริ่มต้นจากการมีกรรมการไต่สวน เพียงแต่คราวนี้จะเป็นกรณีของกรมสรรพากร ก.ล.ต. กระทรวงพาณิชย์ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มั่นใจได้เลยว่าถ้ามีรัฐบาลที่มีความเป็นกลาง หน่วยงานเหล่านี้จะให้ความร่วมมืออย่างเป็นอิสระ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องมีสิทธิชี้แจงทั้งหมด โดยคณะกรรมการชุดนี้จะไต่สวนเปิดเผยโปร่งใส แต่ไม่มีสิทธิไปตัดสิน พ.ต.ท.ทักษิณ หลังจากนั้นก็กลับไปสู่กระบวนการเลือกตั้ง ส่วนผลจากการไต่สวนก็ว่าไปตามกฎหมายปกติหรือกลไกตามรัฐธรรมนูญปกติ แต่ในช่วงที่ทำ 2 ภารกิจนี้ ควรให้ทุกพรรคการเมืองตกลงกันในเรื่องการปฎิรูปการเมือง เพราะ 2 ภารกิจนี้ เหมือนกับเป็นการซ่อมความเสียหายที่เกิดขึ้นตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเฉพาะหน้า แต่กติกาในระยะยาวต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพราะวันนี้ทุกพรรคการเมืองต้องการจะปฏิรูปการเมืองกันทั้งสิ้น เพื่อจะได้วางแนวทางร่วมกัน ซึ่งจะเป็นคำตอบในทุกสิ่งและแนวทางที่ผมเสนอจะทำให้เกิดการโต้แย้งน้อยที่สุด ถ้าจะมีข้อโต้แย้งกันก็เป็นเรื่องความชอบด้วยรัฐธรรมนูญน้อยที่สุด และคำตอบที่จะนำไปสู่ความสามัคคีต้องเริ่มจากการใช้จุดร่วมให้เป็นประโยชน์มากที่สุดไม่ใช่จุดต่าง จึงอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มองให้ไกลว่าจะสามารถหลอมรวมคนทั้งประเทศกลับมาได้มากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของพรรคไม่เหมือนข้อเสนอของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่สิ่งที่อยากจะบอก พ.ต.ท.ทักษิณ อย่ากังวลว่าใครจะเป็นคนเสนอ ขอให้คิดตัดสินใจในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ส่วนเสนอของพรรคประชาธิปัตย์จะหมายถึงพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยหรือไม่ ก็ยังไม่มีโอกาสพูดคุย ซึ่งในการไปเยี่ยมนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีก็ไม่ได้พูดคุยถึงจุดนี้ แต่จากการที่นายบรรหาร บอกให้ถอยออกมา 1 ก้าว ก็น่าจะเห็นด้วย ส่วน พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หัวหน้าพรรคมหาชน ซึ่งเดินทางมาฟังการปราศรัยเมื่อวานนี้ด้วยก็ได้พูดคุยกันแล้วก็เห็นตรงกัน แต่ถ้าพรรคไทยรักไทยเดินหน้าเลือกตั้งต่อ พรรคประชาธิปัตย์ยังคงแสดงบทบาททางการเมืองต่อไป แต่ก็ไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง และเชื่อว่าคนเกือบทั้งประเทศมองตรงกันว่าถ้าเดินหน้าเลือกตั้งต่อไปไม่ใช่วิธีการสร้างความปรองดองของคนในประเทศ แต่ก็เป็นสิทธิที่จะทำได้ และถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ เลือกอย่างนั้นเราก็ไม่ขัดขวาง ส่วนการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวานนี้ ขอบคุณประชาชนที่มาร่วมฟังถึง 8 ชั่วโมง ในภาวะที่หลายคนกังวลอยู่ สิ่งหนึ่งที่เห็นคือความตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ส่วนการปราศรัยอีกครั้งร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมคงต้องปรึกษากันก่อน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 มี.ค. 2549--จบ--
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 มี.ค. 2549--จบ--