กรุงเทพฯ--8 พ.ย.--กระทรวงการต่างประเทศ
วันนี้ (7 พฤศจิกายน 2544) นายรัฐกิจ มานะทัต อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ศกนี้ H.H.Shaikh Khalifa Bin Salman Al-Khalif นายกรัฐมนตรีบาห์เรน ซึ่งทรงเสร็จสิ้นการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 1-3 พฤศจิกายน 2544 และได้ประทับต่อเป็นการส่วนพระองค์ในประเทศไทย ได้ประทานอนุญาตให้กรมเศรษฐกิจ กระทรวงการต่างประเทศนำภาคเอกชนไทยในสาขาต่างๆ รวม 31 คนเข้าเฝ้าฯ ที่โรงแรมโอเรียนเต็ลซึ่งเป็นที่ประทับ โดยมีนายอภินันท์ ปวนะฤทธิ์ ผู้รักษาการปลัดกระทรวงฯ เป็นผู้นำคณะเข้าเฝ้าฯ โดยประกอบด้วย ภาคเอกชนไทย รวม 31 คน ได้แก่ ผู้บริหารระดับสูงจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคาร ธุรกิจกลุ่มโรงแรม กลุ่มก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มผู้ผลิตอาหารฮาลาล ฝ่ายบาห์เรน ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและเศรษฐกิจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ระดับสูง รวม 30 คน
ในการนี้ นายกรัฐมนตรีบาห์เรนได้ทรงเชิญชวนให้นักธุรกิจไทยไปลงทุนในบาห์เรน และแจ้งว่าจะทรงแนะนำให้นักลงทุนบาห์เรนมาลงทุนในไทยเช่นกัน นอกจากนั้นได้ตรัสแสดงความปรารถนาดีต่อรัฐบาลไทย ซึ่งมีสถานะที่มั่นคง และทรงกล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของทั้ง 2 ประเทศ ทรงย้ำด้วยว่าทั้งสองฝ่ายสามารถเป็น Gateway ซึ่งกันและกันในการขยายความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคใกล้เคียงอีกด้วย
นอกจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและเศรษฐกิจแห่งชาติบาห์เรนได้แจ้งว่าการพัฒนาเศรษฐกิจของบาห์เรนให้ความสำคัญกับการพัฒนาใน 5 สาขา ซึ่งได้แก่ การท่องเที่ยว สาธารณสุข การศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศ และการคลัง ซึ่งนักธุรกิจไทยสามารถเข้าร่วมได้ และนาย Jamal Al-Hazeem, Chief Executive Officer, Economic Council ได้แจ้งว่าปัจจุบันบาห์เรนเป็นศูนย์กลางด้านการเงินในอนุภูมิภาคและมีจุดแข็งทั้งด้านการบริการ ด้านน้ำมัน และท่องเที่ยว โดยนาย Hazeem เป็นผู้บริหาร EDB (Economic Development Board) ซึ่งเป็น one stop service office ที่จะอำนวยความสะดวกให้กับนักธุรกิจของไทยได้ 2
การอนุญาตให้นักธุรกิจไทยเข้าเฝ้าฯ อย่างไม่ถือพระองค์ในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีแห่งบาห์เรนทรงให้ความสำคัญอย่างมากต่อการผลักดันให้นักธุรกิจทั้งสองประเทศได้ร่วมมือกัน อันเป็นการเน้นการให้ความสำคัญต่อภาคเอกชนในการพัฒนาประเทศ และการจัดตั้ง Joint Commission รวมทั้งสภานักธุรกิจในปีหน้า จะเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายต่อไป
การเข้ามามีบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศในการจัดให้ภาคเอกชนไทยได้ เข้าเฝ้าฯ H.H. Shaikh Khalifa ในครั้งนี้ นับว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี สำหรับภาคเอกชนไทยในการ แสวงหาลู่ทางทางธุรกิจในประเทศบาห์เรน ซึ่งภาคเอกชนได้แสดงความขอบคุณกระทรวงการ ต่างประเทศ ที่ได้เป็นผู้ชี้แนะ และบุกเบิกตลาดใหม่ให้ ทั้งนี้ หากภาคเอกชนไทยสนใจติดต่อกับ บาห์เรนสามารถประสานผ่านกองสนเทศเศรษฐกิจ กรมเศรษฐกิจทางโทรสาร 0 2643 5236
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7E-mail : div0704@mfa.go.th-- จบ--
-อน-
วันนี้ (7 พฤศจิกายน 2544) นายรัฐกิจ มานะทัต อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ศกนี้ H.H.Shaikh Khalifa Bin Salman Al-Khalif นายกรัฐมนตรีบาห์เรน ซึ่งทรงเสร็จสิ้นการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 1-3 พฤศจิกายน 2544 และได้ประทับต่อเป็นการส่วนพระองค์ในประเทศไทย ได้ประทานอนุญาตให้กรมเศรษฐกิจ กระทรวงการต่างประเทศนำภาคเอกชนไทยในสาขาต่างๆ รวม 31 คนเข้าเฝ้าฯ ที่โรงแรมโอเรียนเต็ลซึ่งเป็นที่ประทับ โดยมีนายอภินันท์ ปวนะฤทธิ์ ผู้รักษาการปลัดกระทรวงฯ เป็นผู้นำคณะเข้าเฝ้าฯ โดยประกอบด้วย ภาคเอกชนไทย รวม 31 คน ได้แก่ ผู้บริหารระดับสูงจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคาร ธุรกิจกลุ่มโรงแรม กลุ่มก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มผู้ผลิตอาหารฮาลาล ฝ่ายบาห์เรน ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและเศรษฐกิจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ระดับสูง รวม 30 คน
ในการนี้ นายกรัฐมนตรีบาห์เรนได้ทรงเชิญชวนให้นักธุรกิจไทยไปลงทุนในบาห์เรน และแจ้งว่าจะทรงแนะนำให้นักลงทุนบาห์เรนมาลงทุนในไทยเช่นกัน นอกจากนั้นได้ตรัสแสดงความปรารถนาดีต่อรัฐบาลไทย ซึ่งมีสถานะที่มั่นคง และทรงกล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของทั้ง 2 ประเทศ ทรงย้ำด้วยว่าทั้งสองฝ่ายสามารถเป็น Gateway ซึ่งกันและกันในการขยายความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคใกล้เคียงอีกด้วย
นอกจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและเศรษฐกิจแห่งชาติบาห์เรนได้แจ้งว่าการพัฒนาเศรษฐกิจของบาห์เรนให้ความสำคัญกับการพัฒนาใน 5 สาขา ซึ่งได้แก่ การท่องเที่ยว สาธารณสุข การศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศ และการคลัง ซึ่งนักธุรกิจไทยสามารถเข้าร่วมได้ และนาย Jamal Al-Hazeem, Chief Executive Officer, Economic Council ได้แจ้งว่าปัจจุบันบาห์เรนเป็นศูนย์กลางด้านการเงินในอนุภูมิภาคและมีจุดแข็งทั้งด้านการบริการ ด้านน้ำมัน และท่องเที่ยว โดยนาย Hazeem เป็นผู้บริหาร EDB (Economic Development Board) ซึ่งเป็น one stop service office ที่จะอำนวยความสะดวกให้กับนักธุรกิจของไทยได้ 2
การอนุญาตให้นักธุรกิจไทยเข้าเฝ้าฯ อย่างไม่ถือพระองค์ในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีแห่งบาห์เรนทรงให้ความสำคัญอย่างมากต่อการผลักดันให้นักธุรกิจทั้งสองประเทศได้ร่วมมือกัน อันเป็นการเน้นการให้ความสำคัญต่อภาคเอกชนในการพัฒนาประเทศ และการจัดตั้ง Joint Commission รวมทั้งสภานักธุรกิจในปีหน้า จะเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายต่อไป
การเข้ามามีบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศในการจัดให้ภาคเอกชนไทยได้ เข้าเฝ้าฯ H.H. Shaikh Khalifa ในครั้งนี้ นับว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี สำหรับภาคเอกชนไทยในการ แสวงหาลู่ทางทางธุรกิจในประเทศบาห์เรน ซึ่งภาคเอกชนได้แสดงความขอบคุณกระทรวงการ ต่างประเทศ ที่ได้เป็นผู้ชี้แนะ และบุกเบิกตลาดใหม่ให้ ทั้งนี้ หากภาคเอกชนไทยสนใจติดต่อกับ บาห์เรนสามารถประสานผ่านกองสนเทศเศรษฐกิจ กรมเศรษฐกิจทางโทรสาร 0 2643 5236
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7E-mail : div0704@mfa.go.th-- จบ--
-อน-