กรุงเทพฯ--13 ก.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
วันนี้ (12 กรกฎาคม 2543) นายอุ้ม เมาลานนท์ รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่าเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2543 ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและ นายจัสวันต์ สิงห์ (Mr. Jaswan Singh) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย ได้ร่วมลงนามความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับ รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนที่ได้ลงนามกันดังกล่าวมีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
1. ภาคีคู่สัญญาจะสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่การลงทุนของผู้ลงทุนของภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายในประเทศของตน จะให้ผลปฎิบัติที่เที่ยงธรรมและอย่างเที่ยงธรรมและไม่ด้อยไปกว่าที่ได้ให้ผลปฏิบัติแก่การลงทุนของผู้ลงทุนของตนหรือของรัฐที่สามใด ๆ
2. ผู้ลงทุนจะได้รับหลักประกันจากภาคีคู่สัญญาว่า การลงทุนของตนจะไม่ถูกเวนคืนหรือถูกโอนกิจการเป็นของรัฐหรือถูกใช้มาตรการอื่น ๆ ที่มีผลเทียบเท่า ยกเว้นในกรณีที่เป็นการเวนคืนเพื่อสาธารณะประโยชน์ ตามกฎหมายและไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ ผู้ลงทุนที่ถูกเวนคืนจะได้รับค่าทดแทนที่เป็นธรรมและอย่างเที่ยงธรรมโดยปราศจากความล่าช้าที่ไม่มีเหตุผล ผู้ลงทุนยังได้รับหลักประกันจากภาคีคู่สัญญาสำหรับกรณีที่ได้รับความสูญเสียอันเนื่องจากสงคราม สภาวะฉุกเฉินแห่งชาติหรือความไม่สงบทางพลเรือน ก็จะได้รับผลปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้คืน การชดใช้ การจ่ายค่าทดแทนไม่ด้อยไปกว่าที่ได้ให้ผลปฏิบัติแก่การลงทุนของผู้ลงทุนของภาคีคู่สัญญาหรือของรัฐที่สามใด ๆ ภาคีคู่สัญญาจะอนุญาตให้ผู้ลงทุนสามารถโอนเงินทุนและผลตอบแทนจากการลงทุนได้โดยเสรีปราศจากความล่าช้าบนพื้นฐานของการไม่เลือกปฏิบัติ นอกจากนั้น หากมีข้อพิพาทเกิดขึ้น ก็สามารถเลือกใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการเพื่อระงับข้อพิพาทได้เช่นกัน
3. ความตกลง ฯ จะเริ่มมีผลใช้บังคับเมื่อได้มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารระหว่างกัน ณ วันที่มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสาร และจะมีผลใช้บังคับเป็นเวลาสิบปี หลังจากนั้นจะมีผลใช้บังคับต่อไปอีกโดยอัตโนมัติเว้นแต่มีการบอกเลิกโดยภาคีคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างไทยกับอินเดีย จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนระหว่างกัน โดยจะช่วยสร้างความมั่นใจและเป็นหลักประกันในด้านการลงทุนให้แก่นักลงทุนทั้งสองประเทศ อีกทั้งจะช่วยเสริมสร้างและกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับอินเดียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7Press Division, Department of Information Tel. 643-5105 Fax. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th-- จบ--
-อน-
วันนี้ (12 กรกฎาคม 2543) นายอุ้ม เมาลานนท์ รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่าเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2543 ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและ นายจัสวันต์ สิงห์ (Mr. Jaswan Singh) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย ได้ร่วมลงนามความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับ รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนที่ได้ลงนามกันดังกล่าวมีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
1. ภาคีคู่สัญญาจะสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่การลงทุนของผู้ลงทุนของภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายในประเทศของตน จะให้ผลปฎิบัติที่เที่ยงธรรมและอย่างเที่ยงธรรมและไม่ด้อยไปกว่าที่ได้ให้ผลปฏิบัติแก่การลงทุนของผู้ลงทุนของตนหรือของรัฐที่สามใด ๆ
2. ผู้ลงทุนจะได้รับหลักประกันจากภาคีคู่สัญญาว่า การลงทุนของตนจะไม่ถูกเวนคืนหรือถูกโอนกิจการเป็นของรัฐหรือถูกใช้มาตรการอื่น ๆ ที่มีผลเทียบเท่า ยกเว้นในกรณีที่เป็นการเวนคืนเพื่อสาธารณะประโยชน์ ตามกฎหมายและไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ ผู้ลงทุนที่ถูกเวนคืนจะได้รับค่าทดแทนที่เป็นธรรมและอย่างเที่ยงธรรมโดยปราศจากความล่าช้าที่ไม่มีเหตุผล ผู้ลงทุนยังได้รับหลักประกันจากภาคีคู่สัญญาสำหรับกรณีที่ได้รับความสูญเสียอันเนื่องจากสงคราม สภาวะฉุกเฉินแห่งชาติหรือความไม่สงบทางพลเรือน ก็จะได้รับผลปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้คืน การชดใช้ การจ่ายค่าทดแทนไม่ด้อยไปกว่าที่ได้ให้ผลปฏิบัติแก่การลงทุนของผู้ลงทุนของภาคีคู่สัญญาหรือของรัฐที่สามใด ๆ ภาคีคู่สัญญาจะอนุญาตให้ผู้ลงทุนสามารถโอนเงินทุนและผลตอบแทนจากการลงทุนได้โดยเสรีปราศจากความล่าช้าบนพื้นฐานของการไม่เลือกปฏิบัติ นอกจากนั้น หากมีข้อพิพาทเกิดขึ้น ก็สามารถเลือกใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการเพื่อระงับข้อพิพาทได้เช่นกัน
3. ความตกลง ฯ จะเริ่มมีผลใช้บังคับเมื่อได้มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารระหว่างกัน ณ วันที่มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสาร และจะมีผลใช้บังคับเป็นเวลาสิบปี หลังจากนั้นจะมีผลใช้บังคับต่อไปอีกโดยอัตโนมัติเว้นแต่มีการบอกเลิกโดยภาคีคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างไทยกับอินเดีย จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนระหว่างกัน โดยจะช่วยสร้างความมั่นใจและเป็นหลักประกันในด้านการลงทุนให้แก่นักลงทุนทั้งสองประเทศ อีกทั้งจะช่วยเสริมสร้างและกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับอินเดียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7Press Division, Department of Information Tel. 643-5105 Fax. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th-- จบ--
-อน-