วันนี้ (24 ก.ค.) คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ พ.ศ…… ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่าง เพื่อให้ทันสมัยประชุมสภานิติบัญญัติ พ.ศ. 2544 ในเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน 2544 ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของการพัฒนารัฐวิสาหกิจ เพื่อจัดตั้งองค์กรที่เป็นมืออาชีพ มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพในการบริหารรัฐวิสาหกิจให้มีศักยภาพมากขึ้น โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. วัตถุประสงค์ เพื่อให้มีคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ ทำหน้าที่กำหนดนโยบายในการพัฒนารัฐวิสาหกิจ และจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติเพื่อบริหารรัฐวิสาหกิจ และสามารถตัดสินใจในเชิงกลยุทธ์ได้ โดยโอนหุ้นของรัฐวิสาหกิจที่ได้แปลงเป็นบริษัท และหลักทรัพย์ ในส่วนที่รัฐเป็นผู้ถือให้แก่บรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติเป็นผู้บริหารจัดการ ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารงานของรัฐวิสาหกิจมีความอิสระและคล่องตัว โดยมีโครงสร้างการบริหารองค์กรที่เป็นมืออาชีพ และมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจโดยการกระจายหุ้นบางส่วนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งในการดำเนินการดังกล่าวจะแบ่งรัฐวิสาหกิจตามภาระหน้าที่ โดยคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ และโอนหุ้นของรัฐวิสาหกิจที่มีการดำเนินงานในเชิงธุรกิจไปอยู่ภายใต้การบริหารของบรรษัทฯ สำหรับรัฐวิสาหกิจเชิงสังคมยังคงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเจ้าสังกัดตามโครงสร้างการกำกับดูแลปัจจุบัน2. การปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงานรัฐวิสาหกิจ ประกอบด้วย
2.1 จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ (โดยกฎหมาย) และยุบเลิกคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ที่จัดตั้งตามระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีอำนาจหน้าที่และองค์ประกอบ ดังนี้
(1) องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ประกอบด้วย กรรมการจำนวนไม่เกิน 15 คน ได้แก่ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งไม่เกิน 7 คน ผู้ทรงคุณวุฒิที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งไม่เกิน 3 คน ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ เป็นเลขานุการ
(2) อำนาจหน้าที่
(2.1) กำหนดนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนารัฐวิสาหกิจ
(2.2) อนุมัติการแบ่งประเภทรัฐวิสาหกิจออกเป็นประเภทธุรกิจและ ไม่ใช่ธุรกิจ และอนุมัติรัฐวิสาหกิจที่จะเข้ากระบวนการเปลี่ยนทุนเป็นหุ้นตามกฎหมายว่าด้วยทุนรัฐวิสาหกิจ
(2.3) อนุมัติการโอนหลักทรัพย์ระหว่างรัฐหรือรัฐวิสาหกิจให้บรรษัท และกำหนดกรอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และราคาของหลักทรัพย์ดังกล่าว รวมทั้งอนุมัติการแปรรูปบริษัทรัฐวิสาหกิจที่รับโอน
(2.4) กำหนดกรอบนโยบายและหลักเกณฑ์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เงินลงทุน โดยกำหนดกรอบความเสี่ยง ขอบเขตธุรกิจและประสานกิจกรรมต่างๆ ของบริษัทวิสาหกิจ และระหว่างบรรษัทกับบริษัทวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง
(2.5) กำหนดกรอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ช่วงราคา และวิธีการจำหน่ายหลักทรัพย์ของบริษัทวิสาหกิจแก่ประชาชนทั่วไปและ/หรือผู้ลงทุนประเภทอื่น
(2.6) กำหนดนโยบายให้ส่วนราชการ หน่วยงาน หรือคณะกรรมการทั้งหลายที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับรัฐวิสาหกิจ มีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนารัฐวิสาหกิจ
(2.7) กำกับ ดูแล รวมทั้งประเมินผลการปฏิบัติงานของบรรษัท ในการปฏิบัติตามนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนารัฐวิสาหกิจ
(2.8) อนุมัติการควบรวม แยก ยุบเลิกหรือลดขนาดกิจการของบริษัทวิสาหกิจ
(2.9) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย
2.2 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ
(1) ให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ เป็นส่วนราชการ ภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง มีฐานะเทียบเท่าหน่วยงานระดับกรม โดยยกฐานะของสำนักรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ กรมบัญชีกลาง เป็นสำนักงานดังกล่าว โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าสำนักงาน
การแต่งตั้งผู้อำนวยการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
(2) อำนาจหน้าที่
(2.1) ศึกษาและวิเคราะห์นโยบายและแผนการบริหารและพัฒนารัฐวิสาหกิจ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ
(2.2) ติดตาม ประเมินผล และเป็นศูนย์ประสานและสนับสนุนการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจ ส่วนราชการ หน่วยงานหรือคณะกรรมการทั้งหลายที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับ รัฐวิสาหกิจ เพื่อให้มีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนารัฐวิสาหกิจ
(2.3) ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับงานธุรการให้แก่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ
(2.4) เสนอรัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อมจะเข้ากระบวนการเปลี่ยนทุนเป็นหุ้นให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติพิจารณา
(2.5) ศึกษา วิเคราะห์ ประเมินผล และกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่ได้โอนเข้าสู่การบริหารของบรรษัท
(2.6) ปฏิบัติงานในหน้าที่ของกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้องกับรัฐวิสาหกิจ
(2.7) ปฏิบัติงานอื่นใดตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมอบหมาย
2.3 การจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ
(1) ให้จัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติเป็นนิติบุคคล เรียกโดยย่อว่า "บวช." โดยมีชื่อภาษาอังกฤษว่า "State Investment Corporation" หรือ "SIC" มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และกฎหมายอื่น และไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมและกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน
(2) อำนาจหน้าที่
(2.1) รับโอนหรือรับมอบหลักทรัพย์ จากรัฐหรือรัฐวิสาหกิจมาจัดการในเชิงธุรกิจ
(2.2) เป็นเครื่องมือของรัฐในการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนหรือประชาชนมีโอกาสเป็นเจ้าของและร่วมลงทุนในกิจการของบริษัทวิสาหกิจ
(2.3) เป็นเครื่องมือของรัฐในการจัดโครงสร้างทุนและการจัดการบริษัทวิสาหกิจอย่างมืออาชีพ มีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบ
(2.4) เป็นเครื่องมือในการลงทุนตามนโยบายของรัฐบาล
(2.5) สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่หลักทรัพย์ที่บรรษัทถืออยู่
(3) บรรษัทมีทุนจำนวน 1,000 ล้านบาท โดยมีทุนประเดิม 300 ล้านบาท และกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด ทั้งนี้ อาจเพิ่มทุนหรือลดทุนได้ด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ
2.4 คณะกรรมการบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติและการจัดการ
(1) คณะกรรมการบรรษัทมีจำนวนไม่เกิน 9 คน ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือบุคคลอื่นที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแต่งตั้ง เป็นประธานกรรมการบุคคลจากส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแต่งตั้ง จำนวนไม่เกิน 4 คน ผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติแต่งตั้งโดยการสรรหา ไม่เกิน 3 คน และกรรมการผู้จัดการ เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง
(2) คณะกรรมการบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาจำนวนไม่เกิน 5 คน เพื่อทำหน้าที่คัดเลือกกรรมการผู้จัดการ รวมทั้งมีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนกรรมการผู้จัดการ โดยกรรมการผู้จัดการมีวาระการดำรงตำแหน่งไม่เกิน 4 ปี และอาจได้รับการแต่งตั้ง ต่อได้อีกหนึ่งวาระ
(3) กรรมการผู้จัดการมีหน้าที่ดำเนินการกิจการของบรรษัทให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่และวัตถุประสงค์ของบรรษัท และเป็นผู้กระทำการแทนบรรษัท หรืออาจมอบหมายให้บุคคลอื่นกระทำการแทน โดยไม่ขัดต่อระเบียบหรือข้อบังคับที่คณะกรรมการบรรษัทกำหนด
(4) ประธานกรรมการ กรรมการ คณะกรรมการสรรหากรรมการ ให้ได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติกำหนด
คณะกรรมการตรวจสอบ คณะที่ปรึกษา คณะอนุกรรมการ คณะกรรมการสรรหากรรมการผู้จัดการ และกรรมการผู้จัดการ ได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่คณะกรรมการบรรษัทกำหนด
2.5 การจัดการความเสี่ยงในการลงทุน
(1) บรรษัทมีหน้าที่ลงทุนภายใต้นโยบายของคณะกรรมการบรรษัท โดยคำนึงถึงการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ อาจมอบหมายให้สถาบันการเงินหรือคณะบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการลงทุนดำเนินการแทนได้ตามความเหมาะสม
(2) การรับโอนหลักทรัพย์จากรัฐหรือรัฐวิสาหกิจให้กระทำได้โดยการซื้อขาย หรือแลกเปลี่ยนกับตราสารหนี้ หรือหลักทรัพย์ของบรรษัท หรือการรับโอนด้วยวิธีการอื่น ด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ ซึ่งการรับโอนดังกล่าวให้กระทำได้โดยปลอดภาระภาษีอากร ค่าธรรมเนียม หรือค่าภาระอื่นใดที่เรียกเก็บเพื่อการนั้น
(3) การจำหน่ายหลักทรัพย์ของบริษัทวิสาหกิจให้แก่ประชาชนทั่วไป ให้ดำเนินการตามกฎหมาย หลักเกณฑ์ หรือข้อบังคับว่าด้วยการนั้น การจำหน่ายหลักทรัพย์ให้แก่ผู้ลงทุนประเภทอื่น และการร่วมทุนของบรรษัทให้กระทำได้โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ โดยไม่ตกอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วย การให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535
(4) ในการจัดการหลักทรัพย์ของบริษัทวิสาหกิจให้เกิดมูลค่าสูงสุด บรรษัทสามารถดำเนินการได้ ดังนี้
(4.1) จัดโครงสร้างการถือหลักทรัพย์ ถ่ายโอนทรัพยากรต่าง ๆ ของบริษัทวิสาหกิจหรือรัฐวิสาหกิจที่จะเข้ากระบวนการเปลี่ยนทุนเป็นหุ้นไปยังอีกบริษัทหนึ่ง
(4.2) จัดโครงสร้างทุนของบริษัทวิสาหกิจ รวมถึงการควบรวมกิจการ ยุบเลิก หรือการลดขนาดกิจการตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติซึ่งการดำเนินการดังกล่าวสามารถกระทำได้โดยปลอดจากภาระภาษีอากร ค่าธรรมเนียม หรือค่าภาระอื่นใดที่เรียกเก็บเพื่อการนั้น
(5) ให้บรรษัทส่งเงินที่ได้จากการจำหน่ายหลักทรัพย์ให้กระทรวงการคลังตามจำนวนและระยะเวลาที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติกำหนด
(6) ให้บรรษัทนำส่งเงินรายได้แผ่นดินให้กระทรวงการคลังภายหลังจาก ที่หักเงินสำรองไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของกำไรสุทธิประจำปี ให้กระทรวงการคลังตามจำนวนที่ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติกำหนด
2.6 การตรวจสอบและรายงาน
บรรษัทต้องจัดทำและรายงานงบการเงินของบรรษัทและงบการเงินรวมของบริษัทวิสาหกิจที่รับโอนมาทุกงวดสามเดือน และวันสิ้นปีบัญชี โดยให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็น ผู้ตรวจสอบงบการเงินของบรรษัท และให้คณะกรรมการบรรษัทประกาศรายงานและงบการเงินดังกล่าวโดยเปิดเผย
2.7 การกำกับดูแลกิจการ
(1) คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลกิจการ โดยทั่วไปของบรรษัท
(2) คณะกรรมการบรรษัท มีหน้าที่วางระบบและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกำกับดูแลกิจการ ข้อพึงปฏิบัติเกี่ยวกับจริยธรรมธุรกิจ การลงุทน และโครงการลงทุน เพื่อให้บรรษัทและบริษัทวิสาหกิจถือเป็นแนวปฏิบัติ
2.8 อื่น ๆ (การยกเว้นกฎหมายสำหรับบริษัทวิสาหกิจ)
บริษัทวิสาหกิจไม่อยู่ภายใต้บังคับของ
(1) พระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2521
(2) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542
(3) พระราชบัญญัติว่าด้วย การให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535
2.9 บทเฉพาะกาล
(1) การโอนงานของสำนักรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐไปเป็นของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ
(2) ให้กระทรวงการคลังโอนเงินทุนประเดิมจำนวน 300 ล้านบาท ให้แก่บรรษัทภายใน 60 วัน ส่วนที่เหลือให้ดำเนินการตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจกำหนด
--ข่าวกระทรวงการคลัง กองกลาง สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 47/2544 24 กรกฎาคม 2544--
-อน-
1. วัตถุประสงค์ เพื่อให้มีคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ ทำหน้าที่กำหนดนโยบายในการพัฒนารัฐวิสาหกิจ และจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติเพื่อบริหารรัฐวิสาหกิจ และสามารถตัดสินใจในเชิงกลยุทธ์ได้ โดยโอนหุ้นของรัฐวิสาหกิจที่ได้แปลงเป็นบริษัท และหลักทรัพย์ ในส่วนที่รัฐเป็นผู้ถือให้แก่บรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติเป็นผู้บริหารจัดการ ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารงานของรัฐวิสาหกิจมีความอิสระและคล่องตัว โดยมีโครงสร้างการบริหารองค์กรที่เป็นมืออาชีพ และมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจโดยการกระจายหุ้นบางส่วนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งในการดำเนินการดังกล่าวจะแบ่งรัฐวิสาหกิจตามภาระหน้าที่ โดยคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ และโอนหุ้นของรัฐวิสาหกิจที่มีการดำเนินงานในเชิงธุรกิจไปอยู่ภายใต้การบริหารของบรรษัทฯ สำหรับรัฐวิสาหกิจเชิงสังคมยังคงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเจ้าสังกัดตามโครงสร้างการกำกับดูแลปัจจุบัน2. การปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงานรัฐวิสาหกิจ ประกอบด้วย
2.1 จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ (โดยกฎหมาย) และยุบเลิกคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ที่จัดตั้งตามระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีอำนาจหน้าที่และองค์ประกอบ ดังนี้
(1) องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ประกอบด้วย กรรมการจำนวนไม่เกิน 15 คน ได้แก่ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งไม่เกิน 7 คน ผู้ทรงคุณวุฒิที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งไม่เกิน 3 คน ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ เป็นเลขานุการ
(2) อำนาจหน้าที่
(2.1) กำหนดนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนารัฐวิสาหกิจ
(2.2) อนุมัติการแบ่งประเภทรัฐวิสาหกิจออกเป็นประเภทธุรกิจและ ไม่ใช่ธุรกิจ และอนุมัติรัฐวิสาหกิจที่จะเข้ากระบวนการเปลี่ยนทุนเป็นหุ้นตามกฎหมายว่าด้วยทุนรัฐวิสาหกิจ
(2.3) อนุมัติการโอนหลักทรัพย์ระหว่างรัฐหรือรัฐวิสาหกิจให้บรรษัท และกำหนดกรอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และราคาของหลักทรัพย์ดังกล่าว รวมทั้งอนุมัติการแปรรูปบริษัทรัฐวิสาหกิจที่รับโอน
(2.4) กำหนดกรอบนโยบายและหลักเกณฑ์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เงินลงทุน โดยกำหนดกรอบความเสี่ยง ขอบเขตธุรกิจและประสานกิจกรรมต่างๆ ของบริษัทวิสาหกิจ และระหว่างบรรษัทกับบริษัทวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง
(2.5) กำหนดกรอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ช่วงราคา และวิธีการจำหน่ายหลักทรัพย์ของบริษัทวิสาหกิจแก่ประชาชนทั่วไปและ/หรือผู้ลงทุนประเภทอื่น
(2.6) กำหนดนโยบายให้ส่วนราชการ หน่วยงาน หรือคณะกรรมการทั้งหลายที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับรัฐวิสาหกิจ มีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนารัฐวิสาหกิจ
(2.7) กำกับ ดูแล รวมทั้งประเมินผลการปฏิบัติงานของบรรษัท ในการปฏิบัติตามนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนารัฐวิสาหกิจ
(2.8) อนุมัติการควบรวม แยก ยุบเลิกหรือลดขนาดกิจการของบริษัทวิสาหกิจ
(2.9) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย
2.2 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ
(1) ให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ เป็นส่วนราชการ ภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง มีฐานะเทียบเท่าหน่วยงานระดับกรม โดยยกฐานะของสำนักรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ กรมบัญชีกลาง เป็นสำนักงานดังกล่าว โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าสำนักงาน
การแต่งตั้งผู้อำนวยการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
(2) อำนาจหน้าที่
(2.1) ศึกษาและวิเคราะห์นโยบายและแผนการบริหารและพัฒนารัฐวิสาหกิจ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ
(2.2) ติดตาม ประเมินผล และเป็นศูนย์ประสานและสนับสนุนการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจ ส่วนราชการ หน่วยงานหรือคณะกรรมการทั้งหลายที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับ รัฐวิสาหกิจ เพื่อให้มีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนารัฐวิสาหกิจ
(2.3) ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับงานธุรการให้แก่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ
(2.4) เสนอรัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อมจะเข้ากระบวนการเปลี่ยนทุนเป็นหุ้นให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติพิจารณา
(2.5) ศึกษา วิเคราะห์ ประเมินผล และกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่ได้โอนเข้าสู่การบริหารของบรรษัท
(2.6) ปฏิบัติงานในหน้าที่ของกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้องกับรัฐวิสาหกิจ
(2.7) ปฏิบัติงานอื่นใดตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมอบหมาย
2.3 การจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ
(1) ให้จัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติเป็นนิติบุคคล เรียกโดยย่อว่า "บวช." โดยมีชื่อภาษาอังกฤษว่า "State Investment Corporation" หรือ "SIC" มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และกฎหมายอื่น และไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมและกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน
(2) อำนาจหน้าที่
(2.1) รับโอนหรือรับมอบหลักทรัพย์ จากรัฐหรือรัฐวิสาหกิจมาจัดการในเชิงธุรกิจ
(2.2) เป็นเครื่องมือของรัฐในการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนหรือประชาชนมีโอกาสเป็นเจ้าของและร่วมลงทุนในกิจการของบริษัทวิสาหกิจ
(2.3) เป็นเครื่องมือของรัฐในการจัดโครงสร้างทุนและการจัดการบริษัทวิสาหกิจอย่างมืออาชีพ มีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบ
(2.4) เป็นเครื่องมือในการลงทุนตามนโยบายของรัฐบาล
(2.5) สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่หลักทรัพย์ที่บรรษัทถืออยู่
(3) บรรษัทมีทุนจำนวน 1,000 ล้านบาท โดยมีทุนประเดิม 300 ล้านบาท และกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด ทั้งนี้ อาจเพิ่มทุนหรือลดทุนได้ด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ
2.4 คณะกรรมการบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติและการจัดการ
(1) คณะกรรมการบรรษัทมีจำนวนไม่เกิน 9 คน ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือบุคคลอื่นที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแต่งตั้ง เป็นประธานกรรมการบุคคลจากส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแต่งตั้ง จำนวนไม่เกิน 4 คน ผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติแต่งตั้งโดยการสรรหา ไม่เกิน 3 คน และกรรมการผู้จัดการ เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง
(2) คณะกรรมการบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาจำนวนไม่เกิน 5 คน เพื่อทำหน้าที่คัดเลือกกรรมการผู้จัดการ รวมทั้งมีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนกรรมการผู้จัดการ โดยกรรมการผู้จัดการมีวาระการดำรงตำแหน่งไม่เกิน 4 ปี และอาจได้รับการแต่งตั้ง ต่อได้อีกหนึ่งวาระ
(3) กรรมการผู้จัดการมีหน้าที่ดำเนินการกิจการของบรรษัทให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่และวัตถุประสงค์ของบรรษัท และเป็นผู้กระทำการแทนบรรษัท หรืออาจมอบหมายให้บุคคลอื่นกระทำการแทน โดยไม่ขัดต่อระเบียบหรือข้อบังคับที่คณะกรรมการบรรษัทกำหนด
(4) ประธานกรรมการ กรรมการ คณะกรรมการสรรหากรรมการ ให้ได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติกำหนด
คณะกรรมการตรวจสอบ คณะที่ปรึกษา คณะอนุกรรมการ คณะกรรมการสรรหากรรมการผู้จัดการ และกรรมการผู้จัดการ ได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่คณะกรรมการบรรษัทกำหนด
2.5 การจัดการความเสี่ยงในการลงทุน
(1) บรรษัทมีหน้าที่ลงทุนภายใต้นโยบายของคณะกรรมการบรรษัท โดยคำนึงถึงการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ อาจมอบหมายให้สถาบันการเงินหรือคณะบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการลงทุนดำเนินการแทนได้ตามความเหมาะสม
(2) การรับโอนหลักทรัพย์จากรัฐหรือรัฐวิสาหกิจให้กระทำได้โดยการซื้อขาย หรือแลกเปลี่ยนกับตราสารหนี้ หรือหลักทรัพย์ของบรรษัท หรือการรับโอนด้วยวิธีการอื่น ด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ ซึ่งการรับโอนดังกล่าวให้กระทำได้โดยปลอดภาระภาษีอากร ค่าธรรมเนียม หรือค่าภาระอื่นใดที่เรียกเก็บเพื่อการนั้น
(3) การจำหน่ายหลักทรัพย์ของบริษัทวิสาหกิจให้แก่ประชาชนทั่วไป ให้ดำเนินการตามกฎหมาย หลักเกณฑ์ หรือข้อบังคับว่าด้วยการนั้น การจำหน่ายหลักทรัพย์ให้แก่ผู้ลงทุนประเภทอื่น และการร่วมทุนของบรรษัทให้กระทำได้โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ โดยไม่ตกอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วย การให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535
(4) ในการจัดการหลักทรัพย์ของบริษัทวิสาหกิจให้เกิดมูลค่าสูงสุด บรรษัทสามารถดำเนินการได้ ดังนี้
(4.1) จัดโครงสร้างการถือหลักทรัพย์ ถ่ายโอนทรัพยากรต่าง ๆ ของบริษัทวิสาหกิจหรือรัฐวิสาหกิจที่จะเข้ากระบวนการเปลี่ยนทุนเป็นหุ้นไปยังอีกบริษัทหนึ่ง
(4.2) จัดโครงสร้างทุนของบริษัทวิสาหกิจ รวมถึงการควบรวมกิจการ ยุบเลิก หรือการลดขนาดกิจการตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติซึ่งการดำเนินการดังกล่าวสามารถกระทำได้โดยปลอดจากภาระภาษีอากร ค่าธรรมเนียม หรือค่าภาระอื่นใดที่เรียกเก็บเพื่อการนั้น
(5) ให้บรรษัทส่งเงินที่ได้จากการจำหน่ายหลักทรัพย์ให้กระทรวงการคลังตามจำนวนและระยะเวลาที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติกำหนด
(6) ให้บรรษัทนำส่งเงินรายได้แผ่นดินให้กระทรวงการคลังภายหลังจาก ที่หักเงินสำรองไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของกำไรสุทธิประจำปี ให้กระทรวงการคลังตามจำนวนที่ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติกำหนด
2.6 การตรวจสอบและรายงาน
บรรษัทต้องจัดทำและรายงานงบการเงินของบรรษัทและงบการเงินรวมของบริษัทวิสาหกิจที่รับโอนมาทุกงวดสามเดือน และวันสิ้นปีบัญชี โดยให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็น ผู้ตรวจสอบงบการเงินของบรรษัท และให้คณะกรรมการบรรษัทประกาศรายงานและงบการเงินดังกล่าวโดยเปิดเผย
2.7 การกำกับดูแลกิจการ
(1) คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลกิจการ โดยทั่วไปของบรรษัท
(2) คณะกรรมการบรรษัท มีหน้าที่วางระบบและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกำกับดูแลกิจการ ข้อพึงปฏิบัติเกี่ยวกับจริยธรรมธุรกิจ การลงุทน และโครงการลงทุน เพื่อให้บรรษัทและบริษัทวิสาหกิจถือเป็นแนวปฏิบัติ
2.8 อื่น ๆ (การยกเว้นกฎหมายสำหรับบริษัทวิสาหกิจ)
บริษัทวิสาหกิจไม่อยู่ภายใต้บังคับของ
(1) พระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2521
(2) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542
(3) พระราชบัญญัติว่าด้วย การให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535
2.9 บทเฉพาะกาล
(1) การโอนงานของสำนักรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐไปเป็นของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ
(2) ให้กระทรวงการคลังโอนเงินทุนประเดิมจำนวน 300 ล้านบาท ให้แก่บรรษัทภายใน 60 วัน ส่วนที่เหลือให้ดำเนินการตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจกำหนด
--ข่าวกระทรวงการคลัง กองกลาง สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 47/2544 24 กรกฎาคม 2544--
-อน-